27 กันยายน 2551 12:50 น.
กิ่งโศก
สิ้นทิวา..กา-ศกุน ก่นกู่ก้อง
เสียงแซร่ซ้อง ร้องอาลัย ให้ พ่อ"สิน"
ณ.ริมธาร โคกขาม ลำสีนิล
ลานตัดสิน บั่นเศียร สัจจะชน
ก่อนดาบคม จมคอ พ่อจ้องเจ้า
นวลนงเยาว์ เฉลาแม่ ..แลฉงน
หาร่ำไห้ ได้เพียงหลั่ง อัสสุชน
นางจอมคน ชลนัยน์ ไหลเป็นทาง
น้ำเนตรริน ไหลแต้ม ต้องแสงไต้
วะวาบไหว ประกายล้อ แก้มสล้าง
วะวาบวับ ดาบเงา เร้าสรรพางค์
สลับย่าง เพชฌฆาต วาดวิญญาณ
เพียงหัวหลุด ใจร่วง สู่สรวงแล้ว
มณีแก้ว จากไกล กัลปาวสาน
แม้นภพใด ชาติใด ได้พบพาน
อธิษฐาน ผ่านผืน ลำนที
อ้า.....มาเยือน เตือนย้ำ คำอดีต
จึงตั้งจิต วอนแด่ แม่นวลศรี
ทุกข์เทวษ แห่งรัก ถมทวี
ให้หายหนี ลี้ลับ จากลูกเทอญ
...................................................................
ตอนปลายปีที่แล้ว กิ่งโศก มีโอกาส พาใครคนหนึ่ง ไปสักการะ ศาลพันท้ายนรสิงห์ และ ศาลแม่ศรีนวล ที่สมุทรสาคร
พร้อม คำอธิษฐาน..
แต่มันเป็นอดีตไปแล้ว..ฮือๆๆ ..
และวันนี้ ได้ฟังเพลงน้ำตาแสงไต้ ...คิดถึงจัง
17 กันยายน 2551 22:10 น.
กิ่งโศก
ณ..มุมหนึ่ง กระท่อมน้อย ในไพรวัลย์
บางใครนั้น นั่งเหม่อ แลเผลอไผล
ภวังค์จม ลมหวน อดีตไกล
ม่านมัวใจ ขุ่นครั่ง ดั่งโคลนเลน
เม็ดฝนโปรย โรยร่วง ดุจคนร่ำ
พร่างพรูพรำ ร่ำไห้ เป็นสายเส้น
พิโรธหรือ จึ่งร่ำไห้ เช้าจรดเย็น
ฤาอาลัย ใครเซ่น เป็นบัดพลี
ริ้วพิรุณ หลั่งริน ยินเสนาะ
เสียงแปะเปาะ เคาะดัง ดั่งพิณสี
หทัยเต้น เร้นรื่น มโหรี
ด่ำฤดี คีตา แห่งพิรุณ
ขอหยาดเย็น รดรอย ร้าวรานจิต
ขอหยาดเย็น ลบพิษ จิตแค้นขุ่น
ขอหยาดเย็น ย้อมร้อนรัก ที่กักตุน
ขอหยาดเย็น ลบอาดูร ที่ค้างคา
หยดสุดท้าย สายฝน หมดเมื่อไหร่
เคล้าคละไป ไล้แก้ม แตะแต้มหน้า
กลบแสงเศร้า กลบโศก กลบน้ำตา
โอ้ฟ้าจ๋า ข้ารอ ขอหมดธาร
หมายเหตุ.. วัสสานฤดู คือฤดูฝน คนชอบจำผิด ว่าฤดูฝน คือ วสันตฤดู (ฤดูใบไม้ผลิ)
...เห็นฝนตกทุกวัน จนข้าพเจ้าไปทำงานสายบ่อยแล้ว...ตกได้ตกดี
11 กันยายน 2551 21:31 น.
กิ่งโศก
จำใจก้าว เท้าจาก ด้วยใจเจ็บ
ด้วยหนาวเหน็บ เนื้อคำ กระหน่ำโหม
ยากจะทน ท้นท่วม อ่วมทรุดโทรม
แรงถาโถม ถมจม จำจากลา
หาได้ใช่ ใคร่คิด ทรยศ
หาใช่ปด เพื่อปัด แห่งโทษา
หาใช่เรียก ร้องกระเฌอ เพ้อเมตตา
หาใช่ร้อง เพรียกหา ความเห็นใจ
หูไม่หนวก ตาไม่บอด เห็นสดับ
ทุกสิ่งรับ ทราบด้วยจิต เพียงคิดได้
ทุกอย่างเห็น เช่นเธอบอก ตอกย้ำใย
ทุกอย่างเป็น เช่นใคร บอกกล่าวมา
ขอทนเจ็บ เหน็บร้าว หนาวสะท้าน
แม้ซมซาน ซ่านซม ระทมล้า
ขอหยัดยืน ฝืนทน ต่อชะตา
เพียงบากหน้า สู้คน ชนทั้งมวล
จะเจ็บร้าว เท่าฟ้า ผ่าฉีกแบ่ง
คงตะแคง แรงยืน หัวเราะร่วน
เพราะไม่ปวด ไม่เจ็บ ไม่เซซวน
เพราะเจ็บเกิน กว่าล้วน เจ็บใดใด
7 กันยายน 2551 08:28 น.
