18 ธันวาคม 2546 15:28 น.
กิรตา
เวลาเดินผ่านเราไปเรื่อยๆ ตลอดเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ฉันเดินไปข้างหน้าเคียงคู่กับเวลาที่เดินผ่านไปแต่ในขณะที่เวลาไม่เคยหลับ ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยหยุด ฉันกลับหลับบ้างในบางครั้ง เหนื่อยบ้างในบางเวลา และบางทีก็หยุดและปล่อยให้เวลาผ่านเลยไป ฉันเดินมาได้ไกลขนาดไหนแล้วใครจะตอบได้ และอีกแค่ไหนจึงจะถึงจุดหมายยิ่งไม่มีใครรู้ เราไม่รู้หรอกว่าจุดหมายมันอยู่ใกล้ไกลแค่ไหน เพราะเราไม่เคยล่วงรู้อนาคต แต่เราก็พอจะรู้ได้ว่าจุดหมายของเรามีแนวโน้มจะออกมาในรูปแบบใด จากผลของการกระทำในอดีต และปัจจุบันแต่มันก็อยู่ในเงื่อนไขที่ว่าไม่มีอุบัติเหตุระหว่างเดินทางด้วย เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วแน่นอนอนาคตอาจจะเป็นไปในทางที่เราไม่คาดคิด อาจจะดีหรือเลวร้ายกว่าที่ควรจะเป็น แต่ยังไงก็ตามไม่ว่ามันจะดีหรือเลว วันหนึ่งอนาคตข้างหน้าก็จะกลายมาเป็นปัจจุบันและไม่นานมันก็เพียงแค่ความทรงจำที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของอดีตไป..วันนี้ฉันรู้สึกว่าชีวิตทำอะไรบางสิ่งบางอย่างตกหล่นไป นับแต่วันนั้นวันที่ฉันค้นพบว่าโลกแห่งความฝันที่ฉันเคยเชื่อว่ามีอยู่จริงได้พังทลายลงจากการพบเจอกับความจริงที่โหดร้ายชีวิตทุกชีวิตมิได้กำหนดให้เป็นไปอย่างที่ตนต้องการได้เสมอไป..ฉันไม่เคยคิดเลยว่าในดินแดนแห่งภูผา ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา และอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไม้ จะเป็นสถานที่ที่เก็บซ่อนคนที่ยากเข็น แร้นแค้น ผู้ไม่เคยได้พบกับความอิ่มจากการกินอาหาร ไม่เคยพบความอบอุ่นจากเครื่องนุ่งห่ม ไม่เคยพบแสงสว่างจากไฟฟ้าซึ่งบางครอบครัวมีเพียงเด็กอาศัยกันเองตามลำพัง บางครอบครัวมีเพียงคนแก่ชรา..ในสถานที่ที่งดงามพวกเขากลับไม่รู้สึกสดใสกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ มันจะมีประโยชน์อะไรหากอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้ที่สวยงาม และอากาศที่บริสุทธิ์ แต่เต็มไปด้วยความหนาวเย็นที่ไม่มีเครื่องนุ่งห่มให้ความอบอุ่น ไม่มีอาหารเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย..นับจากวันที่ฉันได้พบเจอกับพวกเขาเหล่านั้น ชีวิตที่เคยเต็มไปด้วยความสดใส ร่าเริง ของฉันได้พบเจอกับความรู้สึกใหม่ ความรู้สึกเศร้าหมอง หดหู่ ..แม้วันนั้นมันจะผ่านมาเนิ่นนานแล้วแต่ฉันก็คงยังรู้สึกว่า ภาพเด็กหน้าตามอมแมม ที่หิวโซ และคนแก่ที่เจ็บป่วยยังคงอยู่ในความทรงจำของฉัน อะไรเหรอที่ฉันทำหล่นหายไประหว่างที่ฉันพบเจอกับพวกเขาอะไรบางอย่าง ที่ฉันเองก็นึกไม่ออก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้วันนี้ฉันไม่ใช่คนที่มองโลกงดงามเต็มไปด้วยความฝัน และจินตนาการอีกแล้ว..