๏ รับส่งตามเส้นทาง.......ทบต้นหว่างวิ่งสุดสาย นิราศผ่านระราย............กระแสล่องฤๅทวนลม ๚ะ ๏ รอนรอนจนล่วงดึก.......ผ่านพงพฤกษ์น้ำค้างพรม อุษาสางแสงชม.................วิ่งตะบึงถึงปลายบน ๚ะ ด่วน บขส... รถด่วน รถธรรมดา หลายปีก่อน เคยได้ยินรถด่วน 99 ด่วน 99 แม่กลอง หลงรักน้องสมุทรสาคร ... นั่นแสดงว่า ..ด่วนไม่เต็มร้อย 55 แต่รถด่วน สมัยนี้ บางคนชอบ ทาน อิอิ ..ที่เขาทอดขายนะครับ ท่าทางจะอร่อย เหาะ หุหุ นอกจากเรื่องรถ ที่มีด่วน กะบม่ด่วนแล้ว เกี่ยวกับการทำงาน ยังมีแบบ ด่วน ไม่ด่วน และด่วนเช่นกัน เช่นเรื่องนี้ ด่วน(เฉยๆ) เรื่องนี้ด่วนมาก เรื่องนี้ด่วนจี๋ เรื่องนี้ด่วนที่สุด หรือ เรื่องนี้ ด้วนด่วน 55 .. เมื่อวาน กิ่งโศก เปิดวิทยุ ฟังเพลง เจอเพลงเกี่ยวกะรถด่วน บขส. (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ยังเรียกกันอยู่หรือเปล่า) เป็นเพลง คล้ายเพื่อชีวิต จังหวะสนุก ..หากเป็นคอนเสิตย์ หลายคนคงได้ลุกขึ้นดิ้น กันสนุกแน่ อิอิ ฟังเสียงดนตรี โจ๊ะ พรึมๆ โจ๊ะ..แหม..หุหุ .. ดนตรีจังหวะสนุก สไตล์สามช่า แต่เนื้อหาเพลงกลับดูเศร้าสลด เหอๆ ช่างขัดแย้ง กัน ในเบื้องความขัดแย้งกลับผสมกลมกลืนกันดีนักละครับ ..ชาวนา ..ฝน .. ข้าว เหล่านี้ คือสิ่งที่ผูกพันธ์ในวิถีชีวิตชาวสยามมาแต่นานแล้ว จนมียุครัฐมนตรีสมัยหนึ่งนำมา เป็นสิ่งชูประเทศ ..เป็นบทเพลงทำนองรักชาติ....ยกตัวอย่างนะครับ.. ไทยจะเริงอำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม หุหุ..แต่ชีวิตชาวนา ชาวไร่แท้จริง ยังทุกข์เข็ญ กันมาตลอด..นี่แหละชาวนา รอแต่ฟ้า พึ่งแต่ฝน.. ไม่พูดพล่าม แต่ฟังกันเลยดีกว่านะครับ หุหุ จะได้ คึกคัก อาจนึกสนุก เอาแค่โยกไหล่ ก้อพอนะครับ ฝนจางนางหาย พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ .ฝน หลั่ง ดังว่าน้ำตา เราร่วง เฝ้ารักเฝ้าหวง ห่วงแผ่นดิน ถิ่นเกิดกาย ก็ลืมไม่ลง อนงค์นุ่งซิ่นเฉิดฉาย ฝนพรมร่างกาย อาบทรวดทรง น้ำนวลเย้ายวนนัยน์ตา ฝน หลั่ง ค่อยๆแหงนคอย แต่เนิ่น ยิ่งฟังยิ่งเพลิน ดั่งเหรียญเงิน ร่วงลงเต็มท้องนา ข้าวรอมือเรียว เกี่ยวดอง น้องนางนั่นหนา เจ้าเคยสัญญา จะมาหน้าฝน เฝ้าคอยเหมือนคนเป็นไข้ ด่วน บ.ข.ส. วิ่งเลย เมื่อไร จะจอด น้ำจวนแห้งขอด ข้าวเต็มนา ปลาร้าเต็มไห โบกรถข้างทาง ฝากฝัง น้ำคำห่วงใย รับคนเที่ยวใหม่ ช่วยนำพา น้องนางบ้านนามาด้วย ....ด่วน บ.ข.ส. วิ่งเลย เมื่อไร จะจอด น้ำจวนแห้งขอด ข้าวเต็มนา ปลาร้าเต็มไห โบกรถข้างทาง ฝากฝัง น้ำคำห่วงใย รับคนเที่ยวใหม่ ช่วยนำพา น้องนางบ้านนามาด้วย... น้าหมู พงษ์เทพ นี่แม้ผมจะไม่ค่อยจะประทับใจในน้ำเสียง แต่ฟังๆไป อืมนี่แหละ เขาถ่ายทอด ออกมาได้กลมกลืน เหมาะกับชาวไร่ชาวนาเลยแหละ อิอิ หนุ่มบ้านนากำลังนึกถึงแม่สาวผู้ ไปแสวงหาความมั่งคั่งในเมืองหลวง ทิ้งไอ้หน่ม เดียวดาย หน้าฝน มาถึงข้าวกำลังแก่ รอการเกี่ยว ที่ไอ้หนุ่มอยากให้อีสาว มาเคียงคู่เกี่ยวข้างจัง รักแผ่นดินถิ่นเกิดกำเนิดเนา บภาพกว้าง บ่งบอกให้กตัญญู อย่ามุ่งจนอย่าหมายทำลายล้างด้วยเพียงมือเรา อย่าให้เป็นมือทำลายในสิ่งที่ บรรพบุรุษ เราได้สร้างด้วย ก้อนเนื้อ ก้อนเลือด กองกระดูก รักษาจนถึงเราทุกวันนี้ โปรดตอบแทนบุญคุณต่อผืนปฐพีนี้เถิด. ๏ ห้องเปลี่ยวเหี่ยวผุแห้ง..........เรือนหอ ไร้ร่างนางนุชคลอ.......................แนบคล้อง เรือนเซทรุดเฉงอ......................ง้างโยก อกหนุ่มคิดถึงน้อง......................นับนิ้วรอนาง ๚ะ ๏ ห้องเปลี่ยวเหี่ยวผุแห้ง..........