ชู้ น. (วรรณ) คู่รัก, บุคคลที่เป็นที่รัก, เช่น มาย่อมหลายชู้เหล้น เพื่อนตน. (กำสรวล); ผู้ล่วงประเวณี; การล่วงประเวณี; ชาย ที่ร่วมประเวณีด้วยเมียเขา เรียกว่า เป็นชู้, หญิงที่ยังมีสามี อยู่แล้วร่วมประเวณีกับชายอื่น เรียกว่า มีชู้,เรียกชายหรือ หญิงที่ใฝ่ในทางชู้สาวว่า เจ้าชู้. ที่มา : พจนานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ หากพิจารณาแบบถ่องแท้ แล้วไซร้ คำว่าชู้ นั้นมิใช่ความหมายในด้านลบด้านเดียวอย่างที่เราเข้าใจ พอได้ยินได้ฟังมีคำว่าชู้ ภาพที่มองจะเป็นเรื่องการผิดศิล๕ นั่นคือผิดลูกผิดเมียคนอื่น ในส่วนที่ยกมาที่ใช้ในเรื่องผิดศิลผิดธรรม เขียนได้ว่า เป็นชู้และ มีชู้ นั่นจะหนักไปทางเรื่องชู้สาว เป็นเรื่องฝ่าฝืนข้อกาเมในศีลห้าในข้อห้ามของพุทธมามกะ แต่ภาพในปัจจุบันช่วงยุคโลกไร้พรมแดน คำว่า เป็นชู้ มันเริ่มจะแปรเปลี่ยน เรียกว่า กิ๊ก ว่ากั๊ก กัน เลยทำให้ความละอายต่อผิดแบบนี้มันทอนเบาลง ไม่เหมือนจารีตเดิมๆ สตรีมิควรจ้องหน้าบุรุษ ควรรักนวลสงวนตัว บางถิ่นบางที่ แม้นการถูกเนื้อต้องตัวเป็นต้องถูกประเพณีลงทัณฑ์ เช่น เสียผี หรือ สร้างความอับอาย อา...บัดนี้ เวลาหมุนไปข้างหน้า บางอย่างบางเรื่องกลับดูล้าหลัง มิใช่สำคัญเสียแล้ว สิ่งดีๆในอดีด ดูไร้คุณค่ามนต์ขลัง เมื่ออยู่ในโลก ดิจิตอลแบบนี้ ส่วนคำว่า เจ้าชู้ เป็นเรื่องใฝ่ในความชอบหรือโปรยความชอบทิ้งเสน่ห์แลมองบุคคลอื่นอยู่เนืองๆ นั่นทำให้คำว่าเจ้าชู้ดูจะคู่กับความมีเสน่ห์ในบุคลิคของแต่ละบุคคลคน หากมีรูปร่างหน้าตาดี คำพูดชวนฟังรื่นรมณ์เสนาะหูแล้ว คำว่าเจ้าชู้จึงดูดีกว่า คำว่า เป็นชู้ หรือมีชู้ นั่นเอง คำว่าชู้ เมื่อมาบวกหรือสนธิเข้ากับบางคำ ก็ดูเป็นคำที่แสนจะโรแมนติกยิ่งนัก เช่นคำว่า ยอดชู้ แม่ยอดชู้ พ่อยอดชู้ ช่างดูว่าเป็นคำเรียกขานเรียกหายอดยาใจ ระหว่างคนรักกับคนถูกรัก เป็นถ้อยถวิลหาแลร่ำหาด้วยใจปฏิพัทธ์ ต่อยอดชู้ ในวรรณคดีไทยหรือวรรณคดีในแถบเอเชียนั้นมักมีตัวพระเอก (ตัวนำ) ส่วนมากจะมีเสน่ห์ เก่งด้วยฤทธีในเชิงรบและมีชั้นเชิงเกี้ยวพาราสีต่ออิสตรีเพศ เช่น พระอภัย (แกไม่ค่อยอภัยให้แก่สตรีเลยอะ) เจอใคร แกไม่ขัดใจตัวเอง แม้แต่นางผีเสื้อสมุทร นางเงือก หุหุ....หรือ จะเด็ด ในเรื่องผู้ชนะสิบทิศ พ่อมังฉงาย หรือบุเรงนอง ของท่านยาขอบ เจอตะละแม่ที่ไหนแกเกี้ยวจีบดะไปหมด ขนาดมี จันทรา , กุสุมา ยังไปจีบ นันทวดี อเทตยา ปอละเตียง กัณฑิมา โชอั๊ว....หรือแม้นแต่ขุนแผน ตัวเอกในขุนช้างขุนแผน ที่แหกผ้าเหลืองมาหาสาว ฉะนั้นโดยเฉพาะพระเอกในวรรณคดี ส่วนมากเจ้าชู้ เก่งด้วยกฤติยาอาคม ผิดกับ ฝ่ายนางเอก จะมีบทที่ไม่เด่น มักจะยอมพระเอกอยู่ร่ำไป อาจมีบางเรื่องที่ สะท้อนถึงการกดขี่เพศหญิง(ดังที่กำลังอ้างกัน 55) อาทิเช่น นางกากี ที่เจ๊กลากไปไทยลากมา ( ครุท, พรมทัต,คนธรรพ์) หรือ นางโมรา นางวันทอง โดยพยายามสื่อว่าเหล่านาง มักมากในกามคุณ ทั้งๆที่เนื้อหาจะเกิดจากการบังคับขืนใจทั้งสิ้นและผู้ที่มักมากในกามคุณนั้นเกิดแต่ชายส่วนมาก เพื่อนๆ เคยได้ยินคำนี้ บ้างไหม Man City Lion หรือที่ล้อๆ อเลนเดอลอง เมืองไทย กันในยุคนักร้องลูกทุ่งที่กำลังดังในช่วงนั้น จากน้ำ เสียงสูงๆเล็กๆขึ้นจมูกนามของเขาคือ ชาย เมืองสิงห์ นั่นละครับ เคยบรรจงร้องเพลงแนวสนุก ด้วยบทเพลงที่ว่า ...เมียพี่ขมีชู้ ชาวบ้านรู้กันแซดๆๆๆๆๆ รักกันมาแปดเก้าปี...