ฉันกลายเป็นคนที่มองโลกเป็นการแข่งขัน ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตนต้องการ ความเย็นชาค่อยๆ กัดกินหัวใจฉันทีละเล็กทีละน้อย ความรู้สึกเพลิดเพลินกับความสวยงามของสายน้ำ และผืนฟ้า ค่อยๆ จางไป จนฉันเริ่มสงสัยว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการที่แท้จริงกันแน่วันนี้พวกเขา ผู้อาศัยอยู่ตามซอกหลืบของสังคม ผู้อาศัยในมุมมืดต่างๆ จะเป็นเช่นไรบ้าง หัวใจของเขาจะเย็นชาเหมือนฉันไหม เขามองโลกนี้เป็นยังไง และเขาเคยมีความฝันบ้างหรือเปล่า เขาจะกล้าคิดฝันอะไรได้บ้างมั้ย หรือชีวิตเต็มไปด้วยความหวาดผวา ความตระหนก และความหิวโหย.และแล้วในวันนี้ระหว่างที่ฉันนั่งดูพระอาทิตย์ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของท้องทะเล สีแดงอมส้มของพระอาทิตย์ช่างสวยงาม มันค่อยๆ จมหายไปอย่างช้าๆ และในที่สุดพระอาทิตย์ดวงโตก็จมดิ่งลงทะเล หรือชีวิตคนพวกนั้นจะเป็นเช่นดวงอาทิตย์นี่ล่ะหรือ ค่อยๆ หมดแสงลง และในที่สุดก็จมหายไปในทะเล ..แต่ทว่าในวันพรุ่งนี้พระอาทิตย์ดวงเดียวกันนี้ก็จะค่อยๆ โผล่ขึ้นมาพร้อมกับการเริ่มต้นของวันใหม่ และชีวิตทุกชีวิตจะดำเนินต่อไป ใช่แล้ว ฉันนึกออกแล้วความฝันของฉันนั่นเองที่ฉันทำหายไป นับแต่วันที่ฉันคิดว่าโลกแห่งความฝันกับความจริงไม่อาจร่วมทางกันได้แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วเราสามารถมีชีวิตต่อไปได้แม้ในยามที่ตกต่ำที่สุด หรือย่ำแย่ที่สุด ก็เพราะเรายังมีความฝัน มันเป็นความหวังที่ทำให้คนเรามีพลังดำเนินชีวิตอยู่ต่อไป หากเราเชื่อว่าวันหนึ่งชีวิตเราก็จะเป็นเช่นพระอาทิตย์ของวันใหม่ที่โผล่ขึ้นมาจากทะเลลึก อีกครั้ง และเมื่อนั้นเราจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้นและอาจจะค้นพบสถานที่งดงาม ณ ที่ใด ที่หนึ่งบนโลกใบนี้ คนเหล่านั้นก็เช่นกันเด็กและคนชราในหุบเขาที่ยากเข็ญเหล่านั้นวันหนึ่งเมื่อพระอาทิตย์ในใจของเขาโผล่ขึ้นมาจากทะเลเขาก็จะมองเห็นความสวยงามรอบกายที่เขาสัมผัสได้ และมีความสุขกับความงดงามของธรรมชาติรอบกายอากาศอาจไม่หนาวเย็นตลอดไป และบางทีอาหารอาจจะอยู่รอบตัวหากเพียงพวกเขารู้จักแสวงหาพวกเขาก็จะค้นพบมัน.ใช่แล้วฉันรู้สึกเหมือนน้ำแข็งที่ห่อหุ้มหัวใจมานานค่อยๆ ละลายไป จิตใจที่เย็นชาค่อยๆ แจ่มใสขึ้น และแล้วฉันก็พบกับความงามของดอกไม้ ใบหญ้า อีกครั้ง
โลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริงยังไม่แยกกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างที่เราอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน แย่งชิง อีกแง่มุมหนึ่งมันก็เป็นโลกแห่งความฝันที่สวยงามหากเราเพียงเปิดใจมองสิ่งต่างๆ ในอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยมอง พยายามหาความงามที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางความสับสน วุ่นวาย เอาความฝันเป็นพลังและกำลังใจในยามเหนื่อยล้า และหากมีโอกาสก็หยิบยื่นฝันที่สวยงามให้ผู้อื่นบ้าง ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้วแต่ฉันยังคงนั่งอยู่ต่อไป ท่ามกลางความมืดสนิทของท้องทะเลยามค่ำคืนก็ยังมีแสงดาวที่ส่องแสงสกาว พร่างพราว แต่งแต้มท้องฟ้ายามราตรี และแล้วในยามที่มืดมิดฉันก็ได้เห็นความงามของท้องทะเลในอีกรูปแบบหนึ่ง
12 ธันวาคม 2546 14:55 น.
