......ลำนำเที่ยวนี้ กิ่งโศกขอเขียนบรรยายด้วยบทย่อ แลไม่เยิ่นเย้อ ด้วยอารมณ์ผูกบ่มแห่งรักที่ไม่เคยคลาย .....คิดถึงแม่ ครับ แม่จากไป เมื่อ 28 มกราคม 2554 ...ดุจหนึ่งร่างกายบางส่วนแหว่งวิ่นหายไป ใจหาย เพราะทุก วันแม่ เราๆ พี่ๆ น้องๆ จะคล้ายเป็นวันรวมญาติ สายตาที่แม่แลมาทุกครั้งคือรอยยิ้ม ที่ทำให้เราอิ่มเอมใจทุกครั้ง ภาพรอยยิ้มแม่ยังตรึงตราใจเสมอ ตรูตายิ่งแม่แย้มติดแต้มยิ้ม ความพร่างพรายฟุ้งพริ้มเลอปิ่มผ่าว- พรูไอรักสลักค้ำทุกท่ามคราว- มือแม่ลูบอุ่นราวไล่หนาวชื้น.....
ในช่วงฤดูฝน เป็นช่วงสายน้ำจากฟากฟ้าหลั่งชโลมผืนดินเพื่อสร้างความชุ่มฉ่ำและหล่อเลี้ยงแมกไม้ใบหญ้า จึงเป็นฤดูกาลแห่งความมีชีวิตชีวายิ่ง แต่บางครั้งพระพิรุณก็หล่นเพลิน จนทำให้เกิดอุทกภัยเดือดร้อน กันไปทุกหย่อม และฤดูถัดไปคือฤดูหนาว ถือได้ว่าเป็นช่วงเก็บเกี่ยว อารมณ์สุข สดชื่น เพราะช่วงนั้นพลังชีวิตกำลังฉายฉาน บานเบ่งไปทั่ว ภาวะความเย็นดูจะเป็นสิ่งมีชีวิตมักจะชอบกว่าความร้อน (ไม่ใช่อุ่น) ลานผืนป่าขจรขจีด้วยบุปผาชาติ นานาพันธุ์ แมลง สัตว์ทั้งทวิบาท จตุบาทเริงร่า ภมรภู่ผีเสื้อร่อนฟ้าชมผกา แลสบไปท้องฟ้าพบแต่ความสดใส เมฆขาว ฟ้าสีคราม พอทอดต้องสนธยา แดงเรื่อเจือสีแห่งแสงตะวันที่เริ่มยอ... ค่ำคืน เวิ้งฟ้าประดับประดาไปด้วยหมู่ดาริการะยิบ ยิ่งคืนเดือนแรมหมู่ดาวจะจำรัสยิ่งเชียวละครับ ในห้วงเวลาดึกดื่นสำหรับผู้ที่ดื่มด่ำในภวังค์ ก็จะบรรจงวาดวิมานอันวิจิตร ให้แจ่มชัดในมโน...แลอารมณ์บรรเจิดเพริดพลิ้วให้ทำนองไปกับคีต ดีดคลอกล่อม มนตราดนตรีไพร แก่เหล่าผู้คนให้สู่นิทรารมณ์ พร้อมระเริงร่ำในห้วงฝัน ยามค่ำคืนเช่นนี้ วัยเด็ก ของกิ่งโศก พร้อมด้วยพี่น้อง พ่อแม่ญาติๆ จะร่วมพูดคุยกันหลังอาหารเย็น เด็กน้อยที่มักจะคอยฟังผู้ใหญ่เล่า พูดคุยกัน พร้อมกับนอนหนุนตักแม่ อยู่กลางชานบ้านที่เป็นพื้นโล่งโปร่ง เวลาลมกลางคืนพัดผ่าน นำพาความเย็นชื่นแล้วยังนำพากลิ่นหอมระรื่นแห่งดอกไม้ราตรี หูฟังผู้ใหญ่พุดคุย จมูกสูดสัมผัสกลิ่นหอมมาลัย ดวงตามองเบิ่งไปบนท้องฟ้า ชวนชมดูดวงดาวกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ เอ..ดวงดาวหรือจะเป็นดาวแห่งชะตาของแต่ละคน ?.... เราๆ พี่ๆ น้องๆช่วยกันชี้ ว่าดาวอะไร ใช่ดาวไถ ไหม ใช่ดาวศุกร์ไหม ..นั่นกลุ่มดาวลุกไก่ คำถามมักจะถูกตอบจากผู้ใหญ่เสมอ พร้อมตำนานต่างๆ ที่บางทีผุกเรื่องเล่า ...