ลูกสองคนหน้ามนยังหนี .. 55 เพลงนี้ในท่ามกลางวงมโหรีเมรัยสไตล์บ้านนอก บรรดดาคอเหล้าเขาจะร่วมร้องกันให้ครื้นเครง ตามด้วยพวก เคาะชามเคาะช้อนกาลมัง ให้จังหวะ กันแบบโจ๊ะๆๆๆ พรึมๆๆ ร้องกันให้ครึกครื้นนัก แสนจะเร้าใจวัยสะรุ่นในยุคนั้นยิ่ง แลอีกคำๆหนึ่งที่เราๆ คุ้นหูกันดี คือคำว่า ชู้ทางใจ คือคงได้แต่เพียงชมชอบกันทางสายตา และในใจเท่านั้น จึงมีบทเพลง ที่คุณวินัย พันธุรักษ์ ขับร้องด้วยน้ำเสียงสไตล์เสียงต่ำๆก้องๆออกแนวลูกกกรุงหน่อย ๆสะกิดหัวใจให้ผู้คนต้องตั้งตาตั้งหูฟังกันเลย ยุคนั้น นอกจากเพลง วอคอ รอรักแล้ว เพลงที่ดังก็เพลงนี้แหละครับ ลองฟังบทเพลงนี้กันนะครับ ชู้ทางใจ เพลง ชู้ทางใจ ขัยร้อง วินัย พันธุรัตน์ ถ้าผมรักคุณจะผิดมากไหม G A Bm A รักด้วยหัวใจแม้ไร้สิทธิ์หวงและห่วง D Bm Em แอบซ่อนเร้นเหมือนเป็นความผิดใหญ่หลวง A D Bm Em A เก็บไปฝันในทรวง ขอเป็นเพียงชู้ทางใจ D F#m ทุกวันต้องการเพียงแค่ได้เห็น G A Bm A ไม่เคยคิดเป็น เพื่อนนอนแนบเคียงชิดใกล้ D Bm Em เจ็บมามากนัก รักเอยไม่เคยสมใจ A D A D เจ็บอีกหนเป็นไร คงทนได้เช่นเดิม G A D *ชู้ ก็เป็นแค่ชู้ทางใจ A Bm A G A ศาลอาญาแห่งไหน คงไม่ให้รับโทษเพิ่ม D B Em องค์การความรัก มิได้ตราห้ามแต่งเติม A D B Em A จึงเป็นสิทธิ์แต่เริ่ม ที่ผมจะแอบรักคุณ D F#m **หากคิดแค้นเคืองก็จงอภัย G A Bm A นึกว่าเห็นใจ โปรดคลายระแวงเคืองขุ่น D Bm Em ห้ามความรัก โถมันห้ามยากนะคุณ A D A D (ปล่อยให้ผมว้าวุ่น รักคุณต่อไปเถิดหนา) ดนตรี:A D/F#m/G/A/Bm D/Bm/Em A/ D/A/D http://www.youtube.com/watch?v=mbfysv4W_jE กิ่งโศกคนยาก ฝากกถ้อย ร้อยด้วยนารีปราโมทย์ สักบทเถิด ๏..โอ้โฉมสะคราญเอย ๏ ๏ เนตรสบสบสะท้าน ........ สะเทือน อกเอย สมัตผูกเสมือน ................. จิตแม้น- ดุจมนตร์เป่ามิเบือน ........ หมายบ่าย เหเฮย ต้องติดตรึงขึงแข้น ........ มิคล้อยเคลื่อนหนี ๚ะ๛ ๏ สบคมเนตรคมนิ่งคะนึงนับ ฉายทาบวับทรวงผ่าอุราพี่ ดวงตาฉ่ำเย้าดื่นดวงฤดี สิโรราบชีพนี้มิคลอนคลาย ๏ เรียวขนงก่งแนวโค้งแถวเน้น รั้งดั่งเช่นคันศรดีดอ่อนสาย ดุจซ่อนเล่ห์ลึกเปลวในเรียวปลาย ฉลาดล้ำเหลือร้ายเช่นพ่ายรอ ๏ ริมโอษฐ์อิ่มอวบย้ำแม่งามแย้ม ไรทนแต้มวาวเต็มเปล่งเปรมต่อ สะท้อนต้องตลึงแท้ยามแลทอ- ผกายอาบวาบคลอเล่นล้อโคม ๏ พิศ,วงพักตร์สลักสร้างสะอางเช่น ผุดผาดเพ็ญพราวแสงจ่างแจ้งโสม งดงามล้ำสามโลกปกประโลม อสูร,เทพ,นรโน้มหวังชมนุช ๏ ศอเสลาเกลากลึงประหนึ่งแก้ว นวลเนื้อขาวพราวแพร้วยิ่งพิศุทธิ์ ชูระหง,องค์ยุรยาตรยุต ดำเนินดุจนายิกาแห่งนารี ๚ะ๛ ๏ + กิ่งโศก+ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ เครดิตภาพ จากอินเทอเนตล้วนๆ ครับ
...ท่ามกลางประเด็น ว.5 ชั้น7 , 4 season จริงเท็จ ประการใด ปู่กิ่งมิอาจทราบได้ เพราะมิได้ร่วมกิจกรรมด้วย อิอิ แต่ที่ทราบเป็นอย่างยิ่งก็คือ อยากกินเป็ดย่างไฟแดง อะครับๆๆ 55 เรื่องกินนี่ถือว่าเป็นปกติ ของมนุษย์ ที่ยังต้องหล่อเลี้ยงร่างกายด้วยสารอาหาร เพื่อไปบำรุงเซลส์ต่างๆ ไม่ให้ตายมอดม้วยมรณาไปตามพุทธโอวาท คือ เกิด แก่ เจ็บตาย ดังนั้น การกิน หรือพูดให้ไพเราะเสนาะหู ก็คือ การรับประทานอาหาร นั่นนะแหละครับ เป็นการดำเนินชีวิตตามปกติ ...