....................ความครึกครื้น ย่อมสนองกระตุ้นความคึกคัก กระปรี้กระเปร่าในหัวใจ ได้ดีนักนะครับ ความครึกครื้นบางครั้งมาจากอารมณ์รื่นเริง หรือมาจากการฟังเพลงสนุกสนาน เพลงสนุกสนานนั้นอยู่ที่จังหวะเร็วๆหรือไม่เนิบนาบ สมัยนี้คงเรียกจังหวะแด๊นซ์ ส่วนสมัยก่อน จังหวะที่สนุกสนาน พวกชะชะช่า สามช่า บิกิน ตลุง ฯลฯ ... หรือย้อนไปให้ไกลเข้าไปอีก ยุคผู้นำเผด็จการ ก็ยังชอบเพลงจังหวะรำวง กันอย่างขนานหนัก เลยมีการกำหนด เพลงรำวง ท่ารำวงมาตรฐานต่างๆ กลายเป็นเพลงรำวงประจำชาติไปเลย คนที่อายุสักสามสิบอัพ คงพอจะได้เรียน หรือไม่ได้เรียนรำวงมาคงพอ จะจับจีบมือ ออกท่าเป็นวง (ไม่ใช่วงสวิงนักตีกอล์ฟ) ได้สวย เต้นให้จังหวะไปกับเสียงกลอง และเสียง หรืออาจจะเห็นตามแห่งานบวช มีรำวงแตรวง แห่แหนนาคเข้าวัด แต่ตอนนี้ยุคสมัย จะมีแต่เพลงรำวงมันจะโบราณจัด เลยมีแต่แตรวง จังหวะแดนซ์ คนสูงอายุ มาเต้นคงหอบซี่โครงบาน เลย .... วันนี้อยากนำเสนอเพลงรำวง แต่เป็นรำวงทางพี่น้องชาวที่ราบสูง นั่นคือ รำวงสาวบ้านแต้ ชุดเดิมที่ขับร้องไว้เป็นของสุนทราภรณ์ ที่บันทึกร้องโด่งดังในปี 2511 ทั้งๆที่เพลงนี้ เขียนไว้ 2502 สมัยจอมพลสฤต กิ่งโศกชอบในทำนองเพลงรำวง นี่แหละ การประสานเสียงร้องหมู่ก็แสนจะได้อารมณ์แห่งความสามัคคี ( อยากจะให้คนในชาติสามัคคีกันแบบนี้สักเรื่อง) แต่ที่สดุดหู น่าจะเป็นคำร้อง ที่คงความเป็นภาษาท้องถิ่นไว้เกือบทั้งหมด คนภาคอื่นอาจจะงง เช่นกิ่งโศก แต่ก็พยายามนึกๆ ตาม แต่บางคำ ก็แปลไม่ออก หรือ บางคำไม่แน่ใจว่า เป็นของคนอีสานหรือไม่ เช่นคำว่า... ..... วันตี้ห้า ดือนกันยายน....คำว่าตี้ห้า..แปลเป็นภาษาภาคกลางคือวันที่ ๕ นั่นเอง..คำว่าตี้ ที่ส่วนมากจะเป็นคนเหนือ ใช้แทนคำ..ที่ เลยทำให้สับสน หรือ สวีวี่วี... แต่พอไปหาประวัติ ที่มาเพลงนี้เกิดจากการไปนำเพลงท้องถิ่นทางภาคอิสาน มาดัดแปลงเป็นเพลงของวงสุนทราภรณ์ ที่จริงบทเพลงร้องโต้ตอบ ชายหญิงแบบนี้ เพลงท้องถิ่นจะมีกันทุกภาค เช่นเพลงเหย่ย เพลงฉ่อย เพลงเรือ อีแซว ค่าว ซอ หมอลำ ผญา ฯลฯ ...... วันนี้ ขอเสนอในเวอร์ ของ รวมดาว 2 ลองฟังกันดูนะครับจะรู้ว่า ม่วน มาก รำวงสาวบ้านแต้ คำร้อง ธรรมนูญ แสงรังษี ทำนอง ธนิต ผลประเสริฐ (สร้อย) พร้อม) เดี่ยนสามนกกาเหว่ามันฮ้อง ยูงทองมันมาฮ้องไหว้วอน หมู่หญิง) จากไปสวีวี่วี หมู่ชาย) จากไปสวีวี่วี หมู่หญิง) ถ้าบุญเฮามีคงจะได้เจอกัน