คลุกเคล้าไปด้วยฤทธีแห่งผู้อยู่ฝ่ายดี และฝ่ายร้าย และสุดท้ายก็จะสรุปบน ธรรมะชนะอธรรม คนรุ่นเก่ามักเพาะบ่ม ความเชื่อศรัทธา ที่อยู่ในครรลองธรรมแก่บุตรหลานเสมอ ครั้นเมื่อมาใช้ชีวิตแบบคนเมืองร่วมยี่สิบรอบของวงชีวิต แสงนวลแห่งดวงดาวบนท้องฟ้าในเมืองกรุงกลับถุกปิดกั้นด้วยแสงประดิษฐ์... แสงจากไฟฟ้า ที่เวลาตอนเราแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าทีไรมักจะแยงดวงตาให้พร่า ทุกที ท้องฟ้ามักจะหม่นหมองด้วยหมอกควัน หมู่ดาวมักจะถุกกลบ จึงยากนักที่จะเห็น ยกเว้น พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ที่ยังคงสถิตย์ลอยวนให้พอได้เห็นว่าเป็นกลางวันกลางคืนอยู่เช่นเดิม ชีวิตการทำงานในเมืองหหลวง บางครั้งต้องมีผ่อนคลายอารมณ์ บ่อยๆ ยิ่งกิ่งโศกมีเจ้านายเป็นคนต่างชาติ คือญี่ป่น (แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องราวที่เราเพ้อมาได้ไหม ฮ่าๆๆ ใกล้แล้วขอรับ) เจ้านายชอบร้องเพลงคาราโอเกะมาก ส่วนมากก็เป็นเพลงสากล ปะกิต และเพลงคุณยุ่น และทุกครั้งต้องมีเพลงเอกของคนญี่ปุ่น คือเพลง ซาบุรุ...เวลาจะไปทานอาหารช่วงเย็นกัน จะโทรสอบถามก่อนว่าที่ร้านมีเพลงนี้ไหม หากไม่มีช่วยหาให้ด้วย จากที่เคยฟังผ่านๆ มาฟังบ่อยๆ จนคุ้นหู หากใครยังไม่รู้จัก ก็ลองฟังเพลงที่นำมาร้องเป็นภาษาไทย โดย แมวเก้าชีวิต ดอน สอนระเบียบ ( น่าสงสัยว่าคุณดอนไปสอนเจ๊เบียบแต่มะไหร่ 55) เพลงที่ขึ้นต้นว่า เหม่อ มองฟ้าคืนนี้แสงดาวริบหร่สวยเด่น...ทำนองเย็นๆๆ ซาบุรุ ก็ทำนองบทเพลงเดียวกัน ( คุณดอนเอามาร้องทีหลัง) ยิ่งเดี๋ยวนี้มีคำร้องทับศัพท์ ทั้ง อังกฤษ ทั้งไทยเลย เพลงนี้หากฟัง ในตอนกลางคืนกำลังมองดูดาวด้วยแล้ว ผมว่าเราจะเคลิ้ม ยันเช้าเลยละครับ ไม่เชื่อลองฟังดูนะครับ เดี๋ยวผมใส่เสียง พร้อมเนื้อร้อง แบบทับศัพท์ เลยครับ subaru. (Japan song) me o to ji te na ni mo mi e zu ka na shi ku te me o a ke re ba ko u ya ni mu ka u mi chi yo ri ho ka ni mi e ru mo no wa na chi aa.. ku da ke chi ru sa da me no ho shi da chi yo se me te hi so ya ka ni ko no mi o te ra se yo wa re wa i ku a o ji ro ki ho ho no ma ma de wa re wa i ku sa ra ba [su ba ru] yo i ki o su re ba mu ne no naka ko ga ra shi wa na ki tsu zu ke ru sa re do wa go mu ne wa a tsu ku yu me o o i tsu zu ke ru na ri aa...san za me ku na mo na ki ho shi ta chi yo se me te a za ya ka ni so no mi o o wa re yo wa re mo i ku