.....วันนี้ จริง ๆ จะหาเพลง มาลัยดอกรัก ที่ฉางน้อย เขาชอบ..เป็นเพลง จังหวะสนุก ๆ ของ ชายเมืองสิงห์ หรือ แมน ซิตี้ ไลอ้อน ..อิอิ .. ไปเจอเพลง มอดกัดไม้..อ่านดู เป็นเพลง ที่ร้องต่อว่า . .นักร้องอีกคนหนึ่ง..( อีกเสียง เขาว่าเป็นการโปรโมต เพลง สมัยก่อน ทำทีทะเลาะกัน )..เลยเข้าไปที่ อาจารย์ พร ภิรมย์ ที่ปัจจุบัน บวช ในบวรพระพุทธศาสนา แบบไม่สึก ..เลิกร้องเพลง มาตั้งแต่ปี 2524 ..ไป เจอ เพลง ที่ร้องโต้ตอบ เพลง มอดกัดไม้ นัย ว่า ตอบโต้ครูมงคล อมาตยกุล ผู้แต่งเพลง ให้ชายเมือง สิงห์ .. ข้อมูลข้างบน ถือว่า เป็นที่ มาของเพลง เพลงนี้ ละกันนะครับ.. เพลง ไม้หลักปักเลน ผมว่า ถ้อยคำที่ อาจารย์ พร ภิรมย์ ที่ประพันธ์ เล่นคำ ได้ ดีมาก ประกอบกับท่าน เชี่ยวชาญ เพลงสุภาษิต นิทานต่างๆ ..ถือว่า ยอดเยี่ยมนักครับ.. บทเพลง ที่ติดหู พวกเรา จนถึงยุคนี้ ...บัวตูมบัวบาน...ดาวลูกไก่ ..และอีกมากมาย ผมว่า ควรแก่การรับฟัง..เพราะมีสอน เตือน สติ .. ลองมาฟังเพลงนี้กันดู นะครับ ไม้หลักปักเลน แต่งโดย พร ภิรมย์ ขับร้อง พร ภิรมย์ จะขอสาธกยกลิขิต ถึงชีวิตอันไร้แก่นสาร เกิดแก่กาย ย่อมวายปราณ มัจจุมารเขาไม่ปราณี เมื่อมีชีวิตอย่าริษยา จงอุตส่าห์สร้างความดี เอื้อเมตตาและปราณี พรหมวิหารสี่พึงสังวรณ์ พกหินไว้ให้ใจหนักหนัก ตรงตามหลักพระธรรมสอน คนทุกคนไม่พ้นกองฟอน มีที่นอนแค่เพียงฝังกาย อย่าละโมบโลภแต่ลาภ ไม่อายบาปชั่วเหลือหลาย ยามปลดปลงต้องลงอบาย อย่าก้าวก่ายแย่งกันกิน อย่ายุอย่าแยงตะแคงแสะ ส่อเสียดเซาะแซะเดาะแดะดีดดิ้น ไก่เห็นตีนงูต่างรู้มลทิล ว่าใครผิดศีลเสียไม่สร่างเซา เหาบนหัวของตัวไม่เห็น คนอื่นไม่เป็นกลับเห็นตัวเหา ช่างไม่ส่องกระโหลกชะโงกมองเงา ว่าตัวเป็นเหาควรเกาตัวเอง เป็นผู้ใหญ่ต้องใจหนักหนัก ต้องเหมือนไม้หลักที่ปักตรงเผง อย่ากระดกชิวหาให้เด็กด่ากันเอง คนเราเกรงกันด้วยความดี อย่าเป็นไม้หลักที่ปักชายเลน ใครเหนี่ยวก็เอนผิดธรรมวิถี คนดีไม่ได้ก็เพราะไม่ทำดี ขาดพรหมวิหารสี่หมดดีในตัว คนซื่อจริงจริงทำนิ่งไม่เห็น ปากหวานไม่เป็นกลับเห็นเป็นชั่ว อย่านึกว่าเหมือนกันแล้วไม่สำคัญเท่าตัว ตราดีตราชั่วจะติดตัวจนตาย ............................. หากไม่ได้มองว่า เป็นการโปรโมต บทเพลงสมัยก่อน มองอีกในภาพเบื้องหน้าที่เห็นคือ การมีความเห็นต่าง...