กิรตา
ฉันจำเรื่องราวของเขาได้ดี เวลาหลับตา ฉันมักจะเห็นภาพต่างๆ เกี่ยวกับชายคนหนึ่งชายผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในชีวิตของฉัน ในตอนที่ฉันยังเล็กมาก ๆ ฉันเป็นเด็กซน เอาแต่ใจ และแก่นแก้วสักหน่อย ฉันมักจะขี่คอเขา (ชายผู้นั้น) เข้าไปในสวนหลังบ้าน มันเป็นสวนผลไม้หลายชนิด มีทั้งทุเรียน เงาะ มังคุด กล้วย และผลไม้อื่นๆ ประปราย สวนนี้เป็นทั้งหมดของชีวิตชายผู้นี้ เขารักและหวงแหนสวนของเขามาก และความรู้สึกเหล่านี้ก็ซึบซาบมาสู่ฉันทีละนิดโดยฉันไม่รู้ตัว ตั้งแต่เช้ามืด กระทั่งพระอาทิตย์หมดแสงเขาจะหมกตัวอยู่แต่กับต้นไม้ บางครั้งฉันได้ยินเขาพูดคุยกับพวกมัน เขาสอนฉันในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับต้นไม้เหล่านั้น บอกให้ฉันดูแลมัน รักมัน และคอยเอาใจใส่มัน เพราะวันหนึ่งมันจะตอบแทนเราด้วยดอกผลของมัน และอื่นอีกมากมายที่เราได้รับจากมันอย่างซื่อสัตย์ที่เราอาจไม่ได้รับจากสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกัน บางเวลาฉันก็เหนื่อยและขี้เกียจกับการต้องอยู่ใต้ต้นไม้พวกนี้คอยถอนหญ้า ใส่ปุ๋ยให้พวกมัน โตขึ้นมาหน่อยในช่วงนั้นมีรายการฝันที่เป็นจริง ซึ่งไตรภพ ลิมประภัทรเป็นผู้ดำเนินรายการ ฉันเกลียดรายการนี้มากแต่ก็ต้องถูกบังคับให้มานั่งดูทุกครั้ง ก็จะใครเสียอีกล่ะก็เขาอีกนั่นแหละผู้ชายที่ซึ่งเป็นอะไรบางอย่างอย่างที่ไม่มีใครเป็น ทำอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครอยากจะทำ เขาคอยกำกับให้ฉันดูเรื่องราวชีวิตทุกตอนของผู้คนในรายการนั้น และบอกเสมอว่าเห็นมั้ยชีวิตคนอื่นยากเย็นเพียงใด เห็นมั้ยเขาทำงานหนักแค่ไหน และทุกครั้งหลังรายการจบลงเขาก็จะมีความมุ่งมั่นมุมานะพยายามขึ้นทุกครั้ง และพยายามให้ฉันรู้สึกเช่นเดียวกับเขา หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่ฉันจะโดนสอนสั่งแกมบังคับให้เข้าไปทำงานดูแลต้นไม้ หรืออะไรก็ตามในสวนหลังบ้าน ซึ่งในขณะที่กำลังถอนหญ้า หรือขุดดินก็จะฟังเขาพร่ำบ่นไปเรื่อยๆ ถึงความยากลำบากของเขาในอดีต และความยากลำบากของผู้คนอีกมากมายตัวอย่างเช่นในรายการฝันที่เป็นจริง และบอกว่าสักวันฝันของเราก็จะเป็นจริง แต่ก่อนจะถึงวันนั้นฉันไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะต้องทำอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ต้องคอยรดน้ำ พรวนดิน อีกกี่ปี กว่าต้นไม้เล็กๆ เหล่านี้จะเติบโต ผลิดอก ออกผล แต่ทำไมนะสำหรับเขาแล้วการรอคอยเวลาเหล่านี้ดูจะไม่เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายเลย เขาเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับชีวิตเขาสมัยเด็ก ๆ ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า บอกถึงอุปสรรคมากมายที่เขาต้องฝ่าฟัน บอกถึงการไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือสูงๆ อย่างที่ต้องการ และเพียรสอนสั่งเสมอว่าให้ฉันตั้งใจเรียนและที่สำคัญไม่เคยลืมสอนให้ฉันรักต้นไม้ใบหญ้าอย่างที่เขารัก ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าฉันเริ่มรักไอ้ต้นไม้พวกนั้นตอนไหน แต่ต่อมาเมื่อฉันถูกส่งมาเรียนโรงเรียนในเมือง ซึ่งไม่มีโอกาสได้เดินเข้าไปในสวนเหล่านั้นอย่างเช่นเคย ฉันเริ่มรู้สึกเหงาๆ และเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป ทั้งๆ ที่ฉันไม่คิดว่าจะมีความรู้สึกเหล่านี้ได้ในตอนที่อยู่ในสวน