ลุผ่านแล้งโลมพิรุณ หยาดรั่วหยดรูพรุน...................กระทบฟากฝากเป็นดวง ๚ะ ๏ น้ำฟ้าร่วงเม็ดโปรย.............. ฉ่ำช้อนโชยสะท้านทรวง ซางข้าวที่ไร้รวง ...................... ยังเปื่อยยุ่ยขยุยกอง ๚ะ ๏ เสียงระปะทะโถม ................ ดุจตระโบมกะโลมลอง หวิวหวิวละลิ่วล่อง ........................ฟ้าพิโรธกระหรือไร ๏ อึงอลจนล้าอ่อน ..................... หลุดปลิวว่อนลู่เอนไหว ชะโลมชะล้างใบ......................... ปลุกชีพโชติช่วงชวาล ๚ะ ๏ อารัญหลังสายฝน.................... กระจ่างจนฟ้าตระการ ทุ่งเคยเคียงนงคราญ ................. กลับมาร้างไร้คนแล ๚ะ ๏ อารัญครั้นรุ่งแจ้ง...............จางฝน ภาพเก่าเคล้าระคน.................คืบย้อน กำเคียวเกี่ยวข้าวปน..............ใจป่วน ถึงแม่ คำรบนี้สะท้อน........................โศกแท้สึกถอย ๚ะ + กิ่งโศก +
เป็นเรื่องที่ กิ่งโศก ไปพบในสถานที่ หนึ่งระบุพื้นที่ ที่สีแดง เข้าไม่ได้ เพราะอะไร จึงมีการห้ามแบบนี้? อันที่จริงเขาห้ามกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๑๐๓- ๒๑๐๖ แล้ว กิ่งโศก เขียนเรื่องนี้ เมื่อ คราวไปเยือนเมืองๆหนึ่ง หรือจะ เรียกว่าอำเภอ ๆ หนึ่งก็แล้วกัน นั่น คือ ด่านซ้าย ( ด่านขวา ไม่รู้อยู่ไหน ใครทราบบอกด้วย) เอ่ยถึงเมืองเลย หรือจังหวัดเลย แล้ว เราจะนึกถึงภูกระดึง ภูเรือ และเชียงคาน เพราะเป็นสถานที่ ท่องเที่ยวที่ผู้คนมักจะเดินทางไปกันอยู่เนือง ๆ ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ( หยุดเองโดย ลางาน) 55 เพราะคุณพ่อไม่สบายเลยไปเยี่ยมท่าน และถือโอกาส ไปไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์ กิ่งโศก ได้เดินทางไปที่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ไปไหว้พระธาตุศรีสองรัก ที่ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนละแวกนั้น นับถือ ไปบนบาน และไปแก้บนกัน สีแดง..มาเกี่ยวอะไรด้วย สีแดงที่เกี่ยวข้อง กับ วัดพระธาตุศรีสองรักนี้ครับ เนื่องจากถือเป็นประเพณีธรรมเนียมปฎิบัติมาแต่โบราณ ว่า ห้าม ใส่เสื้อผ้า เครื่องประดับเป็นสีแดง เข้าไปไหว้พระธาตุศรีสองรัก เนื่องมาจาก ประวัติการสร้างพระธาตุศรีสองรัก ที่บันทึกในศิลา เป็นอักษรธรรมอีสาน (หลักที่๒ ส่วนหลักที่ ๑ ไปอยู่ที่ประเทศลาว จึงมีการสร้างหลักจารึกศิลาอีกอัน) กล่าวว่า ถูกสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์สัตนาคนหุต (เวียงจันทน์) เนื่องจากขณะที่กษัตริย์ทั้งครองราชสมบัติ ตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ และมีการรุกรานดินแดนต่าง ๆ เพื่อขยายอำนาจ สมเด็จพระมหาจักรพรรและพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงเห็นตรงกันที่จะรวมกำลังเป็นพันธมิตร เพื่อต่อสู้กับพม่า จึงทรงกระทำสัตยาธิษฐานว่าจะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกัน และเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีต่อกัน จึงได้ทรงร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้นเป็นสักขีพยาน ณ กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นรอยต่อของทั้งสองอาณาจักร โดยการสร้างเจดีย์ขึ้นและให้ใช้ชื่อว่า พระธาตุศรีสองรัก คนที่จะเข้าไปสักการะองค์พระธาตุได้ จะต้องห้ามใส่เสื้อผ้า สีแดง หรือถือสิ่งของที่มีสีแดงเข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ ด้วยเหตุผลที่ว่า... พระธาตุศรีสองรัก