ko ko ro no me i zu ru ma ma ni wa re mo i ku sa ra ba [su ba ru] yo aa...i tsu no hi ka da re ka ga ko no mi chi o aa...i tsu no hi ka da re ka ga ko no mi chi o wa re wa i ku a o ji ro ki ho ho no ma ma de wa re wa i ku sa ra ba [su ba ru] yo wa re wa i ku sa ra ba [su ba ru] yo ๏ เกลื่อนด้าวดาริกา ระดะฟ้าไล้ด่ำดื่น ระยิบระยับยืน . ยิ่งทอแย้มเกินบรรยาย ๚ะ ๏ เกลื่อนด้าวระดื่นฟ้า .. ดาวราย เฉกยั่วกลั้วยิ้มฉาย . หยาดชี้- แสงระบัดระบาย เรื่อบ่ม ไล้เนอ แลชื่นรื่นระรี้ . ปริ่มล้ำหวำไหว ๚ะ ๏ แยงวูบเส้นวิ่งเวิ้ง วาบเห็น ชนเก่าเล่าบอกเป็น .. ปากยั้ง ดาวตกตริกระเด็น .. จุติ ชีพนา ใครทักจักหยุดรั้ง- . แกว่งเร้าเกิดรอน ๚ะ ๏ ปริศนาห่อนใบ้ บทโหร ทายเฮย เผยใช่ประจักโชน .. ชัดถ้อย เพียงเปรียบเทียบอย่าโพน- . ทะนาสรรพ สิ่งนอ ใคร่คิดจิตจ่างร้อย .. รับแจ้งพิจารณ์ ๚ะ ๏ กี่คืนกี่ค่ำเคล้า .. คะนึง ถอยร่นก่นความถึง อดีดครั้ง- ลำดับนับอื้อึง . อวดแย่ง ชี้แล นี่นั่นพันหมื่นตั้ง .. มากแต้มแซมหาว ๚ะ ๏ อยากเติมปั้นแต่งฟ้า .. เต็มฝัน ตรึงภาพขับข่มจันทร์ .. จ่างคล้อย งดงามอร่ามงัน ................ อยู่นิ่ง ชมนา แม้นบ่วงพ่วงดึงร้อย ......... อยู่ยั้งฝังแฝง ๚ะ ๏ ไขแสงแข่งขับด้วย ........ ดับแข พึงปลั่งพลางฉายแปร .......... เปล่งซ้อน จันทร์เสี้ยวส่องกระแส ....... ลับซอก เมฆเฮย ฉานทอดเรื่อสะท้อน .......... ทั่วท้องผ่องสรร ๚ะ ๏ เกลื่อนด้าวระดื่นฟ้า ....... ครู่เเดียว สางลุอุษาเหลียว ................ รุ่งเช้า จิตคืนตื่นรู้เจียว .............. ปัจจุ- สมัยนา จึ่งราบภาพรุกเร้า ........... หลบใต้นัยหลอน ๚ะ + กิ่งโศก +
....................วันนี้กิ่งโศก ขยับขั้น(กระแดะ)ฟังเพลงฝรั่ง ทั้งๆที่แปลก็ไม่ค่อยจะออก แต่เนื่องจากเพลงนี้ ฟังมาแบบสเนค ฟิชๆ ตั้งแต่ตอนมัธยมแล้ว จำได้ว่ารุ่นพี่มาดเท่ห์แกจะชอบดีดกีต้าโปร่ง อวดสาวนักเรียนรุ่นน้อง ช่วงตอนพักเที่ยงกลางวันที่ริมสนามฟุตบอลของโรงเรียน มีพวกเรารุ่นน้อง ไปล้อมวงฟังกันเพียบ สมัยนั้นพี่เขาชอบเล่นเพลงของวงชาตรี สลับกับเพลงฝรั่ง...จำติดตาคือเห็นพี่แก แหกปากลั่น... เฟ้...เม..( Free me) พร้อมกับดีดสายกีต้า ด้วยความมันส์ พวกเราก็คอยปรบมือคลอกัน ..แต่ที่พี่ท่านเล่นบ่อย คือเพลง เมื่อวาน (Yesterday) ผมฟังพี่แกครวญ ก็ดูประทับตาจำท่าทางได้ แกดีดจังหวะช้าๆ หลับตา..ร้องเพลงเมื่อวาน เพลงดังของวงสี่เตาทอง เดอะบีเทิล ....