ที่ไม่ได้แตกต่างไปปัจจุบันนักหรอกครับ..เพียงแต่ปัจจุบัน ออกมาแนวเชิงที่รุนแรงเท่านั้น..นอกจากเพลงนี้ ก็มีการตอบโต้ไปมาอีกหลายเพลง...หามิลืม จะลองค้นหามานำเสนอขอรับ.. บทเพลง ผมว่า จะช่วยกำซาบ กำซับอารมณ์ ที่ปะทุ พุ่งให้ผ่อน อ่อน ลงได้ ดี..เพียงแค่มองเห็นแก่น ของความ แท้ เท่านั้น ๏ สำแดงแกนแก่นให้.......เห็นแกน ดูแกร่งกล้าสง่าแสน......ชื่อสร้าง หน้าเบื้องเด่นทั่วแดน....ดารดาษ ปลายเปลือกหุ้มก้าง.......ผุก้านเปื่อยผง ๚ะ ๏ ปักปลงเด่นเที่ยงแท้......กลางธาร นับนิ่งมิไหวคาน.....คบตั้ง น้ำเชี่ยวเปลี่ยวพร่าปราณ....โถมปลิด เบนเบี่ยงเอียงเอนรั้ง.......เลือกข้างฝั่งฝา ๚ะ ๏ ภาวะมิเที่ยงเพี้ยง.......อรหันต์ ฤาจักต้านทานกัน.......กักได้ ผจงผ่อนผ่ายผัน.......ความเถิด สำนึกเชิดชูให้.......ชั่วรู้ดีเห็น ๚ะ ๏ เช่นสถานถิ่นแคว้น.......คามใด ย่อมวุ่นปนแฝงนัย........ครึกร้อน ลางมุมเปี่ยมสุขใส......ฉ่ำชื่น บางแห่งทุกข์แทรกซ้อน......เศษเชื้อกุมสอย ๚ะ ๏ สงบถ้อยน้อยเถิดร้อง........ความคำ ยิ่งเปิดใช่เผยอำ................ซ่อนเร้น คุณค่าลดหมองดำ...............มัวด่าง ธรรมบ่มรำบายเค้น............ค่อนค้อนความหลัง ๚ะ๛ รูปภาพ..เครดิต จาก กูเกิ้ล ครับ ลายเส้นสวยๆ เครดิต..คุณมี่ ครับ
..นัดแล้วไม่มา..เป็นวลีอมตะ อยู่ช่วงหนึ่ง..อิอิ แต่ที่จะกล่าวนี้เป็นบทเพลง ที่เกี่ยวกับการนัดพบ จู๋จี๋ ของหนุ่มสาวยุค สงครามโลกครั้ง ๒ จ้า..ไม่เกี่ยวกะการปฏิวง..ปฏิวัติ อะไรหรอกคร๊าบ..พี่น้อง ...ช่วงก่อนตรุษย์จีน หนึ่งวัน ขณะขับรถไปทำธุระ แถวๆ โรงพยาบาล ย่านรังสิต เปิดวิทยุ เอฟ เอม ช่องหนึ่ง มีการจัดรายการเพลง ลูกกรุงเก่าๆ ..ซึ่งเพลงแต่ละเพลง ที่เปิด โอ้โห รุ่นๆ คุณแม่ยังสาวอะ .. แต่ กิ่งโศก กับฟังด้วยอารมณ์ สุนทรีย์ จินตนาการไปตามแต่ละเพลง... แต่ มา หยุดฟังอีกเพลงหนึ่งอย่างตั้งใจ คือ เพลงนี้เหมือนไม่เคยได้ฟังมาก่อน ในเนื้อหา ก็แสน ธรรมดา..แต่ทำนอง นั้นทำให้ กิ่งโศก นึกยิ้มไปในใจ..ทำนองเนิบๆ มีจังหวะ เสียงร้อง ดู จะมีเอื้อนๆ ...แม้นเราจะนัดพบกัน...เสียงคำว่า กัน ..กับออกเสียงเป็น กั่น..แล้วขึ้นสูงแปลกดี รอจน..เพลงจบ รอฟังชื่อที่คนจัดรายการจะบอก..ชื่อเพลง และคนร้อง เพลงนี้ชื่อ ว่า..นัดพบ ( ไม่ใช่นัดพบหน้าอำเภอ ของพุ่มพวงเน้อ อิอิ) คนร้อง..นงลักษณ์ โรจนพรรณ ...