เป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ระหว่างสยามประเทศ และประเทศลาว มาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งนี้ สีแดง อาจเปรียบได้กับ เลือด ที่เป็นผลของการทำสงคราม ดังนั้น คนโบราณจึงมีการห้ามไม่ให้ผู้ที่สวมเสื้อผ้าสีแดง เข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ จนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบัน นี่แหละคือเหตุผล ของการห้าม สีแดง เข้าไปในวัดพระธาตุศรีสองรัก วัดนี้ไม่มีพระสงฆ์ ดูแล แต่ กลับมี พ่อกวน เป็นผู้นำในการประกอบพิธีสักการะ นอกจากมีพ่อกวน จะมี ตำแหน่ง ของผู้นำทางาสนพิธี เช่น นางเทียม นางแต่ง ขุน แสน หมื่นและอีกหลายๆ ตำแหน่ง ที่คล้ายเป็นตำแหน่งในสมัยล้นช้าง ของอาณาจักรล้านช้างพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช..โดยเป็นร่างทรง ของกษัตริย์ และเหล่าเจ้าเมืองต่างๆ ..คงต้องไปหาอ่านเอาเองนะครับ อิอิ กิ่งโศก ไปซื้อประวัติที่วัดพระธาตุเล่มละ 40 บาท ยังอ่านไม่จบหุหุ ด่านซ้ายที่ ทางการได้แทรกพิธีกรรมนี้ คือ ผีตาโขน ที่ทุกๆท่านจะทราบกันดี ประวัติผีตาโขน คงมาจาก ตำนานของพุทธชาดก พิธีกรรมเหล่านี้ ถือเป็นความ ผูกพันธุ์ โดยความเชื่อ ที่มีมาอย่างแน่นแฟ้นกับท้องถิ่น ศาสนาพุทธ กับความเชื่อ ผี นับถือผี ยังคงมีมาควบคู่คนไทยมายาวนานแล้ว อ้อ ที่ต่างกับถิ่นอื่นของที่นี่ คือ ภาษาพูด คือ ไม่ใช่อีสาน หรือเหนือ แต่คล้ายภาษาลาว เวียงจันทร์ มากกว่า ซึ่งมีเป็นกลุ่มกระจาย ไปตามเขตติดต่อ เช่นหล่มเก่า หล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่อำเภอ นครไทย จังหวัดพิษณุโลก (เฉพาะ ฝั่งติดกับอำเภอด่านซ้าย) ถือว่าเป็นอัตลักณ์ ของคนพื้นถิ่นย่านนี้ เช่นคำแก้บะ........แก้บน สำเนียง สูงๆต่ำ เนิบ ฟังดูมีเสน่ห์ยิ่งแล้วครับ มาดูการบนบาน หรือ การบะ หรือแก้บน (แก้บะ) ลูกหลานผู้นับถือองค์พระธาตุจะพากัน ไปบน โดยไปที่ตัวพระธาตุ จะมีเจ้าหน้าที่ลุงท่านหนึ่ง จะพากล่าว อธิฐาน อะไรก็ว่าไป แล้วทุกๆ เดือน๖ จะต้องกลับมาแก้บน การแก้บน ให้ทำต้นผึ้ง ( ภาษาที่นั่น เรียกต้นเพิ่ง) ดังรูป จะทำไปเอง หรือ ไปซื้อเอาแถวนั้นก็ได้ แล้วไปหาเจ้าหน้าที่ เขาจะกล่าวนำ มีค่าแก้บนโดยใส่ไว้ให้กับผู้ทำพิธี ใครที่นับถือจะนับถือกันมาก เพราะ องค์พระธาตุคือ ตัวแทน แห่งสัจจะ หลายคนจึงไปสาบานกันที่นั่น นอกจากนี้ คือคุณความดี เพราะการนับถือองค์พระธาตุ คือการสร้างคุณความดี นั่นเอง อีกอย่าง..นอกการเช่าองค์พระธาตุไปบูชา สิ่งที่คนแถวนั้น ที่ทำกัน คือ ดินพระธาตุ ที่นำไปบูชา ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่น ว่าพระธาตจะคุ้มครอง ภัยต่างๆได้ แต่หาก ทำผิด ไปอยู่ในศีลในธรรมดินพระธาตุ จะไม่อยู่กับตัวจะหายไปโดยไม่รู้สาเหตุ หรือไม่ก็ ตัวเอง ญาติ จะเจ็บไข้ได้ป่วย ต่อเมื่อนำดินธาติมาคืนและขอขมา นั่นแหละจึงจะหาย..วันที่กิ่งโศก ไป ยังเจอ ดินพระธาตุ เห็นมีวางอยู่ริมฐาน พระธาตุอยู่หลายอันแสดงว่า คงมีผู้มาคืน ความเชื่อเกี่ยวกับพิธีกรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผี เจ้าป่า เทวดา มีควบคู่กับคนไทย ที่ถือพุทธศาสนา มานานแล้ว แทบจะแยก ไม่ออกันเลย เอาละลองมาฟังเพลงที่เกี่ยวกับ เมืองด่านซ้าย ดูนะครับ กิ่งโศก หาในเวป เจอ เพลงสุดทางที่ด่านซ้าย เป็นเพลงบ่งบอกถึงชีวิตรั้วของชาติ ..