กิ่งโศก แปลไม่ออก ฟังแกบ่นไปจบเพลง...หลายครั้งหลายครา ก็ฮัมๆ คลอไปในใจ .. ......พอมาปัจจุบันทำให้นึกถึงอดีตยามวัยสะรุ่นนั้น ลองกลับมาฟังดู ฟังเอาทำนอง ฟังน้ำเสียง เคยลองร้องในคาราโอเกะ..ก็ดูเข้าท่า (คิดคนเดียว 55 คนอื่นอาจนั่งอาเจียนเป็นแน่) หากมาดูในเนื้อร้องแบบเปิดดิกชั่นเนอรี่ แปลแบบ กบๆ เขียดๆ ก็ดูมีความหมายดี ที่สะท้อนวันวาร วันวานที่ผ่านไป ที่มีทั้งความหวานชื่น สลับความขื่นขม ความสองรู้สึกที่ผ่านไป เราไม่อาจเรียกให้มันคงอยู่ หรือรั้งให้หยุดไว้ได้...วันเวลานี่ช่างไม่คอยใครเลย แถมไม่ปราณีเมตตาใคร จะทนหยุดทนรอสักเสี้ยววินาทีก็ไม่ได้ ..... วันวาน กลายเป็นวันแห่งอดีต เหตุการณ์ภาพที่เคลื่อนไปตามกาลเหล่านั้น หากเราเปิดเครื่องฉาย (ความคิด) โดยรีเพล์กลับไปในเหตุเบื้องต้น บางภาพ บางเหตุที่เราไม่ค่อยอยากจำ กลับถูกบันทึก Memory ไว้ในเครื่องบันทึก(สมอง) แม้นจะพยายาม delete ลบอย่างไรก็ไม่ออก ติดแน่นเสียจริง... .....วันวารนั้นหวานอยู่จริงหรือ? เชื่อได้หรือไม่ วันวานยังขมอยู่หรือ? รสชาติที่สัมผัส หากมาย้อน ณ ตอนนี้ คงยากนักที่จะเปรียบเทียบได้ เพราะรสหวานบางรสที่มองว่าหวาน แต่รสหวานวันนี้อาจหวานกว่า หรือรสความเจ็บปวดในวันวาน อาจเจ็บปวดน้อยกว่าวันนี้ก็เป็นได้ เพราะไม่มีเครื่องมือใดๆ เอามาวัดว่า อันไหนมากว่าน้อยกว่า... .....เถิดเราลองมาฟังเพลงฝรั่งกันดูบ้างเถอะ อย่างน้อยก็เป็นดนตรีเฉกเช่นเดียวกันทั่วโลกที่บรรเลงร้องเพื่อจรรโลง ขับกล่อม ปลอบ โหยหา ครวญคราง ไม่ได้แตกต่างกัน ไม่ว่าภาษาไหนดนตรีไหน ... ดัง บทหนึ่งในพระราชนิพนธ์แปล ( จากต้นฉบับของ วิลเลี่ยม เช็กเปียร์ ) ในรัชกาล ที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว " ชนใดไม่มีดนตรีกาล....... ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ ........ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์ ฤๅอุบายมุ่งร้ายฉมังนัก............... มโนหนักมืดมัวเหมือนราตรี และดวงใจย่อมดำสกปรก........... ราวนรกชนเช่นกล่าวมานี่ ไม่ควรไว้ใจใครในโลกนี้........ เจ้าจงฟังดนตรีเถิดชื่นใจ " ดังนั้นเรามาฟังเพลงนี้กันครับ YESTERDAY The Beatles .. ...Yesterday, all my troubles seemed so far away. Now it looks as though they're here to stay. Oh I believe in yesterday. Suddenly, I'm not half the man I used to be. There's a shadow hanging over me. Oh yesterday come suddenly. Why she had to go I don't know, she wouldn't say. I said something wrong now I long for yesterday. Yesterday, love was such an easy game to play. Now I need a place to hide away. Oh I believe in yesterday. Why she had to go I don't know, she wouldn't say. I said something wrong now I long for yesterday. Yesterday, love was such an easy game to play. Now I need a place to hide away. Oh I believe in yesterday. Mm mm mm mm ....... ๏ สุดอดสูอับสิ้น ....... สรรพสติ จักหน่วงพ่วงนัยพิ-...... นอบน้อม ฤาดึงลู่สู้ริ-...... ปูล่วง ไป่แล พวักพะวนพร้อม ...... พรั่นแว้งแกว่งไหว ๚ะ ๏ ชนดูชาชะแสร้ง ..... ความชัง สุนัขหยันย่ำยัง ...... หยิ่งเย้ย พิบัติซัดสุมขัง ...... เคล้าคลุก ท่วมเนอ พร่ำท่วงพ่วงถูกเพ้ย ...... พากย์ทั้งยังเข็ญ ๚ะ ๏ เคล้าสุขเทียมเคลือบแท้ ...... ทุกข์คลอ ใดเหือดเดือดหายหอ ....... ซุกห้อม จีรังชั่งชะลอ ........... เชวงใช่ ฉานแล รอ-มลายแหลกล้อม ........ ป่นล้มปมหลอน ๚ะ ๏ ขจรขื่นจับเล้า ..... คราบโลม เถือบั่นหั่นบิโถม ...... ระทดท้อ เซ่นบาปซับบ่มโซม ..... เฉกเหงื่อ ท่วมนา พรูร่วงพ่วงเพ้อพ้อ ...... แผกได้ใช้กรรม ๚ะ ๏ ปูมเก่าเคล้าป่ายชี้ ...... เผยเห็น พิบากผลักกระเซ็น ...... ก่อนชี้ คราทุกข์ยังขุกเข็ญ ..... ขมขื่น กี่ภพกลบเก่าหนี้ ...... สบัดทิ้งถวาย ๚ะ ๏ สุด-อดสูอับเศร้า ...... สาทรวง กระอักกระอ่วนกลวง-...... อกกลั้น- แดเดียวเปลี่ยวเปล่าดวง ...... ดื่นแปร่ง แปลกเฮย คงนิ่งคำนึงนั้น ........ เนื่องเข้าน้าวขันธ์ ๚ะ
..บทเทศนาแห่งองค์ตถาคต บัญญัติบอกไว้อันวัฏจักรแห่งชีวิตว่า อันมนุษย์ ย่อมเวียนว่าย ใน การเกิด การแก่ การเจ็บการตาย นั่นคือความจริงอันที่ไม่ต้องพิสุจน์ เพียงทุกผู้เห็นแจ้งตามนั้น ..วงล้อชีวิต คำรบนี้ ยิน อ่าน เห็นจำเรียงเสียงสะท้อน เพลงยาวอยุธยา ลอยร่อนในทุกทั่วอณู โลกาใบนี้ โดยเฉพาะ วรรคติดลมบน....จารเป็นบทกวีว่า ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ......... นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย ..........น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม โดยเราเราอาจ จึงแปรเปลี่ยนเป็น ..กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม มันสะท้อนถึงการพลิกกฟ้าปลิ้นดิน เข้าสู่ยุคผู้ทรงศีลจะละลาซึ่งการแผ่ธรรมกระนั้นหรือ? นัยต่างๆ เริ่มโชนชัดขึ้น(ในความรู้สึก) ไม่ว่านัยทางสังคมที่เปลี่ยนให้ความสำคัญทางวัตถุสำคัญยิ่งกว่าชีพ คือสามารถขายชีวิตเพื่อวัตถุนิยม นัยทางเศรษฐกิจ คงไม่อาจเห็นความเอื้อาทรเห็นอกเห็นใจ กลายเป็นใครมีเล่ห์ฉลาดกลับฉกฉวยผลักดันตัวเองให้ผงาดเด่นในสังคม แม้นวิธีการนั้น จะล้ำเส้นแห่งศิลธรรม คุณธรรม ความดี และนัยยะทางการเมือง ที่ฉกฉวยประโคมคำ ที่จูงใจคน แล้วรวมกันเป็นข้างเป็นฝ่าย ประหัตหารกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ โลกปัจจุบันคือตัวชี้วัด ความจำเริญคือ ความล้ำหน้าแห่งวิทยาการวัตถุ (วิทยาศาสตร์) นับหน้าถือตาว่าคือความมีอารยะธรรม โลกปัจจุบันใบนี้ หรือจน โลกหน้า แลโลกอนาคต ความกังวลคงมีเพียงเรื่องคุณธรรม (ไม่ใช่คุณนะทำ) ที่จะจางหายไป เน้นความสำคัญในการดำรงค์ชีพสำคัญที่สุด ส่วนมันจะผจญอุปสรรคใดๆ ในการแสวงหาความจำเริญแห่งชีวิตที่จะต้องเต็มไปด้วย ทรัพย์ศฤงคาร นานา ที่พึงหามาด้วย ทุกยุทธวิธี ( คงไม่มีวีธีถูกผิดอีกแล้ว มีวิธึเดียวคือได้มา) ศรัทธาแห่งจิตใจ ต่อความดี ต่อความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คงมลายหายไป เทพ แล เหล่าสัมภวเสี คงไร้ซึ่ง สิ่งบวงสวง หรือบัดพลีสังเวย ดังนัยที่กล่าวมา กิ่งโศก คาดว่า คงไม่เกิดหรอก ในช่วงชีวิตของชาวเรา พึงร่วมภาวนา ว่าอย่าได้เกิด เพราะหากค่านิยมเหล่าวัถุนิยม ที่มองถึงเครื่องวัดความมั่งคั่งแห่งบารมีแล้ว ความนิยมแห่งธรรมคงเลือนหายไปเพราะไม่สามารถเสพได้หรือประชันถึงความเป็นผู้เรืองแห่งอำนาจได้.....ขอเถิดอย่าบังเกิดเลย สาธุ.. ลำนำ บทนี้จักนำบทเพลงสรรเสริญองค์พระศาสดา และไตรรัตน์ เพลง องค์ใดพระสัมพุทธ ที่ขับร้อง ถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ คล้ายดั่งดิ่งไปในธรรมจิตปานนั้น โดยบทที่ถือเป็นสัจธรรมคือ บทนี้ สัตว์โลก ที่โศรกตรม ดับระทม ด้วยพระธรรม นั่นถุกประจุ ตราให้เห็น ว่า สรรพสิ่งใดๆในโลกที่วุ่นวาย พิโยคหาอาลัย นั้น เพียงหันหารสพระธรรม ก็บรรลุดับความทุกข์นั้นได้เพียงบัดดล สดับเถิด ขับร้องโดยคุณสุเทพ วงค์กำแหง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิฯ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิฯ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ องค์ใดพระสัมพุทธ ธ วิสุทธิ์ ผุดผ่องใส ตัดมูลกิเลสไกล หลีกละในสิ่งเริงรมย์ ธรรมใด ท่านตรัสแล้ว เหมือนดวงแก้ว น่าชื่นชม สัตว์โลก ที่โศรกตรม ดับระทม ด้วยพระธรรม ธรรมนั้น พวกท่านทั้งหลาย จงเปล่งวาจา ว่า สาธุสะ ภาวนา ดุจสรณะ คือพระ รัตนตรัย """"""""""""""""""""""""""""""""""""" ๏ .. น้ำเต้าลอย...