หมู่ชาย) ถ้าบุญเฮามีคงจะได้เจอกัน หญิง) จากไปตั้งแต่วันตี้ห้า หมู่หญิง) วันตี้ห้าเดือนกันยายน หญิง) พอศอสองสี่เก้าเก้า หมู่หญิง) พอศอสองสี่เก้าเก้า หญิง) เจ้าสิอ่งไล้เด้อเฮ็ดเพ้อเซ่อถือกระด้งฟัดข้าว เจ้าสิอ่งไล่แม่สาวบ้านแต่ขี่ซักขะยาน หมู่หญิง) สาวบ้านแต่ขี่ซักขะยาน ชาย) จดหมายไปสองซาบับ ได้ฮับหรือเปล่าคนดี จากไปสวีวี่วี หมู่ชาย) จากไปสวีวี่วี ชาย) ถ้าบุญสันมีคงจะได้เชยชม หมู่ชาย) ถ้าบุญสันมีคงจะได้ชมเชย ซ้ำ (สร้อย) ชาย) สายัณห์ตะวันแล่แล่ สาวบ้านแต้ขี่รถซักขะยาน ขี่ไปทุกถิ่นสถาน หมู่ชาย) ขี่ไปทุกถิ่นสถาน ชาย) ขี่รถซักขะยานไปกะสันไหมเธอ หมู่ชาย) ขี่รถซักขะยานไปกะสันไหมเธอ หญิง) เสียใจบ้านอยู่ไกลไปหน่อย กล้วยอ้อยเป็นแต่ป่าสอนลอน ขี่ไปจนหัวเข่าเหนื่อยอ่อน หมู่หญิง) ขี่ไปจนหัวเข่าเหนื่อยอ่อน หญิง) เป็นป่าสอนลอนคือเกษตรสมบูรณ์ หมู่หญิง) เป็นป่าสอนลอนคือเกษตรสมบูรณ์ ๏ .. ลำนำ..ไปแล้ว ..สวีวี่วี .. ๏ ด้วย อุปัฏฐิตาฉันท์ ๑๑ ๏ ยามจรระอุจิต ........ พิเคราะห์พิษคุพองแผล ตรึงบั่นผลิบิแบ ......... ก็ประสบภวังค์วาย ๏ ภาพหลังก็เราะเร้า ..... สติเหง้าละงันหงาย เจ็บเอยอุระกลาย ........... มนแตกฤดีดาล ๏ แผลเป็นเพาะพุชู ...... บมิรู้สิสำราญ รอป่นมละมาน ........... ทิวะล่วงลุกลืนโลม ๏ หันหลังมิพะว้า ........ กิริยายะเยงโคม ลี้พายุตะโบม ............. ประทุไล่มิวายเว้น ๏ ลับลา-บหวนคืน ....... สรดื่นจะล่วงเห็น รอยร้าวคุลำเค็ญ .......... จะอบายพิบัติดล ๏ ฝากไว้ประจุจาร ....... วจะขานพจีผล จำตรึงตริกมล .............. รติต่างสะอางองค์ ๏ ล่วงผ่านอธิบาย ........ ก็ประกายจุบรรจง วางปลดคณะปลง ............ ขณะบ่ายขจรลา ๏ โอจอมเทวะโลก ...... ลุวิโมกข์และทุกขา ปัดเป่าผิประดา .............. ปะทุเถ้าสลายทัณฑ์ ๚ะ๛ + กิ่งโศก + -ขอบคุณภาพ จากGoogle
การย้อนสู่กาลอดีต ในห้วงความนึกคิด หากเป็นเรื่องปีติสุข ก็ย่อมทำให้ชื่นใจอยู่ไม่สร่างซา เลยทีเดียว หากแต่เป็นเรื่องที่ทุกข์ท้อ หรือเจ็บปวดย่อม ก่อให้เกิดแต่ความกำสรดอาดูร ทั้งสองอารมณ์ย่อมถูกความทรงจำบันทึกไว้ แม้ว่าบางครั้งเลอะเลือนไปบ้าง แต่ก็ใช่ว่าบันทึกนั้นจะหดหาย เพียงรอจังหวะ ที่จะถูกดึงให้นึกถึงตามช่วงแห่งกาลนั้นๆ ช่วงนี้ฝนตกถี่มาก รถก็เลอะเปื้อนโคลนดินบ่อย ทำให้ต้องปล่อยปละละเลย ตามประสาติ๊ก ..