ที่ต้องควรป้องกันอธิปไตยของประเทศ เพื่อคนที่อยู่แนวหลัง.. เนื้อร้อง ดู เศร้าสร้อย กินใจดีครับ มาฟังเพลงนี้กันนะครับ เพลง สุดทางที่ด่านซ้าย ขับร้อง สายัณ สัญญา ผมอยู่ชายแดน มันแสน เดียวดาย อําเภอด่านซ้าย ไกลลิบ สุดตา มองไปทางไหน ใจเศร้า เห็นแต่ภูเขาขอบฟ้า เสียงนกกากู่ร้องก้องไพร ผมเผ้าหนวดเครายาวคลุ้มรุงรัง ขี้เกลือขึ้นหลัง เหม็นเหลือ เหงื่อไคล ไม่เคยอาบน้ำ เดือนกว่า ร้อนแดดหนาวฟ้า ทนไหว เพื่อให้ชาติไทย งดงาม ด่านซ้ายชายแดนแม้นเมืองหน้าด่าน ตํารวจทหาร พลีชีพป้องแดนสยาม ท่านกินไข่ดาวหมูแฮม ผมกินข้าวแห้งแช่น้ำ นั่งเวรอยู่ยาม มันหนาว เสียงก้องลูกปืน แทนเสียง ดั่งมีภูต ผี มาร้องเพลงยาว อยู่เวรโคนไม้ ใกล้สว่าง หนาวหยดน้ำค้าง ใจหนาว อยากดมแก้มสาว สักที ด่านซ้ายชายแดนแม้นเมืองหน้าด่าน ตํารวจทหาร พลีชีพป้องแดนสยาม ท่านกินไข่ดาวหมูแฮม ผมกินข้าวแห้งแช่น้ำ นั่งเวรอยู่ยาม มันหนาว เสียงก้องลูกปืน แทนเสียง ดั่งมีภูต ผี มาร้องเพลงยาว อยู่เวรโคนไม้ ใกล้สว่าง หนาวหยดน้ำค้าง ใจหนาว อยากดมแก้มสาว สักที อ่านตามเนื้อ น่าเห็นใจสำหรับคนที่อยู่ชายแดน จริงๆ เพราะช่วงนั้น ผู้ก่อการร้าย คอมมิวนิสต์ รบพุงกับทหารหาญ อยู่ตลอดตามแนวตะเข็บชายแดน ทหารปกป้องแผ่นดิน ป้องชาติ ป้ององค์ราชัน เราแนวหลัง นอกจากส่งกำลังใจ ให้แล้ว เราควร มาทำตามที่วิถี คนแนวหลังกระทำได้เถอะ ในการปกป้องแผ่นดิน ปกป้องชิต ปกป้ององค์ราชัน เช่านเหล่า ทหารเหล่านั้น ความดี....ควรสร้าง ๏ สองหมายสองมั่นหมั้น.......สัจจา สองผูกสายศรัทธา...............พี่น้อง สองรักสักขีสา-....................บานบอก สองร่วมสานเกี่ยวข้อง.........สืบเชื้อผูกเสา ๚ะ ๏ เฉกเราอย่าเหยียบล้าง.....รานดิน แม่เฮย ล่วงผ่านกระแสสินธุ์.............ชะล้าง กลับเผาพลิกไฟกิน.............เกรียมด่าว กิเลสหลงโก่งก้าง................กัดเนื้อกินสา ๚ะ ๏ ธรรมาผลิเบ่งด้วย......เจริญ ธรรมแฮ บุญส่งยิ่งสรรเสริญ........บ่มเชื้อ ไสวสว่างเพลิน.............ยามพิศ วิจิตรแจ้งอะเคื้อ...........สุกสร้างมิสม ๚ะ ๏ บ่มดีลบบาปล้าง.........รอยสูญ ได้ฤๅ กรรมเก่าเร้ายิ่งพูน.......พอกได้ ความใหม่หากคูณ..........ข้อเพิ่ม กี่ชาติปาดล้างไล้............ลบข้อต่อยาว ๚ะ ๏ มโนเมานั่นแม้น.........สุขตัว ยังเบียดเสียดพ้นหัว.......ฮึกห้อ เพียงตนบ่นึกมัว.............มั่วหนัก บอกบ่นก่นกล่าวล้อ.........บาปซ้ำกรรมไฉน ๚ะ
วันนั้น .. กิ่งโศก ในฐานะแม่บ้านลูกจ้างบริษัทฯเล็กๆ แห่งหนึ่ง ได้ขอเวลาผู้บริหาร ขอจัดกิจกรรมเล็ก ๆ ภายในบริษัทฯ ไม่ต้องใช้สถานที่หรูหรา ใช้บริเวณลานหน้าสำนักงานชั้นล่าง นี่แหละ พร้อมเชิญชวน เพื่อน ๆ ทุกฝ่าย ทุกแผนก ร่วมกัน มอบโล่ห์ เพื่อเป็นเกียรติ แก่ ผู้ได้ถึงวัย ที่ต้องวางมือจากการปฏิบัติหน้าที่ แล้วถึงสองคน.. นั่นคือ เกษียณอายุการทำงาน โดยปกที่บริษัทฯ กำหนดเกษียณอายุการทำงานที่ 55 ปี เดือนนี้ มีผู้เกษียณ 2 คน.. ในสภาวะของทางด้านแรงงานในปัจจุบัน ในภาคเอกชนจะพบว่ามีน้อยนักที่ ทำงานจนเกษียณ เนื่องจาก แรงงานสมัยใหม่ มักมองที่ผลตอบแทน เป็นตัวหลัก ที่ไหน จ้างแพงกว่าก็ไป ซึ่งคงไปตำหนิก็ไม่ได้..เพราะ การทำงานนั้นเพื่อผลตอบแทนที่เป็นค่าจ้างเป็นหลัก. ไม่เหมือนคนยุค ก่อนๆ ที่มักจะถูก คำพูด คนทำงานสมัยใหม่ ว่า ก็ไปไหนไม่ได้แล้วนี่ อายุก็มากใครจะรับทำงาน จึงต้องอยู่.. แต่แท้จริงแล้ว..ส่วนมากคนรุ่นนี้ สิ่งที่ทำให้พวกเขา อยู่ร่วมหัวจมท้าย กับบริษัท มาเพราะ ..ความภักดี คือ ความรักต่อองค์กร.. ..