ส่วนการกินเป็ดกินไก่ ( ที่ปรุงรสและสุกแล้วนะครับ ไม่งั้นจาเป็นปอบ 55) สมัยก่อนคนที่จะกินของพวกนี้ได้ ต้องคนมีสตางค์ นั่งตามเหลา ตามร้านดังๆ โดยเฉพาะพวกที่มีชื่อ เช่นเป็นย่าง ปักกิ่ง หรือเมืองอะไรสักเมืองในประเทศจีน ดูจะขึ้นชื่อลือชา ในรสยั่วน้ำลายทุกครั้งที่นึกถึง ส่วนสมัยปู่ ช่วงเงินเดือนออก ก็ น้ำตกทีลอซู เอ้ย น้ำตก ส้มตำ อะอะ มีไก่ย่างด้วย แค่นี้อิ่มแล้วละครับ หากไปหลายคนก็เพิ่มน้ำ จั๊บเลี้ยง อิอิ แก้ฝืดคอ บางทีก็ไปนั่งตามร้านที่มีนักร้อง ..ปู่กิ่งมักเปิดหาเพลงเก่าๆฟัง ที่ฟังเพราะบทเพลงเก่าๆ มักแฝงเรื่องราวสมัยนั้นไว้เสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยเปิดหาเพลงเก่าๆ ที่พอจำได้ มีเพลงร้องสำเนียงพูกไม่ชัก หุหุ แบบคนจีนพูดไทย ว่า ...ต้งเลือง กิงเปดกิงไก่.. บ่งบอกว่า ช่วงต้นเดือนเงินเดือนเพิ่งจะออก ก็สามารถกินของแพงๆ ได้ แต่ปลายเดือน ต้องกินข้าวกับน้ำปลา ในยุคปัจจุบัน ก็ยังคงไม่ต่างกันสักเท่าใด นัก ในยุคที่ต้องใช้เงินเป็นหลัก หรือที่เรียกกันว่ายุคประชาชานิยม (มอมเมา) ต่อไปใครกันเล่าหนอ ที่จะปลูกข้าว ปลูกพืชผัก ให้ได้กิน เพราะผู้คนต่างหันมานิยม ซื้ออยู่ข้างเดียว เด็กๆ โตมา คงไม่รู้จักกระดานชนวนมือไว้คัดลายมือภาษาไทยให้งามๆ หรือให้ขึ้นเขาลงเขา เด็กไทยคงจะรู้จักเฉพาะไอ้แพ๊ดกะไอ้พ๊อด กันแล้ว และคงถนัดจิ้มกันอย่างเดียว เมื่อต้องใช้เงินในการดำรงชีพ คงจะต้องบริโภคแต่ของแพงๆ แน่ๆ เพราะคนปลุกพืชทำไร่น้อย หรือเจ้าของพืชไร่คงเป็นนิติบุคคลกันแล้ว แม้แต่ไร่นา เจ้าของคงเป็นคนต่างชาติ ส่วนเจ้าของเดิมก็แปรเปลี่ยนเป็นเกษตรกรผู้ใช้แรงอย่างเดียวจริงๆ ดังนั้นมูลค่าราคาสิ่งของจึงแพงประเภทหู่ฉี่ถึงขั้นฉีก .. กลับมาที่เรื่อง โค้ดหรือรหัสวิทยุสื่อสาร ที่ตอนนี้ ใช้กันแทบทุกวงการ แต่ก็ต้องนำไปขึ้นทะเบียนให้ถุกกฏหมายด้วย ในฐานะวิทยุสมัครเล่น ที่ทำงานปู่กิ่ง มีจำนวนหลายสิบ สามสิบเครื่องใช้กัน เนื่องจากเพื่อความสะดวก ในการติดต่องาน หรือในภาวะฉุกเฉินต่างๆ ตอนซื้อมาใหม่ๆ ไม่ค่อยจะมีคนพูดกันสักเท่าไหร่ เพราะติดเหนียมอาย แต่ตอนนี้ ต้องออกประกาศห้าม พูดเรื่องส่วนตัว ( ว.5 อิอิ) หรือ ร้องเพลงกล่อมชาวบ้าน มันขยันพูดกันจริงๆ ..ภาษา ว. นี่ มีมากหลายตัวหลายระหัสเพราะพูดกันเป็นตัวเลข และต้องพูดกันบ่อยๆ จึงจะเข้าใจในรหัส เช่น ว.28 , 61 ( สองแปด หกสิบหนึ่ง) แปลว่า ประชุมอยู่ ขอบคุณมาก ว.4 รอก่อน เดี๋ยวมา อิอิ เมื่อก่อนใช้กับหน่วยงานราชการที่เป็นตำรวจ ทหาร ตอนนี้ ในกลุ่มมูลนิธิต่างๆ ก็ใช้กันมาก .. ส่วน ว.5 แปลว่า ติดราชการลับ ห้ามรบกวน อิอิ ว.5 ตอนนี้กำลังติดชาร์ท 55 ทำไงได้ละครับ บุคคลสาธารณะ การเคลื่อนไหวใดๆ ย่อมเป็นที่จับตามองของผู้คน ที่มีทั้งมองแบบชื่นชมและตำหนิ ว.5 ชั้น 7 จะติดป้ายเอาอยู่หรือไม่ก็ปล่อยให้ความจริงประจักษ์เถอะ จะมา ว.5 อีตอนต้องปฏิบัติหน้าประชุมครม.อันเป็นหน้าที่ระดับชาติ จะไม่ให้คนมองได้อย่างไรเล่า แม่นกแก้วนกขุนทอง 5555 .. ในห้วงวันแห่งความรัก ปู่กิ่งก็ไม่อยากกระแหนะกระแหนท่านพริตตี้ เอ้ย ทั่นผู้หลักผู้ใหญ่ให้มากข้อ และเกินความ ขอนำเข้าสู่โหมด เลิฟๆๆ ภายใต้รหัส ว.88 แปลว่า รักและจุมพิต อิอิ อยากหาบทเพลงเกี่ยวกับความรักมากล่อมบ้าง(ทีแรกจะเอาเพลง ขันจมบ่อ ของครูเบญจมิน..แต่หาเพลงไม่ได้อะ ที่ร้องแบบทำนองลำตัด เกี่ยวกับกินเป็ดกินไก่ ) แต่..ช้าแต่ ปู่กิ่งเลยแปรเปลี่ยนเป็นเพลงเกี่ยวกับความรักเอย...ในเวอร์ชั่นของ กุ้ง กิตติคุณ เฑียรสง ชื่อเพลง เสน่หา...