งง ไปพัก กับชื่อเพลง และชื่อ คนร้อง เพราะไม่รู้จัก เลย อืม เลยต้องอาศัย คุณนายกูเกิ้ล.. ค้นหาเพลงนี้ เพลงนี้ มีประวัติความเป็นมา..พอเท่าที่จะหาได้ครับ ไปเจอคำว่า..นัดพบ เพลงก่อนสงครามโลก ครั้งที่ ๒ คือ พ.ศ.๒๔๙๐ ไม่น่าเชื่อนิ ว่าจะนาน คนร้อง จะยังอยู่หรือเปล่า.. ..ดูการนัดพบของหนุ่มสาวสมัย ก่อนสงครามโลกครั้งที่ สอง..นัดตอนที่ตะวันลับฟ้า ใต้ต้นไม้ แลมีแสงจันทร์..ส่องพอเห็นหน้า..จะโรแมนติกขนาดไหนนี่ 55 นัดพบ คนที่ขับร้องเป็นคนแรก เลยคือ คุณ เชื่อม บุณยเกียรติ และเวอร์ชั่น ของคุณ นงลักษณ์ โรจนพรรณ..หรือ คุณสุพรรณี ปิยะสิรานนท์ ที่นำมาร้อง น้ำเสียงเพราะ.. และหลายๆ รุ่นต่อมา.. ..มาฟังเพลง..ที่ไม่เคยฟังมาก่อนของกิ่งโศก พอฟังปุ๊บ ชอบปั๊บ เลย นัดพบ ขับร้อง นงลักษณ์ โรจนพรรณ .ถ้าเราจะนัดพบ กัน เมื่อตะวันลับไม้ ฉันไม่หลอกจะบอกให้ อย่าเอ็ดไป สิจงฟัง ฟัง สิฟัง สัก นิด แล้วอย่าคิดว่าฉันสอน ว่าฉันสั่ง ฟังสิฟัง ฟังกันเล่นเพลินเพลิน แต่มันสุขเหลือเกิน ไม่เชื่อเชิญ ลองจำ ถ้าเราจะนัดพบ กัน เมื่อตะวัน พลบค่ำ ธรรมชาติชุ่มฉ่ำ ฉ่ำชื้น ชื่น ใจ ใต้ ร่มไม้ใบบางบาง แสงสว่างรำไรรำไร ไม่ต้องระวังไม่ต้องระไว จะอายทำไมกับพระจันทร์ ถ้าเราจะนัด พบ กัน ควรให้จันทร์ เห็น ใจ ลมอ่อนอ่อนพัด ผ่าน ชูกิ่งก้านช่อใบ บ้างก็แกว่งบ้างก็ไกว บ้างเขยื้อนสะเทือนไหว สะบัดใบไปตามลม ผสมน้ำค้าง พร่าง พรม เรไรจิ้งหรีดหวีดผสม ต่างคลอต่างคล้อต่างล่ออารมณ์ เรา ให้ชมให้ชื่น ใจ นี่แหละถิ่นนัดพบ แต่เราไม่พบกับใคร เพียงแต่พบกับธรรมชาติ แล้วเราก็อาจจะสุขใจ ไม่ต้องไปพบ กับใคร ที่ไหน เพลินใจ เพลิน ตา.. รูป คุณ นงลักษณ์ .. ฟังแล้วเพลิดเพลิน ใจดีในน้ำเสียง และทำนองบทเพลงนี้.. ........................................................................................ ๏ พบหรือพรากรักพร้อม- ......รอมแพง แม่นา มีรุ่งแลมอดแสง..............สึกได้ ความมั่นมาดคลาดแคลง........เคล้ามื่น ชื่นนอ จึ่งยับยั้งพลั้งไว้ ......ชีพสิ้นอาจสูญ ๚ะ ๏ อาดูรใดใช่น้อง ....... หนีหมาย แดนเก่าเรามิวาย .......ว่างเว้น ถ้อยผ่อนสู่ผู้คลาย ....... ความสู่ พ้องเนอ อิ่มเอิบกำเริบเร้น ........ จิตเร้าได้จา ๚ะ ๏ แม้นใครคอยเหม่อไร้......สิ้นหวัง แลดั่งดับลับภวังค์ ....... ว่ายเวิ้ง กำสรดโศกอกกรัง.......เกรอะกลัด หนองแฮ โอดปิ่มปานม่านเกิ้ง......ร่วงกั้นกองดิน ๚ะ ๏ พบพรากวิบากเบื้อง.....ปางบรรพ์ กำหนดกฏเกณฑ์กรรธ์....เก่าย้อน ยอ,ยอบ,มอบ,ยอมยัน-.......เยงอย่าง ทัณฑ์โทษลดตีต้อน........ติดหนี้คลายหนอ๚ะ๛