วันนั้น กิ่งโศก อ่านประวัติการทำงานของพี่ทั้งสองที่เกษียร ให้หลายๆคนได้ฟัง.. กับช่วงอายุการทำงาน 30 ปี กว่าปีที่ผ่านมานั้น. สองท่าน ที่ได้ร่วมฝ่าฟันกับบริษัทฯมา ไม่ว่าจะรุ่งเรือง หรือรุ่งริ่ง คนเหล่านี้ ยังคงช่วยกันประคับประครอง ร่วมพัฒนากับบริษัทฯ มาโดยตลอด.. กิ่งโศก อ่านด้วยความรู้สึกเศร้าใจ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ทำงาน บางคนถึงกับน้ำตาซึม..บ่งบอกความอาลัย เมื่อต้องจากกัน พิธีการง่ายๆ ที่จัดโดยกิ่งโศก เชิญผู้บริหาร เป็นผู้มอบโล่ห์ ..สิ่งสุดท้ายที่บริษัท พึงมอบให้ พร้อมกล่าวขอบคุณ... หลังจากนั้นก็ให้ ทั้งคู่กล่าว..กล่าวอะไรก็ได้ .. ขอยกคำกล่าว ของพี่คนหนึ่ง ดังนี้.. .. ผมรู้สึกใจหาย เมื่อก่อนดูวันเวลา ทำไมช่างยาวนานนัก.. แต่พอมาวันนี้ ..ทำไมหนอ มันสั้นนัก วันนี้แล้วสินะ เป็นวันสุดท้ายของผม สามสิบปี กับเพื่อนๆ น้องๆ เจ้านาย .. บ้านหลังที่สองของผม ผมคงต้องอำลาแล้ว คงฝากแต่น้องๆ รุ่นหลัง ช่วยดูแล อย่าทิ้ง ตั้งใจทำงาน ตั้งใจสร้างบ้านหลังนี้ ให้มันเป็นสถานที่อันอบอุ่น...แก่พวกเรา.... ....อา คำกล่าวของคนที่กำลังวางมือแล้ว พร้อมกับส่งไม้ให้คนที่อยู่รับไป พร้อมกำลังใจที่มีให้....มิตรภาพ นั้นกว่าจะแน่นแฟ้น มันต้องใช้เวลาในการสะสม.. เถอะ ชาวเราที่ยังคงมีหน้าที่ คงต้องดำเนินตามครรลองของมันต่อไป..ที่ปลายทาง ของทุกคน นั้นก็คงเหมือนกัน..คือต้องถึงวันที่จะต้องวางมือ เช่นกัน...เพียงแต่อย่าเพ่อ ..วางมือกลางครัน เท่านั้น.. ...นอกจากนี้ กิ่งโศก ยังมีความรู้สึก ขนลุกเกรียว เมื่อ บรรดา เพื่อน ๆ ร่วมงาน ..ร่วมกันร้องเพลง คำสัญญาพร้อมๆกัน.. หลายคนน้ำตาคลอ...มีพบ ย่อมมีจาก อย่างแท้จริง.. ลองฟัง เพลงนี้กันนะครับ คำสัญญา ขับร้องโดย อินโดจีน ก่อนจากกัน...ขอสัญญา ฝากประทับตรึงตรา จนกว่า จะพบกันใหม่ โบกมืออำลา สัญญาด้วยหัวใจ เพราะความรัก ติดตรึงห่วงใย ด้วยใจ ผูกพันมั่นคง... ด้วยความดี นั้นฝังตรึง จากไปแล้วคำนึง ตรึงประทับดวงใจ อย่าได้ลืมเลือน สัญญากันไว้อย่างไร ขอให้เรามั่นคงจิตใจ ก้าวไปสรรค์สร้างความดี... *โอ้เพื่อนเอ๋ย เคยร่วมสนุกกันมา แต่เวลา ต้องพาให้เราจากกัน ไม่นานหรอกหนา เราคงได้มาพบกัน ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น เพราะเรามั่นในสัญญา หากแผ่นดิน ไม่ฝังกาย จะสุขจะทุกข์เพียงใด น้อมกายยิ้มสู้ฟันฝ่า ร้อยรัดดวงใจ มั่นในคำสัญญา สร้างสรรค์เพื่อมวลประชา นี่คือสัญญาของเรา .... (ซ้ำ*) ถนนทุกเส้น มีจุดเริ่มสตาร์ท สุดปลายถนน ก็มีจุดสิ้น เช่นกัน ถนน..บางเส้นราบเรียบ ถนน..บางสายขรุขระ ถนน..บางคน ไม่อาจเลือกได้ และบางคน อาจจะเลือกได้ ถนน...ฤๅ มีไว้สำหรับเดินผ่านอย่างเดียวหรือ.. ๏ คุณความดีฝากไว้............คงเห็น ร่วมสุขทุกข์รำเค็ญ.........ร่วมห้อง ทางร่วมสุดสายเบน......เบี่ยงช่วง ก้าวเฮย มิตรร่วมสานงานข้อง-......เกี่ยวข้อเรียงสลอน ๚ะ ๏ สิ่งดีประดับเห็น......ประจักเด่นดื่นดาษใด ติดตรึงทุกหทัย......เหล่าผู้เพื่อนมิเลือนลา ๚ะ ๏ ไปเถิดมิตรทั้งคู่........เบื้องประตูรอเปิดอ้า ก้าวเท้าพร้อมโบกลา.....ก็พ้นบ่วงห่วงเกลียวปม ๚ะ ๏ เราจะสานสืบต่อ........จะเรียงช่อเฉกที่สม จะร้อยสอยพึงชม.........ผสานยอดให้ยืนยาว ๚ะ ๏ เป้าหมายจะบรรลุ......บรรจุใส่ระโยงสาว ทุกเส้นดุจเพ็ญพราว.....กระชับมั่นด้วยมิตรมวล ๚ะ ๏ แม้นเราจักอาลัย.........อำนวยชัยให้สุขถ้วน ภาระทุกกระบวน........วางทิ้งไว้ให้เรารอง ๚ะ