ลองรับชมรับฟังกันนะครับ ความ รัก เอย ขับร้อง : กุ้ง กิตติคุณ เจ้าลอยลมมาหรือไร มาดล..จิต มาดล..ใจ เสน่-หา รัก..นี้จริงจากใจหรือเปล่า หรือ เย้า เราให้เฝ้าร่ำหา หรือแกล้งเพียง แต่แลตา ยั่วอุรา ให้หลง ลำพอง หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อ..หื่อ ฮือ ฮือ ฮือ ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อ..หื่อ ฮือ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง รักแรกช้ำ น้ำตานอง ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อ..หื่อ ฮือ ฮือ ฮือ ฮื้อ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ หื่อ ฮือ ฮือ ฮื้อ..หื่อ ฮือ ฮือ ฮือ หื่อ ฮือ หือ ฮือ ฮือ ฮื้อ สง สาร ใจ ฉันบ้าง วาน อย่าสร้าง รอยช้ำซ้ำเป็นรอยสอง รักแรกช้ำ น้ำตานอง ถ้าเป็นสอง ฉันคงต้องขาดใจตาย ปู่กิ่งคนยาก ฝากถ้อยร้อยด้วยกาพย์ห่อฯพอม่วนใจหน่อยเถอะ ๏ ถ้อยเสน่ห์ ๏ ๏ อยากเผยเอ่ยพรูถ้อย .. พึงเรียงร้อยรำพันพจน์ สื่อคำทุกท่ามบท- . จารเรื่อเจือรำพันจินต์ ๚ะ ๏ คำเอ่ยเผย,อกผู้ อาพัทธ์ เฉกเกิดบทบอกชัด บ่งชี้ ถ้อยใดใช่เช่นดัด- จริตดอก นาแม่ คือแก่นแกนพจน์นี้ พากษ์เน้นพรรณา ๏ เพลาผันล่วงพ้น เหลี่ยมพลบ ค่ำเฮย ดุจดั่งฝังบรรจบ จอดเส้น- ทางรุดมิหยุดทบ เรื่อทาบ ขับเลื่อนเคลื่อนโล้เต้น ต่อเร้าผลักหนุน ๏ ฝากละมุนละม้าย อ่อนหวาน โอษฐนา น้อยฤ,สื่อจากมาน อ่อนน้อย มากยิ่งกว่าเกินขาน คำกล่าว นั่นโจ่งแจ้งนัยถ้อย แน่นถ้วนทั่วสถาน ๏ เสน่ห์ใดไหนเท่าเนื้อ เสน่หา ยามถวิลยิ่งพา พูดพ้อ ความอื่นมิตื่นตา ตนเบิ่ง ตื่นรักประจักษ์ข้อ สรรพล้วนลืมความ ๏ ยามอ้อนใดอื่นนั้น เสมอเหมือน เหล็กแกร่งยังเสทือน สั่นสะท้าน ศิลายิ่งลบเลือน ลู่หัก ล้มเฮย คมวจีวาดคว้าน อ่อนระแน้โน้มลง ๏ ประสงค์ประสบเปลื้อง ปลอกใจ แบถอดแบะทั่วไสว สี่ห้อง รู้เถิดทุกมุมใน หาซุก อื่นเนอ คงหนึ่งนุชจองจ้อง จับแจ้งเดียวหนอ ๚ะ๛ + กิ่งโศก +
ครั้นย่างสู่หลังภัยพิบัติซัดกระหน่ำจนผู้คนจมทรุดเซล้มกันไปเป็นแถวแล้วตั้งแต่ภาคเหนือยันลงมา ภาคกลาง รวมทั้งที่ กทม.ภัยธรรมชาติได้ผ่านไปแล้วเหลือแต่ภาพความเสียหาย คราบน้ำตา ร่องรอยนักฉวยโอกาส และบาดแผลให้ใครต่อใครหลายแผลฝากไว้เป็นอนุสรณ์เตือนใจ จากนั้นอุทุกภัยได้ย้ายฐานไปถล่มต่อยังภูมิภาคทางใต้ ที่เริ่มโดนไปชุดใหญ่แล้ว และก็เริ่มค่อยลดระดับความรุนแรงลง เรียกว่า เมืองไทยโดนภัยพิบัติกันถ้วนหน้าดีแท้ นี่ยังไม่นับจากภัยหนาว และภัยแล้งที่กำลังจะคืบคลานมาเยือนอีก นี่แหละสยามประเทศ ในทางกลับกันเมื่อภัยทางธรรมชาติค่อยๆซาลง ภัยจากฝีมือของมนุษย์โดยเฉพาะในภาคการเมือง ก็เริ่มจุดพลุจุดประกายเผาอุณหภูมิให้คุร้อนเร่า ตามประสาถนัดของนักหากินกับการเลือกตั้ง หากินกับภาษีของประชาชน โดยดูแหมือนคล้ายจะละทิ้งปัญหาที่รอการแก้ไข หูเริ่มหนวกฟังไม่ได้ยินคำเดือนร้อนของพี่น้องที่ลงคะแนนให้ เฮ้อ สิ้นน้ำสิ้นท่า ฤาเพิ่มควันไฟ นักเลือกตั้งที่มุ่งหวังเพียงยศถาบรรดาศักดิ์เท่านั้น นี่กิ่งโศกอาจจะพ้อได้ว่า คงจะถึงยุคที่ ใครใคร่ได้ยศได้ศักดิ์ ให้วิ่งที่ดูไบ...อย่าดูต้น ดูราก เป็นอันขาดไม่งั้นชวด ชลู ขาลเถาะ ...