ฤาถอยจม.. ๏ (ฉบับกลอนห่อโคลง) ๏ โอ้อกดายอาดูรดุจสูรย์ดับ แรแสงวับรุ้งวายมอดหายหว่าง อหังการ์นรกรั้งตกราง- สู่ขุมกางกรงเล็บตะเข็บคม ๚ะ ๏ อกดายด่าวดับโอ้ ....... อาดูร พ่อเฮย เปลวกรากปลักกองกูณฑ์ .... ก่นไหม้ เมฆดำคล่ำมิดสูรย์............ สิ้นสว่าง กฤติยามนต์ไล้ .............. ลบแม้นแสนศานติ์ ๚ะ ๏ พุทธพจน์ฝากทั่วถ้วน ..... ทำนาย บัณฑิตย์ปิดเร้นหาย ......... หดหน้า เหลือบ-ริ้นร่านพล่านคาย ..... ขึ้งกร่าง ครองภพขบพื้นฟ้า ............... ผงาดคร้ามหยามหยัน ๚ะ ๏ คางคกขึ้นเทียบไว้ ......... เทียมวอ ผงกหัวเยี่ยมหอ ............... กระเหี้ยน- กระหือย่ำเย้ยยอ - ............. ยกอวด เดชาเนอ แลเหยียบเรียบเลาะเมี้ยน .... ดับม้วนล้วนหมาย ๚ะ ๏ ผีห่าเห่าฮ้องกู่ ......... กระหึ่มกาล สรรพครอกขยอกขาน .... ครึกม้วน ในอุ้งหัตถ์ซาตาน.......... ขย้ำเขย่า โอแหลกรุ่ยผุยถ้วน ...... ถ่มทิ้งเยี่ยงสถุล ๚ะ ๏ ความสัตย์คลายเสื่อมสิ้น ..... สื่อทอด อาสัจจ์ฉาดฉายสอด ........ ฉาบท้น อาบัติเบี่ยงธรรมบอด ...... บ่ายทั่ว เดียรถีย์ท่วมล้น ............. รุกล้วนถ้วนสถาน ๚ะ ๏ พุทธาเทศน์ใช่ถ้อย...... ถากชน ใดนา เพียงพิกาลพิกล ........ ผ่าวกลุ้ม ยอใจยิ่งนิ่งสนน ....... สู่มรรค ธารแฮ ยั้งพล่านยั่นขยุ้ม ...... ยอบใต้สายธรรม ๚ะ๛ + กิ่งโศก+
ท่ามกระแสนักเลือกตั้ง ผู้หวังครองสยามประเทศ กำลังโน้มน้าวชักจูงใจ..ความรู้สึกของกิ่งโศกยามนี้ ยิ่งได้แต่ทอดถอนใจ เพราะเราเองไม่เคยรู้เนื้อแท้ แห่งการโพนทนา เหล่าจริงเท็จ แค่ไหน สุดท้าย ก็ต้องมาตั้งสติ เอาวะ...เลือกก็เลือก เพราะใกล้วันอันมีแต่ความเสียดทาน ยามสลัดทิ้งความวุ่นวายในอารมณ์ได้ จึงลำดับเพื่อแปรอารมณ์ตัวเอง โดยหารเลือกหยิบ หนังสืออันหลากมากหลาย ในห้องตนเองที่แปลงสภาพให้เป็นชั้นจัดเก็บหนังสือหลายร้อยเล่ม บางเล่มยังแพ็คห่อพลาสติกอยู่เลย เช่น สามก๊ก ผู้ชนะสิบทิศ ไม่ใช่อะไรที่ยังไม่แกะอ่าน เพราะทราบนิสัยตัวเองว่า เมื่อเริ่มอ่านแล้ว ต้องไล่อ่านจนจบ เฉก เพชรพระอุมา ซึ่งเล่นเอาข้าพเจ้า งอมพระรามไปเลย การอ่านหนังสืออะไรก็แล้วแต่ กิ่งโศกจะมักคิดคล้อยตาม หรือแย้ง ตามคนเขียนเสมอ ..อืมใช่...อืม เอะ ทำไมเป็นแบบนี้ แบบนั้น..