...คำประณาม..ของคนสมัยก่อนนั้นดูแล้วมีอิทธิพล อย่างมาก เป็นความเชื่อโดยสุจริต คำสาบาน คำสาปแช่งต่าง ๆ คำประณาม ในที่นี้ กล่าวถึงการไม่น่าคบของพฤติกรรม ของผู้คนในสมัยนั้นที่ผิดจารีตไป จนออกมาเป็นสำนวนว่า..หญิงสามหม้าย ชายสามโบสถ์ นั้นไม่น่าคบ..คงเป็นเรื่องที่บ่งบอกถึงคนที่ มีจิตใจโลเล ไม่น่าเชื่อถือ .. ..กิ่งโศก กำลังจะขอเกริ่นถึง บทเพลง ๆ หนึ่ง เก่าอีกแล้วครับท่าน 55 .. ชายสามโบสถ์ ..เพลงนี้เป็นเพลงที่ผู้ร้องได้รับแผ่นเสียงทองคำ เลยทีเดียว ผู้ร้อง คือ คำรณ สัมปุณนานนท์ นักร้อง..ที่ว่ากันว่า เป็นแนวเพลงเพื่อชีวิต เลยแหละครับ...หลายเพลงโดนแบน เพลงที่เสียดสีสังคม การเมือง.. ..เพลงนี้ มีคนนำมาร้องกันหลาย คน...เช่น ชาญ เย็นแข ....ชัยชนะ บุญโชติ..และแม้แต่ นิค นิรนาม ก็เอามาร้อง ในชุดหยิบสิบ.. คำว่าชายสามโบสถ์ มีการถก ว่าแท้จริงมาจาก อะไร กันแน่ มาจาก การบวชเป็นพระ ในพุทธศานา ถึงสามครั้ง หรือ เป็นการเปลี่ยนไปนับถือศาสนา อื่น ถึงสามครั้ง.. ไปดู ในพจนานุกรม..แปลไว้ว่า ชายสามโบสถ์ (สํา) น. ผู้ที่บวชแล้วสึกถึง ๓ หน, ใช้พูดเป็นเชิงตําหนิว่า เป็นคนที่ไม่น่าคบ. แต่คำโต้แย้ง นั้นก็จากนักวิชาการ และผู้มีชื่อเสียง ว่าไม่ใช่ตามที่ พจนานุกรม กำหนด.. ..ซึ่งจะเป็นแบบไหน แบบใด ก็ อยู่ที่พวกเราจะพิจารณากันนะครับ วก เข้ามาเพลง ชายสามโบสถ์ เพลงนี้กันนะครับ ..ที่มาของเพลงนี้ ครูไพบูลย์ บุตรขันธ์ นำมาจาก นิยาย ของ ไม้ เมืองเดิม ชื่อเรื่องชายสามโบสถ์ ..สำนวนไม้เมืองเดิม นี่ผมเองประทับใจอยู่ไม่ใช่น้อยครับ สะสม เรื่องของไม้เมื่องเดิม ไว้หลายเรื่อง (นิยาย) ..เพลงนี้ ดู จะยาว เพราะต้องสรุปนิยายเรื่องเดียวของนิยายให้มาอยู่ในเพลง ๆ นี้ ..และเนื้อหาของชายสามโบสถ์ ในนิยาย ก็คือ การบวชเป็นพระในพุทธศานา ถึงสามครั้ง .. ..