...ไม่มีอะไรในกอไผ่.. ดูเป็นสำนวน ที่แปลได้ว่า มันไม่มีอะไรเลย อย่างมากแค่ ลำไผ่ ใบไผ่ ขุยไผ่ หรือหน่อไผ่ เท่านั้น หามีสิ่งอื่นเจือปนไม่ หรือมีสุภาษิต ไทยสักอันที่กิ่งโศก อ่านแล้วนึกถึง กิ่งไผ่ ลำไผ่ ทันที ที่บ่งบอกถึงความสามัคคีของคน.. การหักไม้ ท่อนเดียว แค่ใช้แรงเพียงนิด ก็สามารถหักได้ แต่เมื่อใดที่ เป็นท่อนไม้หลายอันมัดติดกันหรือรวมๆกัน นั้นยากนักที่จะหักได้ ต้นไผ่หนึ่งลำ ที่โต้สายลมอย่างโดดเดี่ยวนั้น จะโยกไหว ไม่นานพายุที่โหมแรงใส่ สุดแรงนั้น สุดท้ายแล้ว ลำไผ่ ลำนั้นย่อมยืนหยัดได้ไม่น่นนัก คงหักครืนลง หากแต่ต่อมามีลำไผ่ มากมาย ค่อยแตกกอ แตกลำ ขึ้นพร้อมกัน โตพร้อมกัน เรียนรู้แม้ต่างกัน แต่เป้าหมายเดียวกัน คือความเจริญเติบโตของกอไผ่ กอไผ่กอนั้น ย่อมตั้งชี้กอโต เป็นลำ เป็นแผงแลสามารถต้านทานลมจะพัดแรงแค่ไหนก็ต้านได้ เพราะเมื่อมีลำไผ่ลำใดเริ่มโอนเอน อีกหลายลำ ของต้นไผ่ ก็ยังพยุง รั้ง ดึง ช่วย ไม่ให้ ลำใด กิ่งใด แตกหักได้ง่ายๆ วันนี้กิ่งโศก นึกถึงเพลง ..ไผ่แดง ( ไม่ได้เสียดสีอะไรแต่อย่างใด) เป็นบทเพลงที่ ถ่ายทอด เรื่องราว จาก นวนิยาย ของ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ที่ได้เขียนขึ้นมา ช่วงปี 2497 โดย ดัดแปลงมาจาก ของฝรั่งอีกที โดย ในแห่งเนื้อหา ไผ่แดงเป็นนวนิยายในแนวเสียดสีสังคมและการเมืองในสมัยที่การใช้นโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้น นิยายไผ่แดง.. ได้ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้ง ปฏิกิริยาระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ในลัทธิใหม่และลัทธิเก่า อุดมการณ์ทางการเมือง โดยรัฐบาลใช้นโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างสับสนอลหม่าน โดยที่มีคำสั่งแปลก ๆ และพิศดารจากฝ่ายรัฐให้ประชาชนปฏิบัติ โดยที่ประชาชนเองยังไม่มีความรับรู้และเข้าใจในความหมายของคำว่า "คอมมิวนิสต์" เลยโดยเฉพาะในสังคมชนบทที่ห่างไกลจากแหล่งความรู้คือเมืองหลวงในสมัยนั้น และยังได้ชี้ให้เห็นกับการเรียนรู้แนวคิดของลัทธิคอมมิวนิสต์อย่างครึ่งๆกลางๆ แล้วพยายามจะทำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม แล้วมองฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย เป็นสิ่งชั่วร้าย มันเป็นการที่คิดผิด คุณเทียรี่ ถือได้ รวบยอด ของเนื้อหา ในบทเพลง ..น้ำเสียงสไตล์ นี้ เพลงเย็นๆ กึ่งเศร้า บางที มันสะท้อน ถึง ห้วง ณ ปัจจุบันนักละครับ ถือเป็นบทเพลงที่ให้ข้อคิดได้ดี ยิ่งครับ บ่งบอก ในสังคม ๆ หนึ่ง ย่อมมีสิ่งที่แตกต่าง ทั้งแนวคิด วิถีชีวิต แต่ใดๆ ก็แล้วแต่ เมื่ออยู่ในสังคมเดียวกัน ย่อมอยากเห็น ความ สงบสุข มาสู่สังคมที่ตัวเองอยู่เช่นเดียวกัน ลองมาฟังกันนะครับ ไผ่แดง ขับร้องโดย เทียรี่ เมฆวัฒนา ไผ่เป็นลำเป็นกลุ่มเป็นกอ ไผ่จะล้อเล่นลม ไปตามทางที่เหมาะสม ไปตามทิศทางลม ไผ่ตามพันธุ์ต่างเผ่า ต่างกอ ไผ่ก็ยังต่างสี ดังผู้คนในสังคมเรานี่ ใยจะไม่ต่างกัน *คนละทาง คนละอย่าง คนละอุดมการณ์ แต่ก็มีจุดหมายเดียวกัน เป็นเรื่องราว ของชาวไผ่แดง **บ้างก็รู้ กันอยู่แก่ใจ บ้างก็ฝันกันไป แต่จงจำไว้ก่อนจะสาย อย่าให้ใคร มาสนตะพาย ..บ่องบอกถึงความหลากชนิด ของกอไผ่ แต่ละลำ แต่ละกอ บ้างเคลือบแต่งแต้มฉาบด้วยหลากสี ต่างขนาด กันไป บทเพลงเพลงนี้เป็นบทสรุป ถึง มนุษย์ ได้ดี...การเรียนรู้อะไร ควรให้รู้อย่างประจัก ถ่องแท้ อย่าวิ่งตามการนำชี้ของใคร ..ให้ฟังคิด วิเคราะห์ ด้วยตัวเอง.. ก็แค่ต่าง....ใช่แตก ๏ แตกเหล่าต่างหลากเชื้อ........แทรกกอ มีปริแปรช่อตอ...................บิดต้น ต่างคิดติดข้างหนอ.............นัยแคบ ผลาญหักผลักห่างพ้น..........