แม้นท่านผู้นำพริตตี้ เอ้ย ผู้นำหญิงสุดสวย จะบอกว่า ฝีมืออิชั้นเองคร้า แต่ใครหนอจะเชื่อ เพราะคำถ้อยของหนูไม่รู้ มันได้ตีตราจองไปซะแล้ว ประเด็นเผาเมือง ลงกา แล้วลอกทองของประเทศนำแจกปรนเปรอกันให้เปรมเปรีย์ ยังคงอื้ออึงลั่นบ้านลั่นเมืองควันยังตลบอบอวนยังทันไม่จาง ข่าวจับการจับผู้ร้ายข้ามชาติก็ปะทุซ้ำ เหมือนหวังจะเอามากลบข่าวการเมืองเพราะเสนอกันทุกช่วงวันทุกเวลาทุกนาที แต่ก็หาปิดหาบังมิดก็หาไม่ แถมข่าวและการกระทำอันมิบังควรชวนก่อชนวนเหตุ ให้แตกแยกหนักเข้าไปอีกโหมกระพือเหิมเกริมประหนึ่งสยามประเทศ จะถูกพลิกผืนหน้าดินฉะนั้น ขอองค์พระสยามเทวธิราช ได้โปรดปกปักรักษาแผ่นดินมาตุภูมิสยามประเทศนี้ด้วยเถิด สาธุ ขอเหล่ามาร จงพินาศล่มจมพ่ายมลายหายไปพริบตา.. อีกข่าวที่ท่านทูตสหรัฐปูดข่าวก่อการร้าย โดยออกข่าวคล้ายไม่เห็นหัวโป้งเหน่ง ของท่านรมต. ขนาดขู่แกม ข่ม แถมออดอ้อน อินทรีย์สหรัฐยังไม่ยอมถอนข่าวอีก หุหุ ..นี่รึ มหามิตร น่าจะเรียกว่า มาหามีด มากกว่า นะอีแบบนี้ ขนาดทั่นนายกสุดสวย เดินสายเจริญสัมพันธ์ไมตรีถี่ยิบ ก็หาเป็นผลอันใดไม่ดูเหมือนไม่ไว้หน้าอีกต่างหาก ..เปลี่ยนชื่อมันจากอินทรีย์ เป็นพญาแร้งเถอะ ระหว่างชวนปวดหัวกับข่าวนักเลือกตั้ง ปวดหัวกับน้ำมันที่ขยันขึ้นเอาๆๆ ( พยามบอกว่าเป็นไปตามกลไกลการตลาด แล้วมาตั้งนโยบายไว้ทำไมจะลด 7-8 บาท ลดจริงอะ กี่เดือนหนอ ตอนนี้ เอาเชือกผูกก้อนหินถ่วงยังเอาไม่อยู่ เอาไม่อยู่จริงๆๆ ครับ ) ช่วงนี้หันมาหาข่าวสวยๆ งามๆดีกว่า ว่าแต่จะสวยงามจริงหรือเปล่ากับภาพที่เห็นในเมืองไทยยุคนี้ วันก่อนดูข่าวฟรีทีวีช่องไหนไม่ทราบได้ ที่เอาภาพ พริตตี้ หรือโคโยตี้ นุ่งน้อยห่มน้อยแล้วตั้งเวทีเต้นโยกย้ายส่ายสรีระ ณ ที่งานวัด วัดหนึ่งแถวบ้านทั่นนายกนะแหละ หาเงินเข้าวัดโดยให้บรรดา ชายหนุ่มแก่ชรากลัดมัน แจกเงินให้น้องหนู ..แหมทำปายด้าย 555 จากสภาพสังคมที่อยู่ดำรงชีพด้วยเงินตรา วิชาศิลธรรมถุกยกเลิก มาฟังเพลงที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของไทยกันครับ จึงเชิญชวนฟังบทเพลงที่คุ้นหู เพียงแต่เป็นบทเพลงสมัยเก่านานมากแล้ว ที่กล่าวชมหญิงสาว ชมความงดงามของสตรีไทยได้น่าฟังยิ่ง แม้ว่าเพลงจะเก่าแต่ในยามที่มีงานประกวดความงามของนางงามของไทยยังคงเอามาเปิดอยู่เสมอจนกลายเป็นสัญญลักษณ์ไปแล้ว โฉมเอย โฉมงาม อร่ามแท้แลตลึง... คงคุ้นกันนะครับ เป็นบทเพลงยุคเก่าของสุนทราภรณ์ ฟังยามใด ยินคราวใด ก็หาเบื่อไม่ เชิญฟังกันได้ครับ นางฟ้าจำแลง นางฟ้าจำแลง -สุนทราภรณ์- โฉมเอย โฉมงาม อร่ามแท้ แลตะลึง ได้เจอ ครั้งหนึ่ง เสน่ห์ซึ้ง ตรึงใจ ครั้งเดียว ได้ชม สมัครภิรมย์ รักใคร่ พัน ผูกใจ ไม่ร้าง รา น้ำคำ ลือเลื่อง ไปทั่วทั้งเมือง นานมา ชมว่าวิไล งามตา ดังเทพธิดา องค์หนึ่ง มาเห็น เต็มตา พลอยพา รำพึง ติดตรึง ชวนให้คนึง อาจินต์ *เห็นเพียง นิดเดียว ให้ซาบเสียว วิญญา ได้ชม โฉมหน้า ดังหยาดฟ้า มาดิน โสภา ท่าทาง ดูช่างสำอางค์ งามสิ้น คำ ที่ยิน ยังน้อยไป หรือว่า ชาติก่อน นางได้รับพร ของใคร คงสร้างผลบุญ ยิ่งใหญ่ จึงได้วิไล งามตา นางฟ้า องค์ใด แปลงกาย ลงมา จึงงาม ดังเทพธิดา ลาวัณย์ *ซ้ำ กิ่งโศก คนยากฝากถ้อย ด้วย............... ฉันท์ห่อโคลง ..อาขยานิกาฉันท์๑๑ ๏ ลำนำ ..พิลาสยิ่งแม่ ..๏ ๏ งามพร้องเยี่ยงรูปพร้อม....... ยิ่งวธู เลอลักษณ์ยิ่งเลิศหรู ............. นักแล้ว สว่างจ่างจิตโฉมตรู ............. มิต่าง กันแม่ ประเสริฐเพริดยิ่งแก้ว.............. นพเก้าพราวไสว ๚ะ๛ ๏ งามเยี่ยงเผดียงย้อง ...... สรพร้องพิจารณ์เอื้อน ชโลมประโคมเปื้อน ............. รสล้วนยะย้าวฆาน ๏ สายเนตรสว่างนิจ ...... นรพิศกระเจิงพล่าน ฤมนตร์ลุสวมมาน............ แลจะดิ่งบ่ติงใด ๏ รอยงามอร่ามแง้ม ..... สิจะแต้มผลิแย้มไต่ ตริน้าวแตะครอบนัย ....... ปรชนกมลซบ ๏ ลืมพิศจริตพร่อง ........ มนร่องแบะผ่องหลบ เสาะกลิ่นประทิ่นพบ........ ภวะท้าวก็ลืมธาร ๏ มิ่งแม่สตรีหมาย ........ วรกายวิไลกาญจน์ หทัยพธูปาน- ............... ดุจเพ็ญพิไลพร่าง ๏ งามรูปสิจูบรู้........... เฉพาะผู้พินิจนาง และลึกตริตรึกตาง ....... มนแก่นสถิตกาล ๚ะ๛ + กิ่งโศก+
นกแล ก็คือนกแก้ว เสียงแจ้วๆ เป็นหยังไดกา... . ท่อนบทเพลงข้างบนนี้ บรรดาผู้คนที่มีอายุ ตั้งแต่สามสิบอัพขึ้นไปคงจะจดจำกันได้ดี เมื่อยุคนั้นมีศิลปินเด็กรวมเป็นวงสตริง โดยแต่งตัวเป็นชุดชาวเหนือหรือชุดชาวเขา เป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเพลงยุคนั้น โดยเฉพาะเพลงที่ข้าพฯเกริ่นไว้ วงศิลปินเด็ก นาม นกแล จึงติดหู ติดใจชาวบ้านกันเรียกว่า ดังระเบิดเลยในปี 2526 นอกจากนี้เพลงที่ติดหูอีกเพลง คือ หนุ่มดอยเต่า . นกแลก็คือนกแก้ว คำนี้คนภาคอื่นก็ไม่ต้องไปเปิดพจนานุกรมที่ไหน เพราะได้อรรถอธิบายอยู่ในตัวข้อความอยู่แล้วเป็นที่เข้าใจได้ง่ายว่านกแลก็คือ นกแก้ว นกแก้วนั้นเป็นสัตว์ปีกที่เคียงคู่อยู่กับมนุษย์มาแต่ไหนแต่ไร เพราะสามารถฝึกให้พูดเป็นภาษาคนได้ โดยการให้ท่องจำในน้ำเสียงของมนุษย์ ที่พูดบ่อยๆๆจนนกแก้วพูดได้ สำเนียงเสียงที่เปล่งออกมา หรือจะเรียกว่าเป็นการเลียนแบบ เลียนเสียงนั่นก็อาจจะเรียกได้ว่า เป็นการเอาคืน ของบรรดาสัตว์ปีกคือเอาคืนจากคน เพราะในสมัยที่มีการยิงนก ตกปลาอย่างอิสระ เวลานักล่านก จะเลียนเสียงแบบนก เพื่อจะหลอกล่อ ให้มาติดกับ หรือใช้อาวุธส่อง . นกแก้ว เราจึงมักจะได้ยินคู่กับนกขุนทอง เพราะสองนกนี้ เลียนเสียงพูดแบบคนได้ อ้อ ยังมีนกเอี้ยง นกหงษ์หยก หรือกา ก็สามารถเลียนเสียงคำพูดของมนุษย์ได้เช่นกัน ส่วนนกแก้วเรามักจะเจออยู่ในกรงขัง จากสภาพการณ์ที่ได้กล่าวมาทั้งหมด บรรดาสัตว์ปีกเหล่านี้ที่เลียนเสียงมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เข้าใจในการสื่อเสียงออกมาว่าหมายถึงอะไร มองในอีกแง่มมุมหนึ่งลักษณะแบบนี้ ใครก็ตามที่ถูกต่อว่า มีแต่พูดจาเป็นนกแก้วนกขุนทอง คือพูดได้แบบท่องๆจำๆ หรือเลียนแบบ แต่มิได้เข้าใจในเนื้อความที่สื่ออกไป จึงเป็นการดูแคลนในสติปัญญาของผู้ที่ถูกกล่าวหา.... . วันนี้อยากหาบทเพลงเกี่ยวกับนกแก้ว มีหลายเพลง แต่ตามสไตล์ปู่ ต้องให้เก่าเข้าไว้ 555 เลยนำเสนอเพลงที่ชื่อว่า แก้วลืมคอน ผู้ขับร้องได้เสียชีวิตไปแล้ว นามครูสมยศ ทัศนพันธุ์ ลองฟังโทนเสียงใหญ่ๆ ต่ำ เย็นๆ แต่ไม่ยะเยือก หุหุ นุ่มหูดีขอรับ เชิญรับชมรับฟัง เพลง แก้วลืมคอน สมยศ ทัศนพันธ์ ขับร้อง/คำร้อง นาง น้องนกแก้วจ๋า เจ้ามาหนีหน้า บินไป อยู่ไหนเล่าเอย ลืม กรงเก่า ของเจ้าที่เคยชื่นเชย ลืมแม้แต่ คนเลี้ยงเจ้าเลย โธ่เอ๋ย มาด่วนจากกัน งาม พร้อมเหนือคำกล่าวชม สุดพานิยม ยั่วอารมณ์ แรงรักใฝ่ฝัน ใครหลงเจ้า แล้วเศร้าทรวงตรม โศกศัลย์ ดังเหมือนเช่น คอนนั้น ทุกวัน ต้องช้ำ ระทม โธ่ เอ๋ย นางนกแก้ว ลืม พี่ แล้ว หรือแก้ว ทูลหัวชื่นชมหวังน้ำบ่อหน้า นึกหรือว่า จะได้สม พลาดไป เจ้าจะระทม ความรื่นรมย์เจ้าจะสูญสิ้น วัน ไหน แม้เจ้าสิ้นคอน โปรดจงหวนจร กลับคอนที่เคยอยู่กิน พี่ยังเฝ้า รักเจ้า ที่เคยถวิล ใจ เพ้ออยู่ อาจินต์ มิสิ้นรักแก้ว เอย... ...