กิ่งโศก
รอยรูปอินทร์ หยาดฟ้า มาสร้างสรร
ดั่งคนธรรพ์ สรรค์เสก พระลอศรี
งามระบือ ลือไกล ในปฐพี
พระเพื่อน- แพง น้องพี่ ลุ่มหลงรอย
พระลอพลัน สดับ เสียงซอเร้า
พระเพื่อนแพง สองนงเยาว์ ปานฟ้าสร้อย
งามเกินใด ทั่วทิศา ธิดาดอย
อีกโดนถ้อย มนตรา ปู่สมิงพราย..
ดำเนินตาม ไก่แจ้ ที่แท้หลอก
เสน่ห์ดำ อำพอก ให้หมองหมาย
"แม่กาหลง" เตือนอาเภท เหตุความตาย
พระลอคล้าย ลืมองค์ ด้วยภวังค์
ได้ประสบ พบพักตร์ นงลักษณ์"สรอง"
พระเพื่อน พระแพงต้อง มนต์รักขลัง
รักแห่งสาม สู่สม ลมประดัง
สุขสมหวัง ดังจินตน์ ถวิลปอง
พระแม่ย่า เมืองสรอง แสนพิโรธ
ธนูโหด ฆ่าพระลอ ผู้จองหอง
พระเพื่อน-แพง แรงแห่งรัก จึงคุ้มครอง
กางกรป้อง โอบรัด สวามี
ธนูแค้น ปักแน่นองค์ พระทั้งสาม
กอดองค์ตาม ร่วมตาย ยืนกับที่
อา..รักใด เกินแท้ สองดรุณี
สดุดี ศรีพระนาม พระเพื่อน แพง
เรารักเดียว ยังดับ ถึงเพียงนี้
สุดภักดี แดนาง สวรรค์แกล้ง
ให้พรากรัก เช่นพระลอ พระเพื่อนแพง
เหมือนกับแบ่ง ห่างหาย...ใจระทม
๑๑๑๑
วรรณคดีเรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดแพร่ ซึ่งเป็นจังหวัดในภาคเหนือของไทย ท้าวแมนสรวงเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองแมนสรวง พระองค์มีพระมเหสีทรง พระนามว่า นาฏบุญเหลือ ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสพระนามว่า พระลอดิลกราช หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆว่า พระลอ กิตติศัพท์ว่าพระองค์เป็นหนุ่มรูปงามเลื่องลือไปทั่วสารทิศจนไปถึงเมืองสรอง ( อ่านว่า เมืองสอง ) ซึ่งเป็นเมืองที่ปกครองโดยท้าวพิชัยวิษณุกร พระองค์มีพระนามว่า พรดาราวดี และทั้งสองพระองค์มีพระธิดาผู้เลอโฉมถึงสองพระองค์พระนามว่า พระเพื่อน และ พระแพง
"แม่กาหลง" เป็นแม่น้ำ ที่พระลอ สาบาน ริมฝั่งริมน้ำกาหลง ..แม่น้ำไหลวนเป็นสีเลือด แต่พระลอ ยังตามนางต่อ
๑๑๑๑๑๑
4 กันยายน 2551 13:43 น.
กิ่งโศก
@สู่แว่นแคว้น แดนดิน ถิ่นเมืองเพชร
จำจรจาก ฝากใจ ให้สมเจตน์
ล่องสู่เขต รักษา ใจที่ตรม..
