๏ สิ้นเสียงทิพย์สะท้อน ไตรภพมนตร์กฤติยากลบ กรุ่นถ้วนสามโลกแน่นิ่งซบ สถิตย์แน่นสะกดเกลื่อนเคลื่อนล้วน สดับทิ้งอิริยา๏ ปักษาชาติแห่งเชื้อ สายสวรรค์เจ้าขับเจ้าขานขัน พิเราะเพี้ยงวาทกะเอกสุวรรณ ทิพยะ สร้างเฮยจึงกล่อมสรรพชาติเกลี้ยง หยุดก้าวพร้อมกัน๏ เทพปักษีว่ายฟ้า จันทร์เริง เล่นแฮแลแค่เงาเถกิง ร่างรู้เสพลมห่มเมฆเถิง เวหาสเห็นแค่หางสู่ผู้ ผ่านให้โดยบุญ๏ ดุจตัวแทนเทวะท้าว คีตศิลป์เพียงลำดับจับยิน ยุดยั้งทารกผกชีวิน ยอหยุด คลอดนาเพชฆาตรดาบค้างตั้ง นิ่งเงื้อรอประหาร๏ กาลกล่าวเล่าย้อนเทพ ปกีรณัมอภินิหารสัม- ปยุตพร้อม-ก่อยอชาติย้ำกำ- เนิดศักดิ์ ยศนาภาระเทพย่อมล้อม บรรญัติด้วยบทสวรรค์๏ ศานติเถิดชาวโลกสิ้น กำสรวลประดิษฐ์ทำนองชวน รื่นซร้องครื้นเครงบทเพลงอวล เอิบอิ่ม เร้าเนอร่ำสุขสนุกร้อง เสกสร้อยมโหรี ๚ะ๛+ กิ่งโศก+๕ มิถุนายน ๒๕๕๖๐ " นกฟ้ากำลังร้องเพลง เล่นแสงเดือน""คนเห็นมันแต่เงา คนได้ยินมันแต่เสียง ไม่มีใครรู้แหล่งที่อยู่ ไม่มีใครได้สัมผัสแม้แต่โคนหางแต่คงมีสักโอกาสหนึ่งที่วิหคฟ้าผละแดนสวรรค์ลงมาเกลือกเล่นธุลีดินวันนั้นย่อมเป็นวันปีติโสมนัสของพสุธา"ข้าพฯเจ้า กำลังนึกบทสนทนา ระหว่างกระเหรี่ยงไพร (แงซาย) กับจอมพราน (ระพินทร์)...บนเทือกเขาสูงอันหนาวเหน็บ..หากแม้นวิหกฟ้านั้นมีจริงชาวดินเยี่ยงเรา ฤาจักมีวาสนาได้เห็นไหมหนอ..
๏ สำเนียงเสียงเสนาะก้อง กังวาน พฤกษ์เฮยสำทับถี่นี้เนื่องนาน "นกหว้า"เพรียกเรียกคู่กู่ขาน คอโก่งฤอัตคัดคู่ค้า ชิดเคล้าแนบเขนย๏ จักเผยเปรยเล่าร้อย เรียงหลังเช้าเกลี่ยลานเกลี้ยงรัง สะอาดแล้วใบไม้เศษหล่นบัง ปากคาบ ทิ้งนาลานจึ่งพึงผ่องแผ้ว พิศล้วนเรือนหวง๏ ลานผูกปลูกสเน่ห์ล้อม คู่เรียงนางนกตกปลงเคียง แนบเคล้าลานรักประจักเพียง รังสวาทสมสู่ชู้เอินเย้า หยอกเพี้ยงสิเน่หา๏ ลานสลดกำสรดด้วย หวงลานอิริยารู้พราน ทุกผู้หลาวปักที่โปรดปราณ แปรชีพคมไผ่บางเบารู้ ประพฤติเจ้าของเรือน๏ เบื้องนั้นพลันนกผู้ เล็งเห็นหลาวเกะกะกลางเป็น ปักชี้โทสะจิกกระเซ็น กระชากปีกตะปบขบขยี้ บาดเข้าโทรมแผล๏ แลหลาวปักแน่นด้วย ทักษะชนสิ้นท่าพามืดมน หมดสิ้นศอม้วนมัดรัดวน แรงตวัด ดึงนาฆาตปลิดชีวิตดิ้น ดับด้วยลานตน ๚ะ๛+ กิ่งโศก+๓ มิถุนายน ๒๕๕๖๐ เรื่องราวอันหวาดเสียวนี้ ข้าพเจ้า พบในหนังสือนวนิยาย เรื่องเพชรพระอุมา โดยกล่าวถึงพฤติกรรมของ"นกหว้า""คล้ายนกยูงแต่ขนมีน้ำตาลไม่เขียวเหมือนนกยูง รำแพนได้สวยกว่านกยูง ป่าไหนมีนกหว้าแปลว่าเป็นป่าลึก เวลาร้องจะร้องโหยหวลนกหว้าตัวผู้มักจะทำลานไว้สำหรับรำแพนเรียกตัวเมีย เรียกลานนกหว้า มันจะใช้ปีกกวาดจนลานสะอาดไม่ยอมให้แม้ใบไม้สักใบตกลงมาพรานป่าทุกคน เมื่อพบลานรำแพนของนกหว้า ถ้าเขาต้องการจะได้ตัวมัน เขามีวิธีจะเอาตัวมันได้โดยไม่จำเป็นจะทำบ่วงแร้วดัก หรือเสียลูกปืนโดยอาศัยสัญชาติญาณรักษาความสะอาดลานของมันนี่แหละเป็นเครื่องฆ่าตัวมันเองตอนนี้หวาดเสียวมาก..