ฟังเพลงจากยูทูป ไปก่อง นะครับ.. www.youtube.com/watch?v=kV2keRrATqQ กิ่งโศก คนยาก ฝากถ้อยท้าย ด้วยบทกลอนห่อ.. ๏ .. ถ้อยท้ายไร้สามัญ (... ? ...) .. ๏ ๏ ร่ายโศลกโศกร้อย .......... พิลาป ร่ำแล แทรกลึกสึกแสรกศาป ........... โสตเร้า ไร้จริตโล้ภาพ ............. ลักษณ์เพริด ล่มพรากฟากใต้เถ้า .......... สุดท้ายบรรจถรณ์ ๚ะ๛ ๏ บทโศลกหนึ่งร่ายขานไขรับ- .......... รู้เปล่าดายประดับแดประดัก- ประเดิดเร่าผ่าวหว่างภวังค์วัก- .......... หาอ้อมกอดเกินทักวิบากท้วง ๏ เฉกปักษีต้องศรปักซ้อนเสียบ- .......... อกรานร้าวเกินเทียบจักเหยียบถ่วง- รั้งโทษทัณฑ์บั่นเล็งบ่งเยงล้วง- .......... ลิ่วธนูดีดคว้างทุกท่วงครั้ง- ๏ ตรึงรอยเจ็บตราจิตโดยพิษจอด- .......... เจียรแผลฉายแลลอดแนวขอดหลั่ง- รดมิหายเหือดย้อนเย็นร้อนยั้ง- .......... ยุดยกฉายสะพรั่งเพียงหวังแพร้ว- ๏ พรูทางสื่อท้ายเบื้องปลายเยื้องบาท- ..........บทสำเนียกเพรียกพาดตระหวัดแผ่ว- ดังจังหวะถอยคืนรสขื่นแคล้ว- .......... กระสากลิ่นสอดแถวเรียงแนวทิ้ง ๏ ร่ายโศลก-ลุให้รำไรเห็น- .......... หัวหางเค้นสืบสาวเหตุราวสิ่ง- อัปลักษณ์หรือเพริดล้ำเลิศพริ้ง- .......... พบท้ายผลุดหยุดนิ่งดำดิ่งนั้น ๏ ยังเส้นทางจ่างแจ้งสำแดงจบ- .......... ทั่วทุกผู้รู้หลบจวนพลบหลั่น- ลงเถ้าฟืนฟอนชุมกี่สุมชั้น- .......... ต่ำสูงเลี่ยงเบี่ยงรั้นหรือหันลี้ ๏ ณ จบจุดสุดท้ายบ่ายบรรจถรณ์- .......... สถิตย์ร่วมท่วมก้อนนิวรณ์กี่- ภพลบกรรมก่อขึ้นทุกผืนคลี่- .......... สยายคลายไร้สีรดีซบ ๚ะ๛ + กิ่งโศก + เสียงเพลงไม่สามารถฟังได้เนื่องจากเวปฝากเพลงล่มครับ ภาพทุกภาพ นำมาจากกูเกิ้ลล้วนๆครับ
เบื้องบนลานกว้างอันเกลี้ยงเกลาเสมือนดั่งถูกปัดกวาดให้ดูโล่งโปร่งและสะอาดยิ่งนักประกอบชั่วเวลาพลบค่ำยามนี้ สัมผัสรับรู้ถึงความยะเยือกเย็นหนาวเหน็บของอากาศในเหมันตฤดูเช่นนี้ สายลมที่พัดแผ่วเบายามที่ต้องร่างยังสะท้านสั่นหนาว ณที่เก้าอี้ตัวเก่า วางอยู่มุมหนึ่งในลานบ้านนั้นเป็นเครื่องเรือนสิ่งเดียวสภาพเก่าคร่ำคร่าเพราะผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบันถูกวางรอรับลมหนาวอย่างเดียวดาย ตัวเราคล้ายดั่งดำดิ่งลึกสู่ห้วงอันสงัดของกลางคืน ในคืนนี้ความหนาวเย็นแผ่ซ่านชอนไชเข้าไปใต้เนื้อผ้าหนาที่คลุมร่าง แรกรับรู้ถึงความทรมาน หากแต่จับภาวะแห่งความเย็นจากลมหนาวได้นั้น เรากลับพบผกายคล้ายอบอุ่นและส่องสุกปลั่งอยู่เหนือบนขึ้นไปเลยศรีษะเบื้องฟ้ากว้างในคืนนี้ กลุ่มเมฆเบาบาง แห่งเดือนแรมยามนี้ กลับมองดูสวยงามจับจิตไปอีกแบบ ครั้นได้พิศแลทัศนานั้น ความรู้สึกให้เลือนลืมรสแห่งความเย็นที่กำลังแทรกแยกรานหัวใจ ดวงดอกฟ้าที่พรายระยิบระยับประดับท้องฟ้างดงามเหลือเกิน ใครได้มีเวลาแลคงหลงไหลแห่งแสงกระพริบนั้น เหมือนกำลังให้จังหวะดนตรีทิพย์ หรืออาจคลับคล้ายใครบางคนส่งยิ้มแย้มให้เวลาที่เราเงยสบเนตรกลมโตโดยไม่ขวยเขินเมินอาย อาเสน่ห์อันน่าพิศวงนักเทียว..