ประสากิ่งโศก ผู้อนุรักษ์สิ่งที่เป็นปัจจัยแห่งกาลเวลา (เก่า) ณ..คาบเพลานี้ ตามเส้นทางสัญจรไม่ว่าเป็นถนน ทางเดิน ในตรอก ลึกแค่ไหน ป้ายท่านผู้มีเกียรติ ติดรกเต็มไปหมด ภาพในสื่อต่างๆ ท่านผู้ทรงเกียรติเหล่านั้น ขี่เกวียน ดำนา นอนวัด สารพัดเขาทำได้หมด ไม่น่าเชื่อเลย พนมมือแต้ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกัน ไหว้สลอนไปหมด ...ตอนนี้เราประชาชนน่าจะภูมิใจนะ มีท่านผู้มีเกียรติมายกมือไหว้ ดูข่าวท่าน อ.สุขุม นวลสกุล เล่าไว้สมัยก่อน กกต. ไม่เฮี๊ยบขนาดสมัยนี้นั้น เมื่อก่อนมีแจกรองเท้าหาเสียงด้วย แจกข้างเดียว พอได้แล้วค่อยเอามาให้อีกข้าง ..หุหุ ทำให้นึกถึงเพลงเสียดสีการเมือง...ไม่ว่าจะเป็นเพลงมนต์การเมืองของคำรณ สัมปุณณานนท์ (สมัยไม่รุอะ) หรือเพลงของน้าแอ๊ด คาราบาว ...หรือแม้แต่ นิค นิรนาม เพลงคนกินแดด ที่ร้องไว้ว่า คงจะดีถ้าหนึ่งปีเลือกผู้แทนทุกเดือน หุหุหุ ที่มองนักการเมืองนั้นดั่งพวกกินบ้านกินเมือง เป็นผู้ร้ายในคราบผู้ดี มองระบบประชาธิปไตยแบบ อสูรครองเมือง ปานนั้น แต่มางวดนี้ (ไม่ใช่หวย) จะย้อนยุคเพลงสมัย รวมดาว ( หักมุมหน่อย) เพลงคู่ มนต์รักอสูร เพลงนี้น่าจะมาจากนิยาย มนต์รักอสูร ที่สมัยก่อนดังมาก พิศาล กับ นาตยา (น่าจะใช่) ที่แสดงไว้เป็นภาพยนต์ ลองมาฟังกันนะครับ มนต์รักอสูร ชุดรวมดาว เกร็ดของเพลงนี้ ได้นำบทประพันธ์ของโคลงโลกนิติ ท่อนแรกมาดัดแปลง ๐ รูปแร้งดูร่างร้าย..............รุงรัง ภายนอกเพียงพึงชัง........ชั่วช้า เสพสัตว์ที่มรณัง.............นฤโทษ ดั่งจิตสาธุชนกล้า...........กลั่นสร้างทางผล ...................................................................................... มนต์รักอสูร ช) รูปแร้งดูร่างร้าย รุงรัง ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า เสพสัตว์ที่มรณัง นฤโทษ สาธุชนนั้นอ้า เลิศด้วยดวงใจ ญ) โอมเอย อย่าเป่ามาเลยมนต์รักอสูร รักยิ่งเพิ่มพูนเทียมโขดเขินเนินไศล รังสีอสูรบ่สดใส ผิว์ดำผิวนอกแต่ในผ่องเนื้อนพคุณ ช) ดวงใจผูกอยู่ภายในความรักแน่นหนา รักเทพธิดาแผ่เมตตามาเปรียบบุญ นางฟ้าองค์ไหนไม่นำหนุน โอ้ความรักดังอรุณ รุ่งฟ้าแล้วมาสูญสิ้น ญ) สายลมกระซิบมาเบาๆ ช) พัดเอากลิ่นเนื้อเจือบางๆ ญ) มนต์รักแว่วเลือนลางไม่จางจากให้ใจถวิล ช) สวยเอยเทพธิดาลาวัณย์ ญ) สัมพันธ์อสูรทูนเทวินทร์ ช) มนต์รักดังเพลงพิณ ผืนดินอาบแสงทองผ่องพรรณ พร้อม) โอมเอย เป่าผ่านไปเลยความรักสลาย ขอรักหญิงชายรุ่งเรืองคล้ายดาวสวรรค์ ความรักอันแท้อย่าแปรผัน เปรียบรังสีแวมแจ่มจันทร์ เช่นกันมนต์รักอสูร บทท้ายแห่งลำนำ กิ่งโศก ฝากงานฝึกเขียน พร้อมรับคำติชมด้วยครับ งานนี้หัดเขียนฉันท์เป็นครั้งแรก ครับ ๏.. ลำนำ อสุรีครองนาคร.. ๏ มาณวกฉันท์ ๘ ๏ ฤาอสุรา .......... คร่าสุรเสียง ก้องดะเผดียง ......... ย่ำอฏวี มืดนภกว้าง ............ ด่างเลอะฤดี ดำลุธุลี ................. ป่นสวะบุญ ๚ะ ๏ ฝูงสฤคาล ......... พล่านแสยะผลุน ไล่นรกุล .............. เปิงแบะปริไป ขู่แขวะกระสา ......... ฆ่าปรลัย ทัณฑ์อริไล้ ........... พือคุนคร ๚ะ ๏ ทรงนรศีล ......... ปีนละสลอน งัน ณ ขนอน .......... นิ่งแสะศิลา ปล่อยมนวาง .......... บ้างเยาะยถา- กรรมบ่คณา ............ ใช่ธุระเรา ๚ะ ๏ รอยเปรอะเลอะทั่ว ....... กลั้วสติเขลา เลือดประทุเงา ................ แง้มแงะแคะครืน ชั่วทุรชน ................... กลก็บ่ขืน เข่นตละกละกลืน ............. ฆาตพรกาล ๚ะ ๏ เย้ยเทวะเจ้า ............ เนา ณ วิมาน ผู้ตริผิศานต์ .................. ครองศศิธร แลทะลุข้าม ................. ลามอดิศร ย่ำศิวะพร ................ หมิ่นสวภู ๚ะ ๏ เพลิงกุกระพือ ....... มือศตคู้ งอเจาะเลาะชู ........... ฉีกฉะระล้วง นบสุรผู้ ............. ปูชยบวง กฤษณะสรวง .......... สืบอวตาน ๚ะ ๏ ล้างอริราบ ........... ปราบมิติมาร เข็นสิริกาล ............. สู่เสนาะเนา ธรรมจะลุร้อย .......... สร้อยสิเฉลา แสงศศิเกลา ........... ท่วมหฤทัย ๚ะ๛ + กิ่งโศก + -ขอบคุณภาพ จากGoogle
ภาพยามช้าตรู่ แสงระยิบทอดต้องสายน้ำในลำคลองดูงดงามประหลาด ณ.ริมคลองกลางสวนอำเภออัมพวาที่ยังคงสภาพความเป็นวิถีชาวสวน ชนแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง ความติดตา และตรึงตราที่ชวนจดจำนั่น เรือพายที่กำลังค่อยๆ พายมาตามชายคลอง ความชราแห่งสรีระของภิกษุ พระสงฆ์ผู้ภิกขาจารด้วยทางน้ำ รับบิณฑบาตร โปรดสัตว์ .. หากเป็นคนในพิ้นที่ หรือคนริมคลอง ริมแม่น้ำคงเห็นเป็นเพียงภาพปกติ ..