12 มิถุนายน 2553 23:15 น.
การัณยภาส
มีตลาด มาเปิดใหม่ ในซอยบ้าน
ทุกรวงร้าน วางแผงขาย จำหน่ายของ
ทั้งหมูเห็ด เป็ดไก่ มีให้จอง
อีกข้าวขาว ข้าวกล้อง มีให้ดู
เห็นกระจาด ผักสด ผลไม้
มีไข่ไก่ เหลืองอร่าม ดูงามหรู
ทั้งปลานิล ปลากะพง และปลาทู
กุ้งหอยปู หมูเนื้อ ไม่เบื่อชม
มีพ่อค้า หนุ่มแน่น ยิ้มแป้นให้
ทำหัวใจ เราวาบหวาม ดูงามสม
ทั้งปากแก้ม คิ้วคาง ช่างเข้มคม
เป็นยอดชาย ยอดนิยม ในดวงใจ
เขาขายส้ม ชมพู่ อยู่แถวสี่
ลูกสาลี่ กล้วยน้ำว้า น่ากินไฉน
อีกมังคุด มะละกอ เงาะลำใย
ผลไม้ ใหม่สด ห้ามอดกิน
เดินเข้าไป จ่ายเงิน อย่างเขินขวย
ซื้อทั้งกล้วย ส้มสด มาหมดสิ้น
พ่อค้าหนุ่ม หล่อเหลา ทำเราอิน
คงหวานลิ้น ชินรส หมดทั้งใจ
พอเดินเลี้ยว เอี้ยวไป ในแถวห้