หรือมักคิดเปรียบเทียบสไตล์นักเขียนที่ตัวเองอ่าน สลับกับการหาแผ่นเพลงเก่าๆ ยุคคำรณ ,สมยศ, สุเทพ ,เสาวลี , ฯลฯ หรือ เปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ยี่ห้อคุ้นหู หาคลื่น เอ เอ็ม ฟังเพลงลำนำ เล่าความเป็นมา ที่มาของแต่ละบทเพลง ของดีเจ ผู้สูงวัย ก็ชวนให้จิตดิ่งสู่ในห้วงภวังค์ลึกๆ ได้ดี ลำนำ ในช่วงนี้อยากฟังเพลงที่ดูแฝงความอาดูร เศร้าๆ หน่อย ช้าๆ แต่พยายามจะเอาผู้ร้องที่เรียกว่าร่วมสมัย เพราะหาต้นฉบับอยากเหมือนกัน เพลงฝากรักเอาไว้ในเพลง เป็นเพลงที่ประพันธ์คำร้องและทำนองโดยบุญช่วย กมลวาทิน ขับร้องโดย เติบ พันธ์งาม เมื่อ พ.ศ. 2484 และนำมาบันทึกเสียงอีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2509 โดยจินตนา สุขสถิตย์ แต่กิ่งโศกขอนำ เวอร์ชั่น ของนิค นิรนาม เป็นผู้ขับร้องครับ เชิญรับฟังกันได้ครับ ฝากรักเอาไว้ในเพลง คำร้อง-ทำนอง: บุญช่วย กมลวาทิน ฝากรักเอาไว้ในเพลงสักคำ ขอให้เธอจดจำเอาไว้ เพื่อจะได้คอยเตือนหัวใจ ว่าเราเคยได้รักกัน ถ้อยคำที่ฉันได้มอบแก่เธอ ขอให้ใจใฝ่ละเมอเฝ้าฝัน เพื่อจะได้เตือนความสัมพันธ์ คำรักนั้นอย่าเลือน ฟังเถอะฟังเอาไว้ เมื่อเราห่างไกล เพลงจะได้คอยเตือน เมื่อยามเหงาไม่มีเพื่อน จะได้คอยเตือนเหมือนฉันอยู่ใกล้เธอ ฝากรักเอาไว้ในเพลงให้จำ หัวใจฉันจะช้ำก็เพราะเธอ ผูกใจมั่นฝันละเมอ.. อยู่กับเธอผู้เดียว... ๏ ลำนำ...ฝากถ้อย สักนิด.. ๏ ๏ อยากเอ่ยถ้อย สื่อร้อยท่ามลุปะทุหลง สะท้อนย้อนว่าอันพะวง ยังเปลี้ยเพลียปลงแห่งวงเปลว ๏ แสงแรงหรี่ แรมีเงาเลือนเลอะเปื้อนเหลว ทาบตรึงขึงโอบบรรจบเอว คราบลวงบ่วงเลวหรือกระไร ๏ กู่ตะเบ็ง เสียงเปล่งบอกฟังสุดยั้งใฝ่ จับยากจากเชื้อสิ้นเยื่อใย ลวงบังอังไหม้เฉกไร้มาน ๏ ยอยกเถิด หวังเชิดสถิตย์อธิษฐาน บันดลบนแดแผ่บันดาล ปกคลุมสุมญานเกิดธารย้อย ๏ ได้หวังแต่ ดินแม่ดับกรุ่นเกินขุ่นกร่อย จึ่งทดลดควันล่วงจวนคล้อย จวบพลบจบผลอยจากเพลิงพราย ๏ เทวะองค์ บรรจงโบกหัตแปรปัดหาย สยามยามคลอนให้ผ่อนคลาย สิ่งชั่วมัวร้ายจงพ่ายพัง ๏ จำกราบก้ม ประนมน้อมไหว้สิ่งในหวัง สมฤทธิ์จิตย้องผุดผ่องยัง ทอแต่แผ่ตั้งกระจ่างตน ๏ คนไทยเอ๋ย สูเคยรู้ถ้วนล้วนสถล เทือกเถาเหล่ากอบรรพชน สืบปลายสายก้นแต่หนกาล ๏ มารักเถอะ เปื้อนเปรอะแปรซับพร้อมพับสาน รวมผูกปลูกใบไสวบาน ชูเบ่งเปล่งก้านสะท้านไกล ๚ะ๛ + กิ่งโศก + เครดริตภาพ และ เส้นคั่น : จาก google จ้า ภาพนกสองภาพได้ความอนุเคราะห์ จากคุณ แบม แก้วประภัสสรจ้า