พลิกล้มพร่ำเหลียว ๚ะ ๏ เรียวลำลิ่วไผ่ล้อ.............เอนลม กอเสียดเบียดเสียงขรม.........คีตพร้อง ผสานร่ำภิรมณ์.....................โลมแมก ป่าเฮย ชวนชิดสนิทห้อง..................กล่อมเจ้าเคล้าขาน ๚ะ ๏ ลมผ่านโหมพัดเย้า...........โยนใบ แรงสุดยุดไถล......................โยกโล้ อยู่ตั้งอย่างเย้ยใคร.................เผยอยั่ว กอใหญ่รวมญาติโอ้..............โอบอุ้มสุมศรี ๚ะ ๏ หลากสีมิต่างเชื้อ............ ชาติพันธุ์ พึงกล่าวเล่าขานกัน................นับต้น- ตระกูลก่อรังสรรค์.................สานสืบ ใครรุกร่วมต้านพ้น................พ่ายสิ้นแพ้สู ๚ะ + กิ่งโศก +
..อย่าไปเลย บางกอกจะบอกให้.. .. ผู้คนมีแต่จิตใจที่แห้งแล้งน้ำใจ ใจร้ายด้วย ..รถราก็ติด มลพิษ ไม่น่าอยู่ โจรผู้ร้ายในคราบผู้ดี มีมาก ผู้คนสาหน้ากากเข้าหากัน แต่อีกมุมหนึ่ง บางกอก คือความศิวิไล บ้านเมืองสวยงาม ของกินของใช้ มากมาย ไฟแสงสี เป็นดั่งเมืองสวรรค์ นี่คือ คำกล่าวของคนต่างถิ่น ที่พูดถึงเมืองหลวง กิ่งโศก ขับรถกลับจากที่ทำงานแถวเมืองชลบุรี เพื่อกลับบ้านที่กรุงเทพ ในห้วงเวลาสถานการณ์เคอร์ฟิว ด้วยความรีบเร่งจึงต้องทำความเร็วอีกนิด แต่ด้วยความระมัดระวัง อีกด้านหนึ่งฟังข่าว จากคลื่นข่าว(ที่ไม่ได้เชียร์ข้างใดข้างหนึ่ง) ที่ผู้ดำเนินรายการ วิจารณ์ข่าวอยู่ พร้อมให้คนที่ฟัง ส่งข้อความเข้ามาด้วย กิ่งโศก ติดใจกับข้อความหนึ่งที่ส่งมา โดยใช้นามว่า คนกรุงเทพ เขาส่งมาแบบนี้ครับ เมื่อก่อน ผมเบื่อกรุงเทพ มาก เพราะ กรุงเทพ น้ำจะท่วมทุกปี รถก็ติด หน้าร้อนมีแต่ไอควันพิษ โจรผู้ร้าย เหล่ามิจฉาชีพ เยอะแยะ ไปไหนมาไหนไม่ปลอดภัย เป็นคนกรุงเทพ แต่เบื่อกรุงเทพ แทบจะเกลียดไปเลย มาวันนี้ กรุงเทพของผม เต็มไปด้วยเสียงระเบิด เสียงปืน คนล้มตาย โจร ยิ่งกว่าโจร เผากรุงเทพ ซากกองตึก ไหม้ดำ ผู้คนอลหม่าน ตกงาน บ้านช่องถูกเผา ถูกปล้น กองขยะเกลื่อน วันนี้ ผม อยากจะบอกว่า..ผมรักกรุงเทพครับ กรุงเทพไฉน ถูกทำร้าย บ้านผมทำไมถูกทำร้าย ....ผมรักกรุงเทพ.. กิ่งโศก อยากได้ยินเขากล่าว อยากได้ยินในน้ำเสียงของเขานัก มันคง เศร้าสร้อย อาดูร บวกถึงอารมณ์ที่หวงแหนสิ่งของที่ตัวเองรัก แล้วมาถูกทำลาย สายดายที่ความรู้สึกที่ไม่ดี เมื่อครั้งก่อน มันสะท้อนออกมาได้หลายแง่ หลายๆ อารมณ์ ...กิ่งโศก ในฐานะ ที่อาศัย กรุงเทพ วันนี้เลย ขอนำบทเพลง ที่กล่าวถึงความสวยงามของ กรุงเทพ ในบทเพลงที่ฟังดูเยือกเย็น แต่ได้กล่าวถึง ความงดงามของเมือง บางกอก นครแห่งสวรรค์เมืองนี้ไว้ครับ มาร่วมรับชมรับฟังกันครับ เพลง กรุงเทพฯราตรี ศิลปิน สุนทราภรณ์ ..ญ.โอ้กรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)สมเป็นนครมหาธานี (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)สวยงามหนักหนายามราตรี (ช.)งามเหลือเกินเพลิดเพลินฤดี (ญ.)ช่างงามเหลือที่จะพรรณนา (ช.)เที่ยวดูเล่นแลเห็นอาคาร (ญ.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ช.)เหมือนดังวิมานสถานเทวา (ญ.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ช.)ทั้งยานพาหนะละลานตา (ญ.)งามแสนงามเหมาะนามสมญา (ช.)เหมือนเทพสร้างมาจึงงามวิไล (ญ.)ราชดำเนินน่าเดินเพลิดเพลิน เรียบร้อยแพรวพรรณ (ช.)สมนามสำคัญเฉิดฉันท์อำไพ (ญ.)แสงไฟแสงโคมเล้าโลมฤทัย (ช.)ทั้งเมืองวิไลคล้ายยามทิวา (ญ.)ยอดปราสาทเป็นชั้นเป็นเชิง (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)เหมือนลอยระเริงเล่นเหลิงนภา (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)เหมือนดังจะเย้ยดวงดารา (ช.