ฟ้าหม่น ถูกประดับไปด้วยก้อนเมฆกลั้วด้วยเฉดสีหมองกระจายทั่วท้องฟ้าเบื้องบนนั่น? อา...แลนิมิตรภาพเหล่าอสุรา จากขุมโลกันยืนจังก้าแสยะยิ้มรออย่างกระเหี้ยนกระหือ กรงเล็บกางรอขย้ำ เต็มด้วยคราบโลหิต...หยดเลือดกำลังรินไหลร่วงพื้นแล้ว เลือดจากเบ้าหลอมเดียวกัน กำลังมล้างกัน บรรเลงคีตพญาโศก คลอทอดท่วงทำนอง กำสรดเศร้า ...อา พญาโศกกำสรวล ..และเหมือนสวดส่งความอาลัย. ขับส่ง...วิญญาณทุกผู้ที่ร่วงทาบไปบนพื้น ขับรับ....บอกเตือนแด่ชนผู้มีกิเลสได้พึงรับรู้ถึงผลลัพภ์ แห่งพิษ...อัคนีใจ..มนุษย์ เห็นภาพเปลวควัน ที่คละคลุ้ง บ่งบอกถึง ความแปลกแยก ได้ลุกลามทั่วแล้ว การต่อสู้ทางความคิด ในระบอบประชาธิปไตย ช่างโหดร้ายสิ้นดี บ้านเมืองเผาป่น ผู้คนล้มตาย บาดแผลถูกกดคมลง ยิ่งกรีดรอยลึกอยู่ทุกขณะ โอสถใดเล่าจะมาสมานรอยไหม้รอยนี้ เมืองพุทธ ที่เพาะบ่ม กล่อมเกลา ให้คนไทย นั้น มีสติด้วยต้วของตัวเอง มีศีลธรรม มีเมตตา กรุณา พึงปฏิบัติต่อกัน ของชนชาวไทย ใต้เบื้อง พุทธศาสนา หรือแม้แต่ศาสนาอื่นๆ ที่พึงสั่งสอน ให้ ...เป็น คนดี เช่นเดียวกัน ความดี ที่ทุกคนพึงปฏิบัติ ควบคู่กับ วัฒนาการสังคมเมือง ที่แทรกแซง แซะสิ่งเหล่านี้ออกห่างจากฐานเดิม ฐานแห่งความรู้จัก ดี ไม่ดี สังคมเมืองที่มาแทน วิถีเดิม ได้แปร หลายอย่างๆ ให้ขยับออกห่าง เพื่อนำวิถีครองตนแบบใหม่เข้าแทนที่ สายตาแห่งมิตรแปรเปลี่ยนเป็นอมิตร ภาพที่เห็น กิ่งโศก ยิ่งนึกถึงนวนิยาย แนวภาระตะ เรื่องหนึ่ง คือเรื่อง ปฐพีเพลิง..ประพันธ์โดย พนมเทียน เป็นนักเขียนที่กิ่งโศก ได้พบ ได้ลายเซ็น เป็นที่ระลึก และ สะสมงานของนักเขียนท่านนี้ไว้มากมาย แม้แต่ นามเรียกชื่อเล่นที่เล่นกันในบางเวป กิ่งโศก ยังนำชื่อตัวละคร มาตั้งเป็นชื่อเรียกของตัวเอง ภาพเปลวไฟลุกท่วมไม่แตกต่างกัน ภาพคนล้มตาย ต่อสู้ไม่ต่างกัน การบันทึกครั้งนี้ไม่ได้เจตนาจะซ้ำเติมฝ่ายใดแต่อย่างใด เพียงอยากกล่าว อยากพุด อยากแสดงออก เพราะเป็นๆคนหนึ่งในประเทศนี้ เท่านั้น.. + ศีล ที่ละไร้กระทำ + ๏ ศีล เหี้ยนละห่างเว้น....... วายทำ ธรรม ลบหน่ายหายนำ........ห่อนน้าว หลุด ร่วงโกรธถลำ.............ลุกกร่าง หาย หดลดแหว่งเว้า...........กลบสิ้นเกลี่ยสูญ ๚ะ ๏ อสูรแอบซ่อนเร้น.......ร่างแทน ชนเฮย นัยน์ปูดบึ้งตึงแหงน...........ผงกงุ้ม เงื้อง่าฆ่าแบ่งแบน.............หวังบิ่น แสยะยักษ์ยิ้มขยุ้ม........... ขยอกย้ำฉีกสยอง ๚ะ ๏ ส่องไฟใส่ลุกเชื้อ.......แดงเพลิง บ้านล่มจมกระเจิง.........เจื่อนเถ้า หือระห่ำร่อนเขิง...........ตาข่าย ปะทุลามรุกเร้า.............ดุจคล้ายผีสาง ๚ะ ๏ ต่างรบต่างล่าล้าง.......บรรลัย ต่างนา แค่ต่างจิตต่างใจ.............ต่างเชื้อ ต่างความต่างข้อไข........คำต่าง ต่างฉีกต่างเฉือนเนื้อ.....ต่างไร้ศีลธรรม ๚ะ ๏ เนื้อนำธรรมชะล้าง........ลอกรอย ได้ฤา ให้สุกใสเฉกพลอย.............เลื่อมแพร้ว สลักเสลาสลอย..................สล้างจิต ประสิทธิ์ประสาทแก้ว..........เกิดสร้อยโคมไสว ๚ะ + กิ่งโศก +