ลองมาฟังเพลง กับเนื้อหา กันนะครับ... ชายสามโบสถ์ ผู้แต่ง ไพบูลย์ บุตรขัน ผู้ร้อง คำรณ สัมปุณนานนท์ คำคนประณาม ชายสามโบสถ์ทราม ชั่วช้าสามานย์ ประนามหญิงสามผัวผ่าน เป็นคนจันฑาล ไม่หวังคบพา โธ่ เอ๋ย อนิจจา โกนหัวฝากตัวในศาสนา แต่คำเขาว่าปวดใจให้คิด ทุกที มีมารผจญ สุดแสนจะทน บวชแล้วจำลา จากเรือนเหมือนเสือหนีป่า มารยังตามมา จองล้างราวี บวชแล้วสึกทุกที เป็นเสียอย่างนี้ แหละพี่น้องเอ๋ย ดังคำเขาเอ่ย บวชเสียผ้าเหลือง ข้าบวชมาแล้วโบสถ์หนึ่ง ซาบซึ้งได้แทนคุณแม่ ค่าน้ำนมแก แทนทดหมดเปลือง มารตามทวงหนี้ มีเรื่อง ต้องแหกผ้าเหลืองสึกมา มันฟ้องอุปัชฌาย์แค้นข้ากลัดหนอง คนมองข้าทราม เหยียดหยามหมดดี ต้องหนีหน้าไป เกือบเป็นเสือสางเสียใหญ่ ข้าต้องกลับใจ ไหว้พระคุ้มครอง บวชซ้ำใหม่ ใคร่ปอง ใจหวังสร้างบุญในโบสถ์ที่สอง พึ่งธรรมะส่อง ที่สร้างบาปมา ข้าเป็นชายสองโบสถ์ห่าม โบสถ์สามนี้ยังไม่แน่ โลกหมุนปรวนแปรสุดแท้จะพา ไปเป็นชายชั่วตามว่า หวังศาสนากลับใจ แต่แล้วเหตุไฉน เขาไม่อุดหนุน จึงวอนไหว้วิง ชายหญิงที่ฟัง ด้วยน้ำตาคลอ โปรดจงสงสารขานต่อ แต่พอข้ามี บาปเคราะห์เพราะบุญ ข้าหวังพึ่งพุทธคุณ เซแล้วอย่าซ้ำย่ำเหยียบจนซุน ร่มโพธิ์พระอุ่น ข้าขอบวชนาน จนตาย .... บางเรื่อง บางอย่างเราชื่อ ว่าเกิดจากกรรม ..กรรม นั้น ล้างไม่ได้ หรือแก้กรรมไม่ได้ ..ยกเว้นแต่ทำให้ บรรเทาลงเท่านั้น ...คนเราอยู่เพื่อใช้กรรมเก่า..ดังนั้น ขณะที่ดำรงค์ตนอยู่ ต้องสร้างความดี กันเข้าไว้ ครับ.. ๏ กรรมเกิดกำเนิดใต้.......บ่วงกรรม ติดเฮย จักลบกลบกระทำ........ใช่ได้ ? สืบก้าวย่างสู่ลำ-..........ท้ายสุด มรรคเนอ ยังชีพยันเยงไว้ ........... ว่าร้ายสร้างดี ๚ะ ๏ ดิ้นรนด้นโลภด้วย...............เลศดล พอกโบกโพกเบื้องผล.........บ่มเพี้ยน สุมกองทรัพย์กุศล..............สร้างเกริ่น เชื่อนา แทรกกร่อนศรกุมเสี้ยน.....เก่าสร้างครั้งปฐม ๚ะ ๏ โลมเห็นเพ็ญแผ่เพี้ยง.......ภาพตน เดียวนา มากอื่นดื่นผองชน...........ลบไร้ ผยองหยิ่งเดชตน............. กินขาด ย่ำเหยียบเปรียบอุ้งใต้.......ต่ำพื้นผงธุลี ๚ะ ๏ ดีเลวเด่นร่างได้...........สำแดง เห็นทอดสิ้นความแคลง........เคลือบสิ้น สรีรธาตุ,ผันแผลง........... ผงฝุ่น ประดับชื่อลือลิ้น.............เล่าย้อนถอนยวง ๚ะ ๏ ปวงกรรมกำเนิดพ้อง........พิศตัว ดีย่อมได้ย้อนพัว- ............ พาดคล้อง ชั่วประสบเฉกมัว ............ แผ่ม่าน จมปลักฤาพ้นห้อง........... บ่วงห้วงหับเผย ๚ะ๛