ท่าน นี่กระมังที่ความงดงามอันทรงค่านี้ มนุษย์จึงได้แวะเวียนหยิบนำมา ยกเยินยอเปรียบเทียบเปรียบเปรยถึง ความโดเด่นแพรวพรายของมนุษย์บางคนว่าสุกสกาวดั่งดวงดาวโดยแท้ เพราะยามใดที่ดวงดาราหรือดาริกายฉายย่อมข่มเดือนเสี้ยวให้มัวหมองได้เช่นกัน ดวงดาวยังได้ผูกโยงความเชื่อของผู้คนบนโลกใบนี้มานมนานนัก ด้วยมีความเชื่อว่า ในทุกๆคนนั้นมีดวงดาวแห่งชีวิตสัมพันธ์อยู่ ดวงดาวมักมีอิทธิพลต่อการดำรงค์ชีพเสมอ หากตกอัพอาภัพโชคยังบ่งถึงว่าเป็นเหมือนดาวพระศุกร์เข้าดาวพระเสาร์แทรก หรือยามเปล่งปลั่งก็เหมือนดั่งดวงดาวที่ทอสุก นักแสดงในโลกมายา ยังเรียกตัวเองว่าดารา ซึ่งการเป็นดาราย่อมมีทั้งคราวตกอับดับแสง หรือคราวสุกสะกาวดุจดาวรุ่ง เช่นกัน ดวงดาวในท้องฟ้าจะมีกี่มากน้อยย่อมเกินกว่าที่ใครๆจะนับจำนวนได้ เวลาพบดาวหางหรือดาวผีพุ่งใต้ ที่ในความเชื่อว่าเป็นดาวที่รอการสิ้นสุดการส่องแสง และพร้อมจะไปจุติอีกภพใหม่ ในจังหวะแสงที่กระจ่างครั้งสุดท้ายพร้อมโค้งลงสู่เบื้องล่างนั้น เหมือนจะเป็นการสิ้นสุดเส้นทางเดินหมดสิ้นแห่งเชื้ออันไสวสว่างแล้ว ผิดกลับดวงดาวใดที่ทอไสวกระพริบ ย่อมเป็นที่สนใจแด่เหล่าผู้ชื่นชมมักมองด้วยจิตเสน่หา แลพร่ำพูดถึงให้รับรู้อยู่เนืองๆ ยามใดที่ข้าพฯทัศนาดวงดาวนอกเหนือจากที่ประสบพบในครรลองจักษุแล้วยังรับรู้อีกอย่าง ว่าชีวิตย่อมคล้ายดวงดาวเช่นกัน นั่นคือ มีช่วงั้โชติช่วงสะกาวพร่างฟ้า และในอีกด้านย่อมจะมีจังหวะร่วงหล่นดับแสงเช่นกัน ในเพลานี้ แม้นจะมีใครหรือไม่มีใครเป็นดาวเด่นหรือดาวดับ กิ่งโศกก็ขอเชิญชวนมาฟังบทเพลงเกี่ยวกับดาว อันแสนจะไพเราะเพราะพริ้งยิ่งนักเลยละครับ นักร้องรุ่นลายคราม คุณลุงสุเทพ วงค์กำแหง ครวญด้วยน้ำเสียงที่เขาว่ากันว่าขยี้ฟองเบียร์ (กิ่งโศก ก็ไม่ทราบว่าเป็นฉันใด 55) ชื่อเพลง ดาว ครับ เพลง ดาว นักร้อง สุเทพ วงค์กำแหง หื่ม..ฮื้ม...ฮืม ฮืม ฮื้อฮือ ฮื้อหื่อ ฮื้อฮื้ม โอ้ ดาว ไร้ราคีคาวช่างงามล้ำค่า ...เย้ยอื่นดาริกา อยากสอยดาวมา แนบใจ ..เฝ้า มอง หัวใจร่ำร้องเพียงมองฝันใฝ่ เฝ้า แต่ ตรมฤทัย หม่นหมองดวงใจ เศร้าซม ..รัก ดาว รัก ดาว ชั้นพรหม ...บุญจึง ไม่สม ต้องขื่นขม ตรม ทรวง ใน ..โอ้ ดาว ขอรักดาวจนชีวันหาไม่ ...ขอ โปรด ดาวเห็นใจ ...ชุบดวงฤทัยพี่ เถิดดาว ดนตรี 8 Bars...6...7... 8..รัก ดาว รัก ดาว ชั้นพรหม บุญจึง ไม่สม ต้องขื่นขม ตรม ทรวงใน ..โอ้ ดาว ขอรักดาวจนชีวันหาไม่ ...ขอโปรดดาวเห็นใจ ...ชุบดวงฤทัยพี่ เถิดดาว ..หื่ม ฮื้ม ฮืม ฮืม ฮื้อฮือ ฮื้อหื่อ ฮื้อฮื้ม กิ่งโศกคนยาก ฝากถ้อยร้อยบท...กาพย์ห่อโคลง.. ๏ กลางสกลสกาว ............ ดื่นแสงดาวเบื้องหาวเด่น บ้างเรียวโค้งลงเบน ........ ดับหรี่ร่วงจากสรวงลา ๚ะ๛ ๏ สกลกลางเกลื่อนย้อม ....... สกาว ฟ้าเฮย แลเด่นเร้นแดราว.............. ด่ำไล้ โชติรุ้งฮุ่งเฮืองหาว ............. ฮู้ห่ม หุ้มห่อทอเคล้าไคล้.............. คลี่ถ้วนล้วนผืน ๚ะ ๏ ค่ำคืนดูตื่นคล้าย...............หฤหรรษ์ กระพริบเฟื่องเปรื่องฝัน........ ปลั่งฟ้า แจ่มพรมข่มพรายจันทร์........ พรูจ่าง ทอขับจับโลมหล้า ............... เรื่อล้นเด่นเหลือ ๚ะ ๏ ผกายเรื่อเชื้อหรี่............... ดับแสง ดาวบิ่นดำสำแดง ............... บอดสร้อย ชีพระยิบมิแยง ............... หมดย่ำ มอดหยดหมดสิ้นย้อย .......... สบย้อนยอดิน ๚ะ ๏ ดาวขีนดวงขบด้วย ............ ลิขิต ไพล่มิพรากรมพิษ ......... พัดรื้อ ชะตาประเดียงปิด ........ โดยปลอด ล่วงเฮย ดำปรกยกย้ายยื้อ ....... ยากป้องคุ้มเศียร ๚ะ ๏ เล่าเขียนลิขิตร้อง ........ คำเรียง สื่อมิเหน็บแนมเสียง ...... เสียดผู้- ห้อมใดหากจักเผดียง ...... แจงดนุ นี้นอ จักด่อมแลค้อมคู้ ..... นบน้อมไหว้สา ๚ะ๛ + กิ่งโศก +