ญ.)เป็นเพราะจันทร์ผ่องพรรณฉายมา จึงวาววับตายิ่งพาเคลิ้มใจ (ญ.)ยอดมณฑปช่อฟ้าตระการ (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)สำเริงสำราญสถานเวียงชัย (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)เหมือนเมืองสวรรค์ของชาวไทย (ช.)ชนทั้งเมืองรุ่งเรืองวิไล (ญ.)ถ้วนทั่วทุกวัยเลิศจริงหญิงชาย (ช.)ดังจะข่มอัปสรเทวา (ญ.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ช.)ยิ้มยวนเย้าตาดูแล้วสบาย (ญ.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ช.)หรือเป็นชาวฟ้ามาเดินกราย (ญ.)เมืองนั้นงามดั่งเทพนิยาย (ช.)ทั้งหญิงและชายแต่งกายสวยดี (ญ.)แหล่งเที่ยวหย่อนใจทั่วไป หลากหลายรายเรียง (ช.)หญิงชายเคล้าเคียงเพลินเสียง (ญ.)ทุกคืนเสียงเพลง ครื้นเครงเพราะดี (ช.)สวนลุมพินีเขาดินวนา (ญ.)โอ้เมืองแก้วเลิศแล้วราตรี (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)ทุกสิ่งล้วนมีชีวิตชีวา (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)ทั้งเงาลำน้ำเจ้าพระยา (พ.)ยามสายลมเฉื่อยฉิวพริ้วมา ประกายวับตาเลิศเลอนักเอย (ญ.)หากกรุงเทพฯขาดฉันและเธอ (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)ถึงงามลัำเลอไม่พร้อมไพบูลย์ (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)เหมือนเป็นเมืองร้างใจอาดูร (ช.)ความวิไลไม่งามพร้อมมูล (ญ.)ขาดความสมบูรณ์เกื้อกูลทวี (ช.)เมื่อมาอยู่ใกล้ชู้ชูใจ (ญ.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ช.)ทั้งเมืองวิไลสดใสทันที (ญ.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ช.)เพราะเราถนอมกันโดยดี (ญ.)ความรักเราแน่นอนทวี (ช.)ถึงนานกี่ปีไม่มีร้างรา (ญ.)ต่างคนปลื้มเปรมอิ่มเอมคลอ เคล้ากันไป (ช.)น้ำคำน้ำใจมอบไว้บูชา (ญ.)รักเราน้อมนำน้ำคำสัญญา (ช.)ขอองค์พุทธารับเป็นพยาน (ญ.)จิตสลักด้วยรักเจือจุน (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ญ.)นับเป็นผลบุญอุดหนุนบันดาล (ช.)ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู ฮู (ช.)ทุกยามค่ำเช้าเราบนบาน (พ.)ความรักเราไม่มีร้าวราน ถ้อยคำสาบานแน่นอนนักเอย.... กรุงเทพวันวาน ดั่งเมืองแมนนั้น คือความฝาฝันคน บ้านนอกที่มุ่งถวิลหวังชื่นชม หวังพบ หวังเห็น ความวิจิตพิสดารเหล่านั้น บัดนี้ใยเหลือเพียง ร่องรอย ฝุ่นไอ ที่คละคลุ้ง สูญเสีย ซากปรักหักพังเช่นนี้เล่า กรุงเทพถูกย่ำกระทำด้วยเพียง เชิงความคิดที่แตกต่างกัน ทางการเมือง ประชาธิปไตย ที่ กระทำต่อ เมืองบางกอกขนาดนี้หรือ ปล้น เผา ฆ่า ฟันกัน ๏ โอ้กรุงเทพแดนฟ้า.......ทิพย์สถาน เสียงร่ำเสียงลือนาน.....เลื่องนั้น เทพประดิษฐ์ตระการ.....เสกก่อ ไตรภพจบช่วงชั้น.......แซ่ซร้องสรรเสริญ ๚ะ ๏ เกริ่นก่อนพึงกล่าวไว้.........นานเนา ข้าวผ่องท้องทุ่งเงา......ทอดง้ำ ปลาเวียนว่ายคล้ายเมา......น้ำม่าน นองแฮ สินทรัพย์ระยับล้ำ......เอ่อล้นหลากหลาย ๚ะ ๏ โอ้แดนฟ่องล่องฟ้า.......... อมร ปัจจุสมัยหลอน.......รุกเร้า เพลิงพุ่งเทียบอำพร......ผืนด่าง สุมซากกำสรดเศร้า.....ทุกเส้นเหล่าชน ๚ะ ๏ รอนใจไร้จิตแสร้ง.......ฉ่ำเย็น หน้าเฮย นรกรุมกุมเข็น.........จิกค้ำ เกรี้ยวกราดสาดกระเซ็น....พร่าชีพ กลียุคปลุกขย้ำ.....ขยอกขย้อนให้สยอง ๚ะ ๏ โอ้กรุงเทพทิพย์แคว้น....ครืนลง ใครเจ็บใครสิ้นอง.........ดับโอ้ ใครพ่ายปลิดปลดปลง.....ใครพ่าย ใดมืดใดล่วงโพล้.....พลบสิ้นหมองเมือง ๚ะ