..กิ่งโศก คนยากเคยนั่งเหม่อ มองดูผืนดินบริเวณหน้าบ้าน ..ในห้วงเวลาเม็ดฝนหล่นกระทบ..เสียงดังเปาะแปะ ๆๆ ฟังแล้วเพลิดเพลินดี เหมือน เสียงใครกำลังรัวจังหวะดนตรีสักอย่าง.. ......บนลานดิน รับรู้ความรู้สึกขณะที่เวลาเหยียบยืน วิ่งเล่นตามประสาเยาว์วัย นั้น กระแสแห่งไออุ่นอุ่น กำซาบซ่านผ่านขึ้นจากปลายเท้า แล่นสู่ร่าง มันเป็น ความอบอุ่นที่ดูปลอดภัย ไร้ภยันต์อันตรายใดๆ จักกรายกล้ำได้... ..สายฝนหล่นจั๊ก ๆ ..ชั่วไม่นาน ความชุ่มชื้น ก็อาบไปทั่ว ผืนดิน...ถัดจากนั้นเพียงไม่กี่เพลาของวาร..ความเขียวขจี ของเหล่าติณชาติ..เริ่มเสียดแทงโผล่พ้น พื้นดิน อวดช่อล้อภมร ดังจะบ่งบอกว่าความเริ่งร่า หรรษา สดใสเริ่มขึ้นแล้ว บนผืนแผ่นดินนี้.... ...จินตนาการ ของกิ่งโศก...สดับถึงบทเพลงลูกทุ่งเก่าๆ แว่ว ให้ได้ยินชัดอีกครั้ง เพลงนี้ ตอนที่คุณน้า กำลังอธิบาย แมงมุมกำลังชักใย..ทำบ้านตาข่าย ดักแมลง ที่ระเบียงหน้าบ้าน..พร้อมๆกับ คุณน้า เปิด ให้ฟัง.. กิ่งโศก ฟังแบบผ่าน ๆ เพราะเพลงนั้นช้าๆ ไม่เร้าใจ วัยสะรุ่น ช่วงนั้น ต้อง เอาความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง อิอิ ...( ตอนนั้นมีลูกกรุง และลูกทุ่ง กับ สตริง) ....เสียงคนที่ขับร้องนั้น เสียงเล็ก ๆ สูง...ที่เจือ ด้วย ความหวาน ปนโศก.. ...เพลง ฝากดิน..เสียงโฆษก ในวิทยุทรานซิสเตอร์ บอกชื่อเพลง พร้อม บอกชื่อคนร้องว่า แม่ผ่อง... ..เพลงนี้ ..คุณแม่ของกิ่งโศก ร้องได้..เพราะขณะที่กำลังเก็บเกี่ยวข้าวกลางทุ่งนา..ก็เปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ พร้อมร้องคลอไปด้วย.. ส่วน กิ่งโศก..คงวิ่ง เต้น ไต่ ตามคันนา...คอย หาจับ ตั๊กแตน ปาทังก้า...มาทอด หรือ ย่างไฟอะ อิอิ ..มาฟัง เพลง..ฝากดิน ที่ขับร้องโดย แม่ผ่องศรี วรนุช..กันเถอะ.. เพลง : ฝากดิน ศิลปิน : ผ่องศรี วรนุช คำร้อง/ทำนอง : ประดิษฐ์ อุตตะมัง ดินเจ้าเอ๋ยข้าเคยอยู่ใกล้มาก่อน ดินอุ่นร้อนและเย็นก็เป็นเพื่อนฉัน ยามเมื่อเขาร้างไป..ไกล ใจก็ยังนึกหวั่น..หวั่น นี่อีกสักกี่วันถึงมา ดินอ้างว้างระทมขื่นขมตรมเศร้า ดินก็เหมือนเช่นเรารักเขาหนักหนา เขาเป็นเหมือนจ้าวดวงใจ ดินเรียกเขาคืนมา..มา บอกเขาเถิดดินขาข้าคอย * อภัยเถิดดิน ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ ** ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่..ใหม่ ดินถมร่างฉันไว้..ให้จม ภาพ ดิน ฟังแค่ท่อนนี้ แล้ว กินใจมาก... ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่..ใหม่ ดินถมร่างฉันไว้..ให้จม ....ความว่า...รักสิ้นแล้วเหลือเพียงเศษซาก ซากอันแห้งกรังเพราะ รักได้ลับหายไปแล้ว..แล เขาคงประสบต้นรักใหม่ อันพิไลล้ำ.. ...เหลือเพียง ผืนดิน ที่รอกลบหน้าซากที่ไร้วิญญาณ..ฝังเถอะ..จะได้จมและสลายไปกับ ธาตุดิน เพลง นี้ กิ่งโศก..อยากให้เป็นเพลงที่ควรค่า แก่การจดจำ จังเลย เพราะ ไม่มีแผ่นดินผืนไหนอีกแล้ว ที่จะให้ ไออุ่น เท่าผืนแผ่นดินแม่อีกแล้ว....ช่วยกันรักษา ปกป้องผืนแผ่นดินกันนะครับ.. ๏ อุ่นเอ๋ยสนิทอ้อม........โอบกร แผ่ซ่านผสานชอน..........สอดสร้อย ซุกอก,กก,มารดร............ ชุ่มด่ำ พริ้มเนตรนิมิตร้อย.........ระฟ้าเรียงฝัน ๚ะ ๏ คราเรียมหันห่างเรื้อ.........แรมใจ โหยพร่ำร่ำอาลัย....................พ่ายแล้ว นืองนองเจิ่งชลนัยน์..............รินอาบ หัตถ์แม่ป้ายคลายแคล้ว....... ...คราบน้ำเหือดหาย ๚ะ ๏ ฝากชีพวางทอดไว้.........เรียงหลุม รอเกลี่ยร่างกองสุม..............กลบซ้อน สลายล่วงลับคลุม................คลุกป่น เหลือชั่วดีถกย้อน................บทแย้งเบื้องหลัง ๚ะ ๏ พสุธาสุดท้าย...............แสนหวง ป้องปกยกบังทรวง-............ผงาดต้าน- ปัจจามิตรมากปวง-...........ล่วงปลาต สำนึกหยิ่งอย่าคร้าน............ยกค้ำยอดิน ๚ะ๛ + กิ่งโศก + ขอบคุณ..Line สวยๆ ขโมย มาจากบ้านคุณ ญามี่ อิอิ
ตะแบกบานแล้วร่วงสีม่วงที่พี่ชื่นชม.....นึกถึงท่อนบทเพลงนี้อยู่ไหว ๆ เพราะจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตะแบก จะออกดอกสีม่วง..ดูแล้วงดงามมาก.. พูดถึงต้นตะแบก..กิ่งโศก ยัง งงๆ กะต้นชนิดนี้อยู่..คือ ต้น ตะแบก...อินทนิน...และ เสลา ( อ่านว่าเส-ลา..หรือ สะเหลา ก็ไม่ทราบได้อะ) คือเนื่องจาก ใบ ต้น ดอก คล้ายกัน อะ..อาจเป็นตระกูลเดียวกัน ก็ได้.. ...สีของดอกตะแบก..ผมว่าดูแล้ว นิ่มเย็นตา..แม้นจะปนเศร้า ๆ อยู่สักนิด เสน่ห์ ดอกตะแบก..นี้เคยทำให้ กิ่งโศก ตอนทำงานอยู่ที่อีกบริษัทฯ ขอ งบประมาณ ไปซื้อ ต้นตะแบก มาปลูก ไว้เต็มเลย..ที่ งง เพราะ ที่นี่แหละ เขาบอก นี่ต้น เสลา นี่ ต้น อินทะนิน นี่ต้นตะแบก...สังเกตุ ที่ลำต้น จะดูเกลี้ยงๆ.. ....มีบทเพลงเพลงหนึ่งกล่าวถึง ดอกตะแบก...ผู้ร้อง น่าจะยังอยู่ เพียงแต่คงอายุมากแล้วแหละ.. ชื่อเพลง ... เหมือนข้าวคอยเคียว...