@ ลาบางนา ข้ามน้ำ ลำนที
เจ้าพระยา สายนี้ มีชื่นขม
ไม่เคยทวน ลำธารา มุ่งไหลจม
สู่ทะเล เค็มขม ..เจ้าพระยา
ฝากไปด้วย ได้ไหม สายน้ำนี้
เอาโศกี ลอยจากไกล ใจของข้า
เอาความขื่น เข็ดขม ตรมอุรา
ไหลไกลตา จมสู่ ก้นทะเล
@ แล้วมุ่งหน้า พระรามสอง ครรลองทาง
แม้เวิ้งว้าง ยังมุ่ง ไม่หันเห
มหาชัย เมืองใหม่ ชายทะเล
ความหลังเท ถาโถม ..ถวิลครวญ
อาลัยหา ณ.พันท้าย นรสิงห์
ที่เรานิ่ง นั่งคุย หัวเราะร่วน
สักการะะ ขอพร ..แม่ศรีนวล
ขอไมตรี นี้ชวน ให้ยาวไกล
อาไมตรี นี้สิ แสนสั้นนัก
กลับมาหัก สบั้น หั่นหมองไหม้
ปิดฟ้ากั้น กันห่าง แห่งหัวใจ
หนีลับไป ไม่เห็น เช่นเหมือนเดิม
แม้ปวดใจ ยังได้แวะ ไปหามิตร
เติมชีวิต ให้ชุ่ม พลังเสริม
โบกมือลา มิตรแท้ เที่ยงเหมือนเดิม
ขอไปเพิ่ม พลัง เพชรธานินทร์
@ ถึงเขาย้อย ปากด่าน เพชรบุรี
ใจของพี่ สิลาโรย โหยถวิล
บอกเขาย้อย ช่วยเย้า ใจยุพิน
ให้มลาย หายสิ้น ความโกธา
อภัยเถิด นะใจ ของน้องพี่
พี่ทราบดี พี่ผิด ที่หนีหน้า
หากจะแช่ง สาบพี่ เชิญแก้วตา
หากชาติหน้า มีจริง คงเจอกัน
@ จากเขาย้อย ผ่านเขาวัง ความหลังผุด
ด้วยน้องนุช อยากมา เขาวังนั้น
หวังชวนชม คีรีวัง ในไพรวัลย์
แต่ความฝัน นั้นหาย มลายลง
จำก้มหน้า แอบร่ำ น้ำตาซึม
ด้วยไม่ลืม ความหลัง ยังสาบส่ง
เกาะกุมกิน แทะแกะ ให้มึนงง
จำต้องปลง แบกหน้า สืบต่อไป
@ เยือนชะอำ คำลวง ที่คอยแทรก
ชะอำคำ ชำแรก ให้แตกได้
รักดีดี กลับแตกดับ ป่นทันใด
โอ ชะอำ ทำให้ ฉันกลัวเกรง
แต่คงเป็น เช่นคำ แค่กล่าวอ้าง
ใจอ้างว้าง สั่งกาย ให้เข้มเคร่ง
กลัวไปใย แค่ยับ หายันเยง
ไม่กลัวเกรง เจ็บช้ำ ระกำทรวง
ย่ำผืนทราย สีขาว ริมชายหาด
พบรอยพาด ปาดทิวน้ำ เป็นห้วงห้วง
หวนแต่คิด ถึงน้อง สุดาดวง
ใจพี่ล่วง ยืนนิ่ง บนผืนทราย
พบรอยเท้า บางใคร ประทับเด่น
ประสบเห็น เช่นรอย แม่โฉมฉาย
มือลูบแตะ รอยเท้า อกระบาย
ด้วยเพราะกาย ใจคิด หวนพะวง
..ลาก่อนนะ เจ้ารอย ที่คอยย้ำ
..ลาก่อนนะ ผืนน้ำ อานิสงค์
..ลาก่อนนะ เม็ดทราย คล้ายอนงค์
..ลาก่อนนะ ชะอำดง แห่งอาวรณ์
@ มุ่งหน้าไป ด้วยใจเจ็บ สู่หัวหิน
ใจโบยบิน เหิรลอย ลับสิงขร
อยากสลัก รักคำ ที่พร่ำวอน
แปะสิงขร ประกาศไว้ ให้คนลือ
จากลาก่อน หัวหิน ศิลาแข็ง
ใจฉันแล้ง แห้งโรย ยากจะถือ
อำลาก่อน สาวงาม ผู้คนลือ
ฉันคนซื่อ มิอาจ เสนอตน
๑ มุ่งตรงไป ไหว้พระ หลวงพ่อทวด
ความร้าวรวด ปวดใจ ให้หลุดพ้น
สาธุท่าน บันดาล แลบันดล
ให้ไกลพ้น ไปที รักลวงลวง
๑ แลขากลับ แวะซื้อ แต่ของฝาก
จำใจจาก เมืองเพชร แดนถิ่นสรวง
รสหม้อแกง อร่อยลิ้น รสไม่ลวง
ประทับทรวง ไม่ลืมสิ้น ...หัวหิน..เอย.
...เมื่อต้นเดือน สิงหาคม..กิ่งโศก..พาตัวเองไปแบบเรื่อยเปื่อย..จนถึง ชะอำหัว หิน..อืม เพิ่งรู้ว่า มีอะไร น่าพิสมัย อีกเยอะ..ในโลกใบนี้