(คนยังจะกินนกอีกนิ)"คือเขาจะเอาไม้ไผ่ยาวสักสองสามคืบมาหลาว วิธีหลาวก็หลาวเฉพาะครึ่งหนึ่งของไม้ไผ่นั้น ให้บางและคมราวกับใบมีดทั้งสองคมขนาดกว้างประมาณหนึ่งเซนติเมตรส่วนอีกครึ่งไม่ต้องหลาว เอาด้านที่ไม่ได้หลาวย่องไปปักแน่นไว้กลางลาน ในเวลาที่มันออกไปหากินห่างจากลานโดยให้ใบอันหลาวไว้อย่างคมกริบนั้นโผล่พื้นดินขึ้นมาราวคืบกว่าๆพอมันกลับมาถึงลาน เห็นไม้ไผ่ระเกะระกะลูกตาอยู่กลางลานอันแสนหวงแหนของมันเช่นนั้น มันก็หาวิธีเขี่ยออกมาให้พ้น แต่ไม้ไผ่อันนั้นปักแน่นเกินกว่าที่มันจะจิกหรือคุ้ยให้ออกไปได้ ในที่สุดมันก็จะใช้ลำคอยาวของมันพันเข้ากับไม้ไผ่อันคมกริบนั้น เอาเท้ายันพื้นแล้วกระชากถอนขึ้นโดยแรงเพื่อจะให้หลุดตามประสาของมัน"......ฮือๆๆๆ โหดร้ายจังมนุษย์...ปล.ทำไมเม้นไม่ได้ละครับนี่....ใส่พาสเวิด อีเมล ก้อแล้ว เม้นมิได้ขอรับ
๏ เหมือนตกฟากประจักนำโดยกำหนดกำเนิดดวงรันทดยิ่งถดถอยพระศุกร์เข้าพระเสาร์ล่มระทมลอยชะตาซ้ำด้ำพลอยคล้ายลอยแพ ๚ะ๛๏ ตกฟากวิบากพื้น........กำหนดเลขทุรธึกทด ...................ทับแจ้งเงาอัปลักษณ์จักจรด .........เจียดจับ ร่างเนอภูตภาคถากแถแสร้ง .........กำเนิดเชื้อทุรชน๏ หนก่อนบาปเก่ากล้ำ ....บุญเดิมต่อต่ำย่ำเตี้ยเติม ............ ตกใต้สกนธ์เกลือกกลั้วเสริม......แทรกก่อออ-ปริยีเย้ยไซร้ ..............สำทับถ้วมเทินหัว๏ รั้วบ้านรานแบะร้าว ...ล่มเมืองใต้บาทอสูรเนือง- ...........แน่นห้อมเปรตตะปบขบเฟือง ....... ฝังแผ่น- ดินนาฉีกละเลงเขย่งล้อม ........ ปลิ้นปล้อนตาถลน๏ ไฟพะเนียงเสี่ยงชิ้น ....กระเซ็นกาลกิณีเล็งเห็น .............ฮึ่มฮ้องสิ้นศักดิ์เสื่อมกระเด็น ..... ดารดาษ ดื่นเฮยคืนค่ำคาดชาดคล้อง...... แสยะเขี้ยวเคี้ยวกิน๏ แผ่นดินสิ้นดับด้วย ... เดียรถีย์นรชาติชนอัปรีย์ .............เถื่อนถ้วนเหลิงโดยโลดฤทธี ........ ลุบ่อน ทำลายเนอเนรคุณดินล้วน ............. พินาศแล้วอบาย๏ อัปลักษณ์รูปแล้ว..... พอทนขุนกลับงับหางตน .........แตกหวิ้นสั่งไพร่โห่แหนพล ........ ขู่ข่มไฟจ่อรอสั่งสิ้น ............ ซุกเชื้อ-ย่างเมือง๏ ดวงเมืองหรี่มอดแล้ว .... เมลืองโรจน์มารขบข่มคว่ำโชติ ...... ดับซ้ำกาลกิณีโฉด............... ชั่วยิ่ง เยงนาโลหิตฉานนองน้ำ ........ ท่วมพื้นนาคร๏ เหิมแหวกฟ้าข่มพื้น ...ปัถพีบังอาจวาดป้ายสี ....... ใส่ใคร้บ่เจียมชาติทรพี ........ พองศักดิ์ตัวต่ำนรกใต้ ............. เทียบฟ้าได้ฤา๏ ประณตกรกราบไหว้..... ภาวนาเทวะเทพรักษา .......... ช่วยฟื้นป้องปกปักประชา ..... พสก ถ้วนนอขจัดปัดภัยปื้น ......... ครอบเข้าถือครอง ๚ะ๛+ กิ่งโศก +๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖
๏กล่าวซึ่งกึ่งสากระสือ
เห็นลือฮือลั่นหันเหล่
ครั้นเนิ่นเขินนับขับเน-
-ติเหเตร่ให้ไต่ฮาม ๚ะ๛
๏กระสือสื่อพร้องเยี่ยง เพียงหญิง
พิงอยู่สู่แนบสิง นิ่งซ้อน
นอนซุกลุกไหวติง วิ่งต่าง
วางติดจิตสะท้อน ซ่อนทั้งร่างเดียว
๏ เรืองเขียวเปลววาบฟุ้ง วุ้งฝาย
ว่ายฝ่าหาพลิกหงาย ผ่ายแง้ม
แพลมงับจับสัตว์ปลาย ใส่ปาก
ซากเปล่าคาวเปรอะแต้ม ประแหล่มต้องชิวหา
๏ชะหิวริ้วตับไส้ ไตซาก
ตากซ่อนร่อนเทียวลาก ถาก-ลิ้ม
ทิ่ม-รกจกกระชาก กากเสพ
เก็บเศษเช็ดเปื้อนยิ้ม ปริ่มย้อมแสยะหยัน
๏ยังเล่ากล่าวฝากไว้ ใฝ่หวาด
ฝาดว่าฆ่าพิฆาต พาธเข้า
เผาขุดกุดมิขาด มาตรฆ่า
มาขุกทุกข์ปิ่มเศร้า เปล่าสิ้นตาย
๏สายตกผกผ่านเข้า เผาคอย
ผล็อยคว่ำค่ำคืนถอย ค่อยทึ้ง
ขึงทอดกอดลูกพลอย รอยพล่าน
รานพ่ายป่ายผ่าวอึ้ง พึ่งอ้อมอกมารดา
๏อาโดยโชยผ่านเชื้อ เพื่อสาย
พรายสืบหนืบน้ำลาย หน่ายล้อ
หน่อหลุดผลุดเหล่าพราย หลายเพาะ
เลาะผ่านขานต่อข้อ ต่อข้างสืบพันธุ์ ๚ะ๛
+ กิ่งโศก +
๏ ยุคกระเบื้องลอยนองฟูฟ่องน้ำ
ฟ่องเหนือห่าสาระยำย่ำแสยง
สยายมือมืดดำเดชสำแดง
สำเดชอวดกำแหงผ่าแล่งเฮือน ๚ะ๛
๏ ยุคกระเบื้องบุบเบี้ยว ฟูลอยฟูล่องฟ่องพรายฝอย ผิดเพี้ยน
ผิดพร้องผิว์เช่นพลอย ดีพ่าย
ดีพราก-ลากแหล่งเหี้ยน หดเร้นหลบหัว
๏ หลบหายพ่ายเหล่าผู้ แสยะ สยองนาสยบกลบกัดแซะ ฉีกดิ้น
ฉีกดุจกุดลูกแกะ งอก่อง
งอก่อระย่อสิ้น ซบก้มโน้มคอ
๏ โน้มคราวน้าวข้อนั่น บ่งนัยบ่งเนื่องเบื้องสมัย เปลี่ยนหน้า
เปลี่ยนน้ำถ่ายเนื้อไถ เถือแก่น
เถือแกว่งกานบั่นอ้า บากเอื้อมบ่ถึง
๏ บ่ทานต้านทัพฮ้อง โหมฮือโหมหักปรักแปฤา ขื่อบ้าน
ขื่อบนล่างร้างหรือ จึงข่ม
จึงคร่าพร่าทุกด้าน ดะเข้าระดม
๏ ระด่าวร้าวรุกด้วย ทุรชนทุรชาติเชื้อฉล อสุเรศร้าย
อสุระล่อรานจน ป่นแหลก
ป่นร่วงป่วงบิดใบ้ บดสิ้นสรรพสา
๏ สรรพสิ้นวิ่นแหว่งแล้ว เลี่ยงรูปเลี่ยงร่างก้างแกล้งซูบ กร่อนเชื้อ
กร่อนส่อก่อสุมสูบ เฉาเหี่ยว
เฉาห่อนซ่อนสายเอื้อ หน่ายโอ้อาดูร
๏ อาดั่งจักวักฟ้า พลิกดินพลิกดะระนาบติณ แหลกตั้ง
แหลกต้องต่างพังภินท์ พินาศ แน่เนอ
พินิจจิตยอยั้ง บ่ยื้อถือยัน ๚ะ๛
+ กิ่งโศก +
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