อิอิ มันเกี่ยกะตะแบกตรงไหนละนี่...ลองฟังดูนะ ผู้ขับร้อง คุณน้ำอ้อย พรวิเชียร แนวลูกทุ่ง ..บทเพลง เพลงนี้ ที่ คนจังหวัด ของกิ่งโศก..หมายถึง โรงเรียนจ่านกร้อง ที่พิษณุโลก ได้นำบทเพลงนี่มาประกวดในรายการ ชิงช้าสวรรค์ จนได้ ชนะเลิศ มาแล้ว...หุหุ..(ชมกันหน่อย) ..ลองมาฟังบทเพลง..นี้กันดูนะครับ... เหมือนข้าวคอยเคียว "ได้ยินไหมพี่ เสียงนี้คือสาวบ้านนา พร่ำเพรียกเรียกหา นับเวลารอคอย คอยเช้าคอยเย็น ไม่เห็นสักหน่อย ปีเคลื่อน เดือนคล้อย รักเอยจะลอย รักเอยจะลอยแรมไกล อีกเมื่อไร รักจะคืนรื่นรม ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วงที่พี่ชื่นชม หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว รวงเอยรวงทอง ต้องร้างคนเกี่ยว รวงข้าวคอยเคียว น้องนี้คอยเหลียว คอยนับวันคอยพี่มา กลับเถิดหนา สาวบ้านนา ยังคอย" .............................................................. เสียงเพลงหากไม่ดัง คลิกไปที่ V http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=526312&d=1235882687 ...ชอบตรงท่อนที่ร้องว่า...ตะแบกบานแล้วร่วง..เพราะดูเหมือน วงจรชีวิตของ สรรพสิ่งในโลกเรา มีเกิด แล้วย่อมมีดับ.. เพียงแต่ เมื่อขณะ เกิด เพื่อรอดับนั้น..ได้ปลุกสร้างอะไรไว้กับ โลกใบนี้บ้าง ..สร้างหฤหรรษ์ ต่อ โลก สร้างสุขต่อโลก...สร้างกรรมดี ต่อโลก และตัวเอง...หรือ จะสร้างแบบตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา..นั่นขึ้นอยู่กับ เราเลือกลิขิตเอง...ชีวิตใช่พรหมลิขิตบันดาล ชักพา...5555 ๐ อุษาแสงทอดต้อง.......แตกไหว สว่างพร่างบังใบ...........ม่วงม้วน ล่อล้อหลอกผึ้งไพร......โผลพร่าน สีโศกมิโศกถ้วน...........ทาบแสร้งสวาทหมาย ฯ ๐ ม่วงบานม่านเบ่งเบื้อง........นภดล ตะแบกช่อชวนยล.................หยิบซ้อน- ใจเปรมกรุ่นกมล..................กำซาบ จรุงแฮ คราร่วงทรวงสะท้อน .........สะทกสะท้านพรั่นสม ฯ ๐ ดอกถูกเด็ดร่วงแล้ว.......พรูพรู ถมหล่นปนทับดู..............ดับแล้ว ปักษาโศกขานคู..............ครวญโอด รอผลิจีผลุดแพร้ว...........สะพรั่งพร้อมบานไสว ฯ ๐ เกิดดินถิ่นเก่าเชื้อ..........ชาติพันธุ์ อวดช่อเทียมสวรรค์.........ตรึกไว้ สู่สูงสุดดับขันธ์...............วัฏจักร ชีพเฮย หมุนขับกงกรรมไซร์ ......ทุกผู้ผจญ ฯ + กิ่งโศก+