แต่คนไกลทะเล ไกลแม่น้ำเช่นกิ่งโศก นั้นแลใองด้วยความปีติสุขยิ่ง พระสงฆ์ชราพายเรือด้วยความสม่ำเสมอนั้น ดูขัดแย้งกับสังขาร ใบหน้าแม้นดูเพาะบ่มไปด้วยเส้นทางชีวิตที่มากมาย แต่ดวงตากลับเปล่งทอกระจ่าง ดุจมีพละกำลัง เช่นคนวัยหนุ่มอยู่เสมอ ท่านเสวานาด้วยรอยยิ้ม พร้อมให้ศิล ให้พร ด้วยภาษาบาลี และพร้อมคำแปลยาวๆ เราชาวพุทธบริษัท ซึมซับด้วยความสุขเป็นอย่างยิ่ง คล้ายแลเห็นกงเกวียนที่หมุนเป็นวงล้องชีวิต ที่ต่างหมุนไปตามเส้นทาง ที่กำหนด และไม่กำหนด เส้นทางที่กำหนดนั้นคือรอยกรรมเดิม ที่ผู้คนต้องชดใช้ให้เสร็จสิ้นในภพนี้ ส่วนเส้นทางที่ไม่ได้กำหนด นั้นคือกรรมใหม่ที่บังเกิดขึ้น จะเป็นกรรมดี กรรมไม่ดี ขึ้นอยู่สิ่งที่เรากระทำ ที่รอการชดใช้แลสนองตอบ ลำนำครานี้ไม่ได้ชักชวนให้เข้าสู่ในห้วงแห่งธรรมใดๆ เพียงแค่บอกเล่าเสี้ยวหนึ่งกับที่ได้พบได้ไปกระทำมา อัมพวา ลุ่มน้ำแม่กลองที่ไหลผ่านจากฝั่งตะวันตก ทิวเขาที่เมืองกาญจน์ ผ่านราชบุรี จนถึงสมุทรสงคราม .. สถาพบ้านช่องแม้นจะแปรเปลี่ยนไปบ้างตามความเป็นอารยะ แต่ก็ยังพยายามรักษาความเป็นไทยไว้ พอควร ตลาดน้ำผู้คนพลุ่งพล่าน แต่ตามสองฝั่งก้เต็มไปด้วยขจีของต้นไม้ ทั้งไม้ผล ไม้ดอก ของชาวสวน สร้างความร่มรื่น ความสมบูรณ์พูนสุขให้แก่พื้นที่ ทำนองเพลงมนต์รักแม่กลอง ก็แผ่วพลิ้ว สู่จินตนาการกิ่งโศกอยู่ทุกท่วงขณะ..แต่ณ..คาบนี้อยากนำเสนอ แนวที่คนลูกกรุงร้องดูบ้างครับ เกี่ยวกับลำน้ำแม่กลอง..วันนี้นำเสนอคุณ สุเทพ วงค์กำแหง ขับร้อง แม่กลอง เถิดเชิญ ทุกท่านล้อมวง เข้ามาครับ.. แม่กลอง คำร้อง :ชาลี อินทรวิจิตร ทำนอง : สมาน กาญจนผลิน ขับร้อง : คุณสุเทพ วงศ์กำแหง ------------------------------------ สายชลแม่กลองเหมือนดังละอองน้ำตก ใสดังกระจก เปรียบดังจิตใจเจ้าของ พี่ลอยรักให้ฝากไปในสายแม่กลอง ขอเชิญให้น้อง ครองความรักไว้เถิดหนา สายชลเชี่ยวนักแพ้ใจรักจริงของพี่ รักลอยมานี่ ดั่งใจพี่ครวญใฝ่หา นางนวลขาวผ่องไม่ผ่องเกินนวลแก้วตา เนื้อนวลนวลกว่านวลนกนวลปลาไหนๆ กลางกระแสแลล้วนโป๊ะล้อม เขาลงอวนอ้อมล้อมสกัดมัจฉาเอาไว้ แม้พี่เป็นปลาไม่ปรารถนาเข้าอวนของใคร พี่จะขออยู่แต่ใน อวนใจน้องเจ้าเท่านั้น **สายชลแม่กลองน้ำนองสองฟากล้นฝั่ง น้ำใจจงหลั่ง พอได้ประทังชีพฉัน สายน้ำมิอาจตัดขาดออกไปจากกัน สายใยสัมพันธ์ ขาดกันไม่ได้หรอกเอย.. ๏.. วิบากกรรม..๏ ด้วยโคลง(๓) สามสุภาพ ๏ กรรมเก่าเคล้าติดกลัว ....... มัวหรัวแจ่มพิศแจ้ง ย้อนไล่วกจกแว้ง ............... ชดใช้จี้ทรวง ๚ะ ๏ มรรคบ่วงล่วงดึงรั้ง ........... ยอบ่ยั้งยุดได้ บ่ายเลี่ยงเบี่ยงก้าวไซ้ร์ ........ หลีกเร้นได้ฤา ๚ะ ๏ คือสิ่งสิงข่มเคล้า ............ จักคอยเร้าแทรกล้วง สร้างใหม่กอดทอดห้วง ........ จิตห้อมย้อมเติม ๚ะ ๏ ลบบาปหรือจักล้าง .......... ให้มล้างมอดเถ้า คงยากวิบากเกล้า .............. เกิดครั้นรอคืน ๚ะ ๏ สุขาลัยไขแล้ว ........... ส่องแพร้วจรัสรุ้ง เพียงหมั่นบานบุญฟุ้ง ....... สบฟ้าส่งฝัน ๚ะ ๏ รอยกรรมร่ำก้าวสืบ .......... รุกคืบสิไล่คว้า ใช้ทดทดทอนถ้า- ............. อกร้าวโอดหลอน ๚ะ๛ + กิ่งโศก +
นานๆ ได้ดูละครทางฟรีทีวี สักที ได้ดูตอนอาวสาน เรื่อง มนต์รักแม่น้ำมูล ตอนจบภาพที่พระเอก(ครูพิม) นั่งทอดอาลัยตายอยากในความรัก...บนยอดผาแต้ม สายตาที่ทอดมองต่ำลงมาเป็นลำแม่มูล คล้ายอ้างว้างเดียวดายในหัวอกเป็นอย่างยิ่งพร้อมกับมองสายน้ำที่ไหลล่องไหลไปอย่างไม่ย้อนกลับของแม่มูล อาแม่มูลดุจลำน้ำเส้นสำคัญสายหนึ่งใน ถิ่นอิสานที่หล่อรวมความทุกข์สุขของผู้คนในลุ่มน้ำสายนี้ มนต์รักแม่น้ำมูล เป็นละครที่จบแบบไม่แฮปปี้เอนดิ้ง นะ ทำให้นึกคันหัวใจในตัวนางเอกชื่อเดือนนัก ดูเธอเป็นคนที่หัวใจรวนเร ไม่แน่นอนเอาเสียเลย ในความรัก ( ว่าตามบทเนื้อเรื่องนะครับ 55) ..นางเอกสมหวังในรัก พระเอกกลับ มอดม้วยมรณา.... แต่ที่กิ่งโศกชอบคือการที่ละครได้นำเสนอบทเพลง ที่ถือว่าเป็นแนวชนบทอันแท้จริง ชอบเพลงที่คุณปริศนา(แม่ครู) ร้อง เพลง..จำชื่อไม่ได้ รู้แต่ต้นฉบับ เป็นเทพพร เพชรอุบล ขับร้อง แนวลูกทุ่ง มองภาพท้องทุ่งนาได้แจ่มชัดในมโนภาพเลยละครับ แม้นว่าไม่ใช่คนภาคพื้นอิสาน แต่สภาพการดำเนินชีวิต ของกิ่งโศกก็หมกป่าหมกดอย ใกล้เคียงกัน ถ้อยคำบางคำอาจไม่เข้าใจ แต่บทเพลงสามารถสื่อให้เข้าใจได้ไม่ยากนัก .... ช่วงนี้ยังอยู่ในโหมด คุณชรินทร์ นันทนาคร ภาพการนั่งคอยอะไรสักอย่างอย่างไร้ความหวังของพระเอกในละคร ทำให้กิ่งโศก นึกถึงเพลง คอย ของคุณชรินทร์ ทันที ....ใจดำ ใจดำแกล้งทำให้คลั่ง...ท่อนนี้โดนใจกิ่งโศกยิ่งนักละครับ คำว่าคอย แทบไม่ต้องอธิบายความ เป็นการหยุดรอ รอในสิ่งที่ตัวเองถวิลหาให้ วิ่งเข้ามาหา ดังนั้นการคอยสิ่งที่จะได้เป็นผลลัพ มีอยู่แค่ สองอย่างอย่าง คือ คอยพร้อมกับสมหวังในการรอคอย และอีกอันคือคอยอย่างไร้ความหวัง สิ้นหวัง กิ่งโศก เชิญชวนพี่ป้าน้าอา มาฟังเพลงนี้กันนะครับ ใครเปิดฟังเสียงไม่ได้ ลองหาฟังในเนตก้ได้ครับ เพลงนี้ชื่อว่า คอย เพลง..... ยังคอย .. ขับร้อง ..... ชรินทร์ นันทนาคร ยังคอย ยังคอยยังคอยเธออยู่ ทุกลมหายใจ รักเธอเท่าไรใจคงจะรู้ แม้เกลียดก็บอกอย่าหลอกให้คอย เฝ้าน้อยใจอยู่ เหลือทนมองดูเธอเปลี่ยนไป ใจจริง ใจจริง นั้นคอยแต่ยั่ว พี่มัวเหลิงลอย หลายปีเฝ้าคอยยังทนอยู่ไหว รับปากกันหน่อยอย่าปล่อยละเมอ เฝ้าเพ้อรักใคร่ บอกหน่อยได้ไหมว่าใจเมตตา หรือมีเพื่อนใหม่ ถึงได้เมินเฉย ลืมแล้วที่เคย สัญญา อย่างำเงียบไว้โปรดจงเฉลย เอ่ยมาเถิดหนา หลงรอใจพา รำพึง ใจดำ ใจดำ แกล้งทำให้คลั่ง เพื่อหยั่งน้ำใจ รักเธอแค่ไหนใจคงซาบซึ้ง รักก็จงตอบจะมอบใจภักดิ์ ตอบรักคำหนึ่ง อย่าปล่อยให้ถึงละเมอกอดหมอน (ซ้ำ)
เช้านี้ขับรถขึ้นบนทางด่วนบูรพาวิถี ตอนเช้ายึงทมึนมืดด้วยกลุ่มเมฆฤดูฝน เป็นก้อนกลุ่มลอยอยู่เบื้องหน้า จากนั้นมินาน สายฝนก็คงอั้นไม่อยู่ ก้พรูพร่างมาโครมใหญ่ แต่ก็สักประเดี๋ยวเดียวก็หายไป ทิ้งไว้รอยเปียกเป็นคราบน้ำ ที่บรรดาสารถีมักไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ เพราะจะยิ่งให้รถเลอะได้ดีนักละครับ เพียงสิบนาทีที่ขับรถอยู่บนทางลอยฟ้า ฝนหายก็จะมองเห็นแสงสว่างจ้าอยู่เบื้องปลายฟ้าโน้น ทำให้นึกถึงแสงสว่างปลายอุโมงประมาณนั้น ..สักพักก็ผ่านพ้นกลุ่มเมฆดำ มาเจอเอาแสงแดดจ้า..โอ้..ฟ้าสีทองผ่องอำไพ .. มองไปทางขวามือ บนท้องฟ้า ปรากฏวงโค้งสีสดสวย ประดับผืนฟ้าน่าชมมากเลย กิ่งโศก ชะลอรถมองกระจกหลัง ไม่มีรถวิ่งตามมาสักคันเหมือนเป็นใจให้กิ่งโศกท่องพิมานอันงดงามเพียงลำพัง จึงค่อยหยิบมือถือ แล้วรีบถ่ายรูปไว้หนึ่งรูป อืมประกายหลากแห่งสียามเพ่งมองนั้นงามประหลาด สีของรุ้งมีกี่สียากยิ่งจักนับ บางคน 7 สี 8-9 สี แต่จักกี่สีก็งดงามแล้ว วัยเด็กครั้งยังเล็กนั้น ฤดูฝนผ่านมาคราใด พอสิ้นสายฝนแสงแดดเริ่มสาดส่อง กลุ่มเด็กบ้านป่าเช่นกิ่งโศก จะชวนกันไปดู งูกินน้ำ งูที่มีหลายสี เป็นงูฟ้า เทวแห่งงู ที่จะทอดหรือโน้มร่างลงมายังเมืองมนุษย์ดื่มกินน้ำ ยิ่งมองผ่านทุ่งนากว้างแล้ว เหมือนงูฟ้า ก้มลงมาดื่มกินน้ำในท้องนา เรากลุ่มเด็ก จะพนมมืออธิษฐาน ขอให้เทวแห่งงู จงให้เราอยู่สุขสมบูรณ์ มีเด็กบางคนที่กล้า จะชวนกันเดินไปดู งูกินน้ำ แต่หลายคนกลัว เราเลยแต่ด้วยมองสีสดงดงามของงูน้ำ อย่างแกมพิศวง จวบจนล่วงเติบโตสู่ความที่เดียงสา จึงพอจะรู้เหลี่ยมมุมของแสงที่หักเหที่ผ่านแผ่นแก้วใส หรือน้ำ การสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ผ่านละอองไอน้ำ แต่ลึกๆ มันก็ทำให้ประหลาดใจอยู่ไม่คลาย ในเส้นวงโค้ง แสนสวยนั้น หยาดรุ้ง เป็นบทเพลงที่ชรินทร์ นันทนากร บรรยายความงามแห่งอิสตรีที่คลับคล้ายความงามแห่งหยาดรุ้ง หยาดรุ้งหนึ่งหยาดหลิอรวมอีกพันหมื่นแสนหยาด ก่อความเลอลักษณ์เทียมหนึ่งนุชนารถ นั้นก็กล่อมอารมณ์ได้หรรษาเชียวครับ มาร่วมกันฟังเพลงนี้ครับ.......... หยาดรุ้ง หยาดรุ้ง ชรินทร์ นันทนาคร .