เสียดายยิ่งนั่ก ที่ไม่ได้ดู ได้เห็น ณ.ขณะนั้น เพียงได้รับการส่งทางอีเมล์มาเล่าขานให้รับรู้ พอเปิดดู ได้เห็น ได้ฟัง..แม้จะเป็นเพียงคนๆเดียวที่พูด.... ก้อนแข็งๆ เริ่มวิ่งมาจุกที่ต้นคอ น้ำตาประหนึ่งจะเอ่อคลอหน่วย จนดวงตาเกือบพร่า ขนลุก วาบไปทั่วสรรพางค์ แลความปีติ ดุจมีพลังกำลังโรจน์อย่างแล่น เข้าสู่หัวใจ ....รักพ่อ..ครับ ที่มา มาจาก..ข้างล่างนี้ครับ ในงานประกาศผลรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 1 ประจำปี 2552 ที่เหล่าคนดังไปร่วมงานกันคับคั่ง ช่วงเวลาแห่งความประทับใจของงานก็อยู่ตอนที่ พี่อ๊อฟ-พงษ์พัฒน์ นักร้อง-นักแสดง-ผู้กำกับยอดฝีมือ ขึ้นไปรับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม (จากเรื่องพระจันทร์สีรุ้ง) พี่อ๊อฟ ได้กล่าวถ้อยคำที่ตรงความรู้สึกของคนไทยหลายๆ คน จนคนบันเทิงที่อยู่ในหอประชุมกองทัพเรือสถานที่จัดงานถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต่างปรบมือเกรียวกราว และในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนปรบมือด้วยความรู้สึก รักพ่อ ไม่ต่างกัน.. น้ำคำ ของ คุณพงพัฒน์ .... เป็นรางวัลที่ได้รับจากบทบาทที่เล่นเป็นพ่อ ก็ขออนุญาตพูดถึงพ่อสักนิดนึงครับ พ่อเป็นเสาหลักของบ้าน บ้านของผมหลังใหญ่นะครับ ใหญ่มาก เราอยู่กันหลายคน ผมเกิดมาบ้านหลังนี้ก็สวยงามมาก สวยงามและอบอุ่น แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้บรรพบุรุษของพ่อเสียเหงื่อ เสียเลือดเอาชีวิตเข้าแลก กว่าจะเป็นบ้านหลังนี้ขึ้นมา จนมาถึงวันนี้พ่อคนนี้ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน ดูแลความสุขของทุกๆ คนในบ้าน ถ้ามีใครสักคน โกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดังใจอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน ผมจะเดินไปบอกกับคนคนนั้นว่า ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ เพราะที่นี่คือแผ่นดินของพ่อ ผมรักในหลวงครับ และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้รักในหลวงเหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน!! ศรีษะนี้มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน . กินใจกับคำพูด แบบนี้ และในสถานะการณ์แบบนี้ .ภาพโพสขยาย ให้เห็นแม้แต่ ฉัตรชัย ยังต้องเช็ดน้ำตา...ประทับใจด้วยเห็นคนไทย ยังรักพ่อหลวง คำว่านาฎราช ดูช่างมีความขลัง แล ช่างเหมาะสมกับจังหวะการกล่าว ของศิลปินคนหนึ่งแท้ ..นาฎราช เดวะ ศิวนาฏราช (Nataraja) เป็นปางหนึ่งของพระศิวะ เป็นบรมครูของศิลปะการร่ายรำหรือนาฏยศาสตร์ของอินเดีย ความเชื่อว่าการเต้นรำของพระศิวะก่อให้เกิดปฏิกิริยาของการสร้างโลกและมนุษย์ ศิวนาฏราชจะปรากฏในท่าย่างสามขุม (ตรีวิกรม) ซึ่งเป็น 1 ใน 108 ท่าที่ออกแบบโดยพระศิวะ โดยมีสัญลักษณ์ที่พระกรขวาถือกลองคือการสร้างโลก พระกรซ้ายมีเปลวเพลิงล้อมเป็นกรอบคือการสิ้นสุดที่ไฟจะเผาผลาญโลก พระศิวะได้ทรงพนันกับพระอุมาว่าโลกที่สร้างใหม่แข็งแรงหรือไม่ โดยพระศิวะทรงยืนขาเดียวบนก้อนหินโดยที่ขาต้องไม่ตก ในขณะที่พญานาคแกว่งลำตัววิดน้ำในมหาสมุทรให้สะเทือน พระศิวะทรงชนะ พระองค์ทรงสร้างโลกใหม่ด้วยการเต้นรำบนก้อนหินนั้น ในระหว่างที่ทรงเต้นรำเกิดเปลวไฟและน้ำหลั่งไหลจากพระวรกายกลายเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิต ..ศรีษะแห่งเหล่านาฎราช จักมอบแด่...พ่อหลวง.. ๏ ศิวนาฏราชเจ้า........จักรา ตรีวิกรมยาตรา......ย่อเต้น ชูกลองยกหัตถา.....ทอดว่าย ซ้ายอัคนีเค้น.....กรอบคุ้มโค้งกรง ๚ะ ๏ ศิลป์ส่งชูเชิดสร้าง....เกียรติชน นำเทิดยอท่วมยล.....ย่างซ้อง สืบทอดสอดสานสน....ศิลปะ ไทยแฮ ผูกต่อข้อเติมคล้อง......ปลูกบ้านแปลงเมือง ๚ะ ๏ บรรพบุรุษป้อง.........เรือนชาน เลือดเซ่นสุมล่วงกาล.....เกิดห้อม เสาหลักปักสมาน.......ตรึงมั่น เย็นอยู่หมู่รวมพร้อม.....ร่มพื้นเหล่าเผือ ๚ะ ๏ เหงื่อพ่อโชกเปียกชื้น......ชุ่มริน หยาดร่วงโลมเปื้อนดิน.......ดื่นด้าว พลังปลุกปลูกถวิล........วางทอด- เรืองรุ่งจรุงน้าว........เปิดบ้านบานสรวง ๚ะ ๏ ล่วงผ่านผลัดลุแล้ว ........ ถึงเรา ปัจจุสมัยเสา-.........โยกคล้อย เชือกรัดขาดต่อเนา......ตึงแน่ ใยบั่นบิ่นหยักย้อย......ย่ำมล้างทำลาย ๚ะ ๏ ไฉนไล่พ่อพ้น........หอสถาน สิ้นรักหักจึงราญ.......พ่อแล้ว สุมพอกคิดความพาล......โกรธพ่อ พ่อผิดใดลูกแก้ว.......กล่าวไร้ไมตรี ๚ะ ๏ ตรองเถิดตรึกทอดซึ้ง..........ทราบนัย ดินหยัดยืนชื่นใส..........สบรู้ พ่อปกพ่อป้องภัย.......แผ่รุก รานเฮย ผงาดชาตินักสู้........โลกซร้องสรรเสริญ ๚ะ + กิ่งโศก+ ขอบขอบคุณ น้ำคำ ของคุณพงค์พัฒน์ แนบฝากบทเพลง..ความฝันอันสูงสุด
น้ำในเขื่อนปริมาณ ลดลงมากมาย ยังไม่ต้องไปนึกถึง ในลำคลอง ลำห้วย หนอง บึง จนถึงบ่อน้ำ น้ำที่หล่อเลี้ยงชาวโลก บางฤดู (แล้ง) กลับสำแดงศักยภาพสูงสุด ผสมอากาศที่ร้อนจัด น้ำใจของผู้คน ก็ยิ่งวิ่งตามสายน้ำที่แห้งผาก คือ เหือดหาย แล้งน้ำใจกันนัก เลยหนอ สายน้ำที่เคยบอกเล่า ว่า ไหลหลั่งมิรู้จบ จากระดับบน สู่ระดับล่าง หล่อเลี้ยง สรรพสิ่งที่มีชีวิต และโลมกระจายไอแห่งความชุ่มชื้น บัดนี้ สายน้ำเริ่มแห้งกรัง สายใจเริ่มแห้งเหือด คำกล่าว ที่ว่า ..ตัดน้ำไม่ขาด ตัดบัวเหลือใย จะยังใช้ได้อยู่หรือเปล่าหนอ อาจจะ ไม่ได้ก็ได้ ..