ตอนนั้น ฉันคิดเพียงว่า วันหนึ่งฉันจะจากสวนที่มีแต่ต้นไม้เหล่านี้ไปและจะไม่กลับมามองมันอีก จบสิ้นกันทีกับการรดน้ำ พรวนดิน ถอนหญ้า ที่ดูเหมือนเสียเวลาเปล่า แต่แล้ววันหนึ่งฉันกลับรู้สึกอ้างว้างเหลือเกินเมื่อเดินมายืนที่ระเบียงห้องและมองเห็นแต่ถนนคอนกรีตเต็มไปหมด รถรามากมายที่วิ่งกันไม่รู้จักหยุดหย่อนไม่รู้มีธุระอะไรกันนัก อีกทั้งตึกสูงๆเหล่านั้น ฉันเริ่มสงสัยว่าสวนที่ฉันเคยคุ้นเคยจะคิดถึงฉันบ้างไหม ทุเรียน เงาะ มังคุด จะจำฉันได้หรือเปล่า แล้วชายผู้นั้นจะเป็นอย่างไร หลายปีผ่านไป ฉันได้กลับไปที่นั่นอีกครั้งหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน ชายผู้นั้นหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปมาก ผมที่เคยดำกับเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา หนวดเครายาวรุงรัง ริ้วรอยแห่งการผ่านชีวิตมาเนิ่นนานปรากฏขึ้นหลายแห่งบนใบหน้า แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเดิมคือสายตาที่ไม่เคยสิ้นหวัง สายตาที่มีแต่ความมุ่งมั่น และสายตาที่อบอุ่น สวนนั้นเล่าก็ทำจนฉันเกือบจำไม่ได้ ต้นไม้ที่แต่เดิมเคยสูงไม่ถึงเอวเด็กตัวเล็กๆ อย่างฉัน บัดนี้เติบโตขึ้นจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ฉันเดินสำรวจสวนไปทั่วๆ เคียงข้างชายที่เริ่มเข้าสู่วัยชราผู้นั้น เขาบอกว่าชีวิตไม่แน่นอน บางทีอีกไม่นานเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย ฉันไม่ใส่ใจกับคำพูดนั้นนัก เพราะคิดว่าคงพูดเรื่อยเปื่อยตามภาษาคนแก่ เราเดินดูเรื่อยๆ จนแสงสว่างเริ่มเลือนหายไป จึงกลับเข้าบ้าน เขายังคงไม่ลืมหน้าที่ในการสั่งสอนซึ่งบางครั้งข้าพเจ้าก็คิดว่ามันเป็นเรื่องซ้ำซากจนออกจะน่าเบื่อนิดๆ และแล้วหูของข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่าบางทีเขาอาจจะจากไปโดยที่ยังไม่ได้เห็นใบปริญญาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสะกิดใจหันไปมองแต่แล้วเขาก็เงียบและเราก็เปลี่ยนเรื่องคุย ไม่กี่วันถัดมาเขาปวดท้อง พวกเราพาเขาไปโรงพยาบาล ข้าพเจ้าเป็นคนเฝ้าแต่ก็ไม่ได้เฝ้าอย่างดีนัก ข้าพเจ้าเอานิยายไปอ่านโดยคิดแค่ว่าเปลี่ยนบรรยากาศอ่านหนังสือก็แค่นั้น ข้าพเจ้าเฝ้าได้ 2 วันก็ขอตัวจะรีบกลับไปมหาลัยทั้งๆ ที่ทางมหาลัยข้าพเจ้าก็ไม่มีเรียนและหากจะอยู่ต่ออีกก็คงไม่มีปัญหาอะไรแต่ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะกลับ เพราะคิดว่าเขาคงไม่เป็นอะไรมาก และแล้วข้าพเจ้าก็จากมา และหลังจากนั้นเพียง 1 วันเขาก็จากไป จากไปโดยที่ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ทุกวันนี้ยามหลับตาข้าพเจ้ายังได้ยินเสียงสั่งสอนของเขา ยังมองเห็นภาพต้นไม้ต่างๆ ล่องลอยอยู่ในความทรงจำ ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าทุกคำที่ชายผู้นั้นพร่ำสอน ล้วนเป็นประโยชน์ต่อชีวิตข้าพเจ้าในทุกวันนี้ และวันนี้เมื่อเห็นต้นไม้ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีเขาอยู่ใกล้ๆ ต้นไม้เหล่านั้น คอยดูแลพวกมัน และกระซิบบอกข้าพเจ้าว่ารักษามันให้ดี อย่าลืมต้นไม้ อย่าลืมสวน อย่าลืมถิ่นเกิด
ข้าพเจ้าแนบหูกับต้นไม้ฟังเสียงกระซิบเหล่านั้น และบอกคำที่ข้าพเจ้าไม่เคยกล่าวมาก่อนในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ หนูรักพ่อค่ะ และหนูจะรักพวกมันเพราะพวกมันคือตัวแทนของพ่อ