หยาดรุ้งงามราวดวงดาวรุ่งจิต รุ่งความโสภิต รุ่งชีวิตชายแม้เงา ดวงตาคมซึ้งซึ้งดังเพชรวาว เนตรงามอคร้าว หยาดรุ้งราวหยาดน้ำริน ..หยาดรุ้งคนดีปราณีพี่หน่อย อย่าลอยสูงนัก พี่ปองรักยอดยุพิน ลมครวญคำหวานเสียงธารระริน คร่ำครวญถวิล ว่ารักยุพินเช่นกัน ..เธอหอมความดี เป็นที่คละคลุ้ง ประหนึ่งสายรุ้งรุ่งดวงตะวัน ยามยิ้มแย้มยวน ชวนให้ชายฝัน สยบใจนั้นรักเหลือคณา หยาดรุ้งงามราวดวงดาวกระจ่าง รุ่งดังน้ำค้าง ที่ยังค้างตามพฤกษา เธอคือความหวังฝังใจทุกครา พี่ครวญใฝ่หา พี่รักบูชาหยาดรุ้ง ..เธอหอมความดี เป็นที่คละคลุ้ง ประหนึ่งสายรุ้งรุ่งดวงตะวัน ยามยิ้มแย้มยวน ชวนให้ชายฝัน สยบใจนั้นรักเหลือคณา หยาดรุ้งงามราวดวงดาวกระจ่าง รุ่งดังน้ำค้าง ที่ยังค้างตามพฤกษา เธอคือความหวังฝังใจทุกครา พี่ครวญใฝ่หา พี่รักบูชาหยาดรุ้ง.. ๏.. สายสวาท ..๏ ด้วยโคลงสี่ ( ๔) ตรีพิธพรรณ ๏ สยบจบจอดแจ้ง ....... หัวใจ ซ่อนฟากไหนใช่กาง ......... กักกั้น ยังสอดหยอดสายใย ....... โยงเชื่อม สวาทโบมสบั้น ............ บ่วงร้อยคล้อยคลอ ๚ะ ๏ จ่อชิดจิตเชื่อมชู้ ....... เฉกเคียง รักผูกเรียงเพียงรุม ....... รุกล้อม เส้นทางห่างสุดเสียง ...... กระซิบ ส่งแฮ พึงรับลำดับห้อม ........... หึ่งก้องร้องขาน ๚ะ ๏ คิดถึงพึงจิตเร้า ......... แรงจร เหนี่ยวหน่วงศรรั้งเล็ง ...... ลิบพ้น ส่งความท่วมอุทร ........... ทอรัก ท่ามนา หวังต่อก่อเริ่มต้น .......... แตกเชื้อเติมสาน ๚ะ ๏ บรรพรตจรดแกล้ง ....... สูงกัน มิอาจหันเหใจ ............. เปลี่ยนเส้น น้ำกว้างสุดเกินผัน ........ ข้ามพลิก ยากปิดมิดหมายเร้น ....... แทรกเลี้ยวเกลียวกุม ๚ะ ๏ รุ่มใดไหนเท่านี้ ......... เริงแรง เพี้ยงฤทธิ์แผลงแยงเยง ..... ระย่อย้ำ สิ่งใดใช่สำแดง ........... ด้านอยู่ โอจิตรักหักห้ำ .......... หั่นถ้วนสรรพสา ๚ะ ๏ สาธกยกทอดเหล้น ....... เรียงคำ โคลงโยกนำย้ำเคียง ......... เยี่ยงครั้น ก่อนเก่าเล่ากาลสัม-......... ปัตติ ปัญญาเฮย สืบต่อสานกระชั้น .......... มิให้หายสูญ ๚ะ๛ + กิ่งโศก +