เพราะน้ำ หากเปลี่ยนสถานะจาก ของเหลวเป็นของแข็ง ( น้ำแข็ง ) เขายังตัดเป็นก้อนๆ ขายเลย 555 ส่วนตัดบัว เห็นนำมาแกงส้มสายบัว หรือแกงกระทิ อร่อยไป วันนี้ เลย อยากนำเสนอ บทเพลงเกี่ยวกับการตัดน้ำ แต่ไม่ตัดไฟ ที่เห็นกำลังขู่กันอยู่ นะ อิอิอิ เพลงนี้น่าจะอายุอานาม ก็มากโขอยู่ ชื่อเพลง ..รักคนชื่อน้อย..( มีใครชื่อน้อยบ้างละนี่ หุหุ) นักร้อง ยังมีชีวิตอยู่ ในปัจจุบัน นอกจากเพลง ตชด.ขอร้อง แล้ว ก็ มีเพลงนี้แหละ ที่ สร้างชื่อให้กับ เพชร โพธาราม .. ตัดน้ำ ยังตัดไม่ขาด ตัดสวาท น้อยจะตัดขาดอย่างไร ตัดบัว ยังมีเยื่อใย น้อยตัดน้ำใจ ควรมีเมตตา ท่อนบทเพลง นี้ สื่อให้เห็นแบบง่ายๆ ซื่อ ๆ ว่า ความพันผูก ที่มีต่อกันนั้น มันยากที่จะ ตัดขาด เพลงรักคนชื่อน้อย ขับร้องเพชร โพธาราม ..ผมหลงรักคนผู้หญิงชื่อน้อย เฝ้ารักเฝ้าคอย แต่น้อยไม่ยอมเห็นใจ เมินหน้าหนีไม่มีเยื่อใย ไม่แลเหลียว ไม่ยอมเคียงใกล้ โอ้ใจน้อยดำเหลือทน ผมหลงรักคนผู้หญิงชื่อน้อย เฝ้ารักเฝ้าคอย แต่น้อยไม่ยอมให้ยล คงเกลียดผม เพราะความยากจน จึงหลบหนี ผมหมองหม่น เฝ้าทน ด้วยความน้อยใจ ตัดน้ำ ยังตัดไม่ขาด ตัดสวาท น้อยจะตัดขาดอย่างไร ตัดบัว ยังมีเยื่อใย น้อยตัดน้ำใจ ควรมีเมตตา ผมขอร้องคนผู้หญิงชื่อน้อย อย่าทิ้งให้คอย ให้คอยจนสิ้นชีวา วอนให้น้อยนั้นจงคืนมา น้อยไม่รักผมก็ไม่ว่า ขอเพียงเห็นหน้าก็พอ ดนตรี . .ตัดน้ำ ยังตัดไม่ขาด ตัดสวาท น้อยจะตัดขาดอย่างไร ตัดบัว ยังมีเยื่อใย น้อยตัดน้ำใจ ควรมีเมตตา ผมขอร้องคนผู้หญิงชื่อน้อย อย่าทิ้งให้คอย ให้คอยจนสิ้นชีวา วอนให้น้อยนั้นจงคืนมา น้อยไม่รักผมก็ไม่ว่า ขอเพียงเห็นหน้า ก็พอ จะชื่อน้อย ชื่อมาก ชื่อปราณี เพียงไม่ไร้ซึ่ง ความเมตตาแล้ว ชื่อไหนๆ ก็ย่อมควรชื่นชมทั้งนั้น ฟังพี่หน่อย นะ.. ๏ อย่าเพ่อพากษ์ตัดเส้น............ ผูกสาย วิ่นขาดแหว่งขั้ววาย.........หว่างข้อ ไร้สิ้นบิ่นมลาย............ร่องแร่ง ฟังเถิดถ้อยคำพ้อ.........พี่ท้าวความหลัง ๚ะ ๏ สองแรงสองร่วมสร้าง.....รวมเสริม ปะติดปะต่อเติม.......... แต่งแต้ม จวบล่วงจึ่งแรกเจิม......จำมั่น ฉ่ำรสเฉลาแฉล้ม......ชื่นแล้วชมสมร ๚ะ ๏ วอนเจ้าอย่าด่วนจ้ำ.........จรหนี ใยเยื่อยากย่ำยี.........ยักย้าย หมายสมัครมั่นมี........สมมาด ขอแม่พึงผูกด้าย......ถักด้วยอย่าดาย ๚ะ ๏ ใดใดใช่จะร้าง.......ขาดรอน พึงย่อมพินิจตอน.....ตรึกไว้ หาญหักยิ่งสังหรณ์.......ว่าห่าง จีดรสจางจุ่งไร้........ปร่าลิ้นถวิลหวาน ๚ะ ๏ จะราญหาญแล่จ้อง.......รอนใจ แลพิศเนื้อความนัย........พี่น้าว สนิทสิเน่ห์ไหน..........เทียมนั่น เฉกพี่นี้แดนด้าว........ยากด้นค้นหา ๚ะ
ท่ามระอุ อุณหภูมิเดือนหก ยังไม่จางหายกับไอร้อนระยิบ ทุ่งที่แห้งแล้ง ของเดือนห้า ท้องทุ่งที่ดูไร้ผู้คน ท้องทุ่ง ที่ฉาบฟ้าด้วยรอยหม่น ปรอทวัด สี่สิบกว่าองศา ..บางทีมันยังร้อนน้อยกว่า หัวใจใครบางคนเสียอีก หรือความร้อนที่พุ่งทะยาน ดุจจะเผาร่าง เผาสิ่งมีชิวิต ให้เป็นเถ้า กลับยิ่งทำให้บางใคร กลับเย็นยะเยียบทวีคูณ เช่นกัน เกี่ยวกับเดือนของไทยนี่ มีนักประพันธ์เพลง นำมาร้องกันพอสมควร ที่เกี่ยวกับธรรมชาติ เอาแค่พอนึกได้ นะครับ เดือนอ้าย.....(นึกไม่ออกว่ามีเพลงอะไรบ้าง ) เดือนยี่ (สอง) ...น้ำลงเดือนยี่ น้ำก็รี่ไหลลงไหลลง.. เดือนสาม ....ตกเดือนสาม น้ำก็คงไหลขอดตลอดลำครอง เดือนสี่..... นึกม่ายออกอีกอะ เดือนห้า.......หน้าแล้ง ลมแรงพัดช่อมะม่วง.... เดือนหก....น้ำค้างเดือนหกตกแล้ว..หรือ ย่างเข้าเดือนหกฝนก็ตกพรำๆ เดือดเจ็ด...น้ำฝน.เดือนเจ็ดตกแล้ว วับวาวเหมือนแก้ว หล่นลงแล้วทั่วพฤกษ์ ( ร้องแก้เดือนหก) เดือนแปด..สงสัยไม่มี เดือนเก้า.....ยิ่งไม่มี อิอิ เดือนสิบ.... ยังหาไม่เจอจ้า เดือนสิบเอ็ด.... เมื่อเดือนสิบเอ็ดน้ำเริ่มไหลนอง เดือนสิบสอง....เมื่อสิบสอง น้ำก็นองจนเริ่มจะทรง ..หุหุ ใครทราบ ร่วมแจมได้ครับ ด้วยเข้าสู่เดือนหก ของไทย คือจะเข้าหน้าฝน ..วัสสะตฤดู ( บางท่านอาจชินกะ วสันตฤดู ที่แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ ที่เมืองไทยไม่มี อาจมีคือรวมในฤดูฝน นี่แหละ ) ก่อนที่ฝนจะมา ความแห้งแล้งได้ทำงานอย่างไม่ปราณี ต้นไม้ใบหญ้า รากใบเหี่ยวเฉาแห้งตายไปก็มี แต่จะได้รับการปลุกฟื้นให้ตื่นช่วงเวลาค่ำคืน ค่ำคืนที่ฟ้าจะโปรยละออง ไอน้ำ หรือนำค้างนะแหละ เพื่อรินรด ใบไม้ หญ้าเหล่านั้น ให้เริ่ม วอร์มอัพ ปลุกชีวิต ก่อนที่ได้รับความชุ่มฉ่ำของน้ำฟ้า อย่างเต็มที่นั่นเอง น้ำค้างเดือนหก ..เริ่มบรรเลงแล้ว ...รับความบรรเทิงจากบทเพลง น้ำค้างเดือนหก ครับ เพลง / Title : น้ำค้างเดือนหก ศิลปิน / Artist : สุรพล สมบัติเจริญ คำร้อง / ทำนอง : ไพบูลย์ บุตรขัน น้ำค้างเดือนหกตกแล้ว น้องเอยน้องแก้วเจ้าไม่หนาวบ้างหรือไร เมื่อไหร่จะหาเพื่อนมาช่วยจับคันไถ รู้ตัวหรือเปล่าว่าใครคนหนึ่งชอบน้อง น้ำค้างที่หยาดจากฟ้า เหมือนเป็นสัญญาปรารถนาคู่รักครอง หากพี่เสนอแล้วเธอไม่ตอบสนอง น้ำค้างก็เป็นน้ำคลองคู่จองก็เป็นคู่จาง ห้องจะกลายเป็นรังหนู เรือนหอที่รอรักอยู่ จะกลายเป็นเรือนร้าง ข้าวที่มองเห็นอยู่เต็มฉาง คงเหมือนก้อนดินที่วาง อยู่ตามท้องนา น้ำคางเดือนหกตกแล้ว วับแววเหมือนแก้ว พร่างพราวแพรวบนยอดหญ้าคา แม่ยอดน้ำค้าง รักนางขอปรารถนา ถึงใครจะมองไร้ค่าพี่อยากได้มาไว้ครอง ๏ ร่างเจ้าหลับดั่งสิ้น..........ชีพนาน เนานอ ตอเหี่ยวหักหมดหาญ............แกร่งแกล้ว หยาดทิพย์หยดประทาน.......โปรยทั่ว ผืนนา ล่วงปลุกลุกตื่นแล้ว............. รับน้ำชูขวัญ ๚ะ ก้านกลีบใบอันเหี่ยวเฉาตายแห้งกรังเริ่มรับ สดับได้กับน้ำฟ้า ตื่นเถิด ต้นหญ้าเอ๋ย ตื่นจากการหลับไหลอันนิรันดร์ บัดนี้ เทวะ ทรงโปรยหยาดทิพย์ ปลุกชีพยืนแล้ว ๏ ใบเรียวเสี้ยวร่อนซ้อน........ชูใบ ฟ้าเรื่อคืนไร้ไฟ....................กระจ่างฟ้า ซึมซับชื่นทรวงใน..............ยกช่อ อวดเอ่ยเผยอยากอ้า...........กลีบอ้อแอร่มโฉม ๚ะ ยอดหญ้า บางยอดเริ่มผลิแทง เรียวใบอ่อน ขจี ช่ออ่อนบริสุทธิ์ เริ่มระบำ รับน้ำค้าง อันใสกระจ่าง ก่อนที่ จะถูกขับไล่จาก แสงอาทิตย์อุทัย ๏ ก่อนอุษาสว่างพร่างด้วยเก็จแก้ว ....... บรรเจิดแพร้วขับพิมานซ่านจรัสศรี เริงย่ำรุ่งโรจน์เวิ้งวนาลี ............... ดุจเทพีประทานม่านแห่งไพร ใสด้วยหยาดมณีล้อจันทร์แสง .......... ระริกแสร้งโยงเส้นแลเห็นใส บ้างกลิ้งเกลือกใบกล้าพฤกษาไพร .........วาวไสวสว่างวับแลจับจินตน์ ๚ะ ขจีจับด้วย พรายน้ำฟ้า วาวแกมเขียว สำแดงถึง ความชุ่มฉ่ำ แสดงถึงชีวิตกำลังโรจนา แล้ว ๏ แลระริกระรี้............เริงลม เชิงช่อเชิญชวนชม......ชื่นชู้ ตื่นแต่ต่างใต้ตม.......แตกเต่ง ผันพลิกผลัดผ่านผู้......ภพพื้นเพลินผา ๚ะ .... ช่องามเจ้าอวดรับรสชื่นชีวิตชีวากำลังขจายทั่วปฐพีแล้ว ๏ ดั่งหยาดเพชรเก็จแก้ว..........เลอสูง ประดับดินเด่นจรุง...........ทั่วหล้า หญ้าต่ำหยดแต้มจูง.......เจิดจรัส พิษณุเทพสถิตย์ฟ้า........เสกสร้างจึ่งสรรค์ ๚ะ ก้อนน้ำ ประหนึ่งเพชรมณี ที่เจียรไนย ด้วยมือของ วิษณุเทพ ใสกระจ่างปานนั้น เพียงต้องแสงดาว วาวแห่งแสงพึงตระการ ให้เหล่า จตุบาท ได้ยลฉะนั้น ..มนุษย์ใยเล่าไม่มาแล ๏ แลเด่นเพ็ญพร่างด้วย.......รัศมี ดาวจุ่งดับอับฤดี.......... โรจน์ด้วย แพงระยับจับขจี.........ขจ่างเจิ่ง แม้นห่างระหานห้วย......ชุ่มชื้นฉ่ำแหน ๚ะ เพชรประดับดินมีเคยด้อยในเนื้อใด แม้นเพียงชั่วครู่ รอการสลายมล้างจากแสงสูรย์ จงกอบโกย เอาความสดชื่นนั้นไว้ให้เต็มหัวใจเถิด ชน...
ซี้..มักมีความหมายแปลกๆ อะนะครับพี่น้อง ซี้..หมายถึงตาย มอดม้วยมรณัง อิอิ เช่น ซี้แง๋แก๋ ตายแน่นอน ซี้..หมายถึง ความสนิทชิดเชื้อ..เช่น เพื่อซี้ ซี้ปึ๊ก.. จะซี้ แบบไหน ยังไง นั่นคือ เราๆ ท่านๆ พึงสดับยินกันมา ..แต่ วันนี้ กิ่งโศก นำเสนอ บทเพลงที่กล่าวถึง คำว่า ซี้ แต่เป็น แซ่ซี้ อ้ายลื้อเจ๊กนั้ง ดูเหมือนจะเป็นภาษาจีน ส่วน จีนกลาง แต้จิ๋ว ไหหลำ แบบไหน กิ่งโศก ผู้ไม่มีเชื้อจีน สักกะนิด ไม่อาจทราบได้ ขอรับ เหอๆๆ บทเพลงนี้ อายุเพลงน่าจะ สามสิบกว่าขวบปีเห็นจะได้ ที่หากมองแบบ เชิงประวัติศาสตร์ จะเห็นว่า คนจีนจากแผ่นดินใหญ่ที่มาอาศัย ในเมืองไทยนั้นมีมานาน คนจีนที่ส่วนมาก มาอยู่เมืองไทย อาชีพ คือค้าขาย ที่คนไทยไม่ค่อยทำกันสักเท่าไหร่ เพราะ อาชีพของคนไทยคือเกษตรกรรม และ รับราชการ จวบล่วงสู่สมัยปัจจุบัน คนจีนเหล่านั้น ผสมสาน วิถี ชิวิต ไทย จีน ดำรงชีพ แลเติบใหญ่ กลายเป็นกลุ่มคนที่คุมภาคเศรษฐกิจของไทยไปเสียแล้ว จากเสื่อผืนหมอนใบ....กลับกลาย เป็น อาเฮีย อากู๋ อาเสี่ย ร่ำรวย มีหน้ามีตามากกว่า คนไทย นี่คือผลลัพภ์ ของความขยันนั่นเอง เอาแหละ ลองมาฟังเพลงแนวหนุ่ม จีน จีบสาวไทย เมื่อยุค สามสิบปี ดูกันะครับ แซ่ซี้อ้ายลื่อเจ็กนั้ง คำร้อง-ทำน้อง-ขับร้อง สุรพล สมบัติเจริญ แซ่ซี้อ้ายลื่อเจ็กนั้ง เป็งตายพี่ก็ยังรักเธอ อาม่วยทั้งหลาย ที่เฮียล่ายเจอะเจอ ยังไม่สวยเลิกเลอ เท่ากับเธอคงเลียว หากแม้งล่ายน้องมาเคียงคู่ จะพาไปลูหนังไทยทุกรอบเชียว ชิวอิกชิวหยี พี่จะพาน้องเที่ยว จะไปไหว้เจ้าเจี้ยวที่เมืองชงบุรี หว่างกิมเล้ง ล้องเพงให้เจ้าฟัง เสร็กจากลูหนัง ไปบางแสงลินแลนสุขี ลูพระจังตกน้ำ ตกเมื่อยามราตรี น้องกับพี่คุยกัง ที่บงหากทราย แซ่ซี้อ้ายลื่อเจ็กนั้ง เห็นใจพี่บ้างเปล่าสาวไทย หากแม้งล่ายเจ้า มาเป็งคู่ขวังใจ เฮียจะพาลื้อไป ไปเจี๋ยะผักบุ้งไฟแดง ..การใช้คำ จะทับศัพท์ ภาษาจีน เลย ทีเดียว ฟังแล้วกลับให้ความสนุกสนานครับ กิ่งโศก มาทำงานแถว ชลบุรี เวลาผ่านไปบางแสน จะนึกถึงเพลงนี้ ทุกที...ไปบางแสงลิงแลงสุขขี ลูพะจังตกน่ำ ตกเมื่อย่ำลาติ...อิอิ แต่เจ้าเจี๊ยว นี่ สอบถามคนแถวนี้ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนอะ..555 เลยลองเสริจหา คำแปลเพลงนี้ดู ไปเจอ .ในบล๊อคแก้ง เลยเอามาแปะ ให้ดูกัน..นะครับ ....คุณ เอ....ในฐานะ ลูกจีนแท้นะครับ ขอตอบว่า แซ จีนกลางใช้ว่า เซิง แปลว่าเกิด แซสี่ ก็แปลว่าเกิด คำในภาษาจีนคล้ายภาษาไทยมักไปเป็นคู่ๆ แต่ที่จริง ในภาษา แต้จิ๋วเท่าที่ได้ยิน เพราะที่บ้าน จีนแต้จิ๋ว จะใช้คำว่า ชุก ซี่ ชุกแปลตรงตัวว่า ออก อ้ายลื้อ ก็คือ อ้ายหนี่ ในจีนกลาง แปลว่า รักเธอ เจ็กนั้ง เป็นจีนกลาง ต้องใช้ว่า อี เก้อ เหริน แปลว่าคนเดียว รวมแล้วได้ความว่า ชาตินี้เกิดมารักเธอเพียงคนเดียว อั๊วก็ตึ่งนั้งเกี้ย แปลว่า ฉัน(ข้า) เป็นลูกคนจีน ลื้อก็ตึ่งนั้งซุง แปลว่า เธอ(เอ็ง) ก็หลานคนจีน แต่ไอ้คำว่า ยิกเท้าโหละซัวนี่กำลังนึกๆอยู่ ยิก แปลว่าเข้า โหลว แปลว่า ถนน ซัว แปลว่า ภูเขา มันน่าจะเป้นอะไรที่เกี่ยวกับ การชมเขาชมไพร ชมนกชมไม้ หรือเปล่าไม่แน่ใจครับ คุณ เอ...บล็อคแก้ง ..................................................................................................................................................................... ชิวอิก ชิวหยี เป็นการนับวันทาง จันทรคติของจีน ชิวอิก ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ครับ ลื้อต่า อั๊วอ้ายอีเจ็กนั้ง เอ็งบอก เอ็งรักเขา(ชายคนนั้น) คนเดียว บ่เซียงกัง ม่วนเกีย แปลว่า ไม่เป็นไรแม่สาวน้อย ลื้อเซียงเงี้ย เงี้ยกว่าใครๆ แปลว่า เอ็งช่างสวย สวยกว่าใครๆ อั๊วเทียลื้ออ๊ายคื่อเถี่ยวจิ๊งซี่ ยังงง ตรงนี้ คาดว่าที่ถูกต้องน่าจะเป็น อั๊วเทียลื้ออ้ายคือเถี่ยวจุ้ยซี่ ถ้าเป็นอย่างที่ผมเขียนจะแปลว่า ข้าได้ยินว่าเอ็งจะไปกระโดดน้ำตาย เจ้าเจียว คิดว่าไม่มีความหมายพิเศษ ครับ ว่างกิมเล้งนี่ ไม่แจว่า หมายถึงคน หรือเปล่าครับ เพราะเหมือนชื่อคนครับ ................................................................................................................................................... เพลงนี้ภาษาจีนเป็นการเลียนแบบภาษาแต้จิ๋ว ซึ่งบางคำมันฟังดูไทยไปหน่อยอะครับ ผมจะลองแปลเท่าที่รู้นะครับ แซซี้อ้ายลื้อเจ๊กนั้ง -> แซซี่ไอ๊ลื่อเจ็กนั้ง = เป็นตายฉันก็รักคุณ ชิวอิกชิวหยี่ -> ชิวอิกชิวหยี = วันที่หนึ่ง วันที่สองของเดือน ตามปฏิทินจีน เจ้าเจียว -> มีความหมายเฉพาะคำวา เจ้า ส่วน เจี้ยว เป็นคำเสริม ไม่มีความหมาย แบบเดียวกับคำว่า กินเกิน เห็นเหิน ว่างกิมเล้ง -> น่าจะเป็น อ่วงกิมเล้ง ไม่แน่ใจว่าเป็นชื่อคนหรือปล่าว เพราะปกติ เล้ง ใช้กับชื่อผู้ชาย ยิ๊กเท้าโหละซัว -> ยิกเท้าเหลาะซัว = พระอาทิตย์ตกเขา ก็คือ พรัอาทิตย์ตกดินในภาษาไทยแหละครับ ลื้อตาอั๊วอายอีเจ๊กนั้ง -> ลื่อต่าอั้วไอ่อีเจ็กนั้ง = คุณพูดว่าฉันรักเค้าคนเดียว บ่เซียงกังม่วยเกี๊ย -> บ่อเซียงกังหม่วยเกี้ย = ไม่เป็นไรน้องสาว ลื้อเซียงเงี๊ยเงี๊ย -> ลื่อเสี่ยงเงี่ยเงี่ย -> คุณสวยที่สุด ฮั้วเทียลื้ออ้ายคือเถี่ยวจึ่งซี๊ -> อั้วเทียลื่อไอ๊คื้อเถี่ยวจุ้ยซี่ = ผมได้ยินว่าคุณจะไปกระโดดน้ำตาย บ่อั๊วซีม่วยเจียบตรงไหน -> บอกอั้วซีม่วยเจ็บตรงไหน (เนื้อที่ให้มาผิดครับ) ม่วย ลืมเซี๊ยะเถิด = ลืมซะเถิด หลับเตรียมตัว -> หลักเตี๋ยมปั่ว (เนื้อที่ให้มาผิดครับ) = หกโมงครึ่ง คุณ กากี่นั้ง .. ........................................................................................................................................ เผอิญ ว่ามีผู้รู้ แปลเพลง แซซี้ และเพลงอื่นๆ ด้วยเลยมีหลายคำ แถม มา อิอิ ๏ ชดใช้..กรรม ๏ ๏ ส่งกรรมซ่อนก่อเชื้อ......โชนกรรม บาปสู่บั่นทอนทำ....... เท่งม้วย ไม่แน่มิรู้นำ.......อาจหน่าย ดุจหุบดอกบานย้วย....ยับย้อนย่อหยัน ๚ะ ๏ แตกกอต่อกิ่งแต้ม.....เติมการ ดีแฮ ประดับปะเด่นปาน.....เปรื่องด้าว สร้างคุณชุ่นคั้นชาน-.....อ้อยฉ่ำ ดีย่อมน้อมย่างน้าว......นับยั้งยกเผยอ ๚ะ ๏ มรณังยั้งบ่ได้.......หมายดัน หากชั่วสิ้นชีวัน.....ยาก,รั้ง ชดใช้ใช่หมดอัน.....ที่เก่า ใหม่ก่อต่อเติมบั้ง....ก็ต้องทอนตาม ๚ะ ๏ ชีพอยู่สู้อย่าสร้าง......สุมเวร เสริมด่ำฉ่ำดีเย็น.....อยู่แล้ว ตั้งจิตคิดดีเป็น......ปรมัตถ์ ปฎิบัติสุขแพร้ว.....เพริดด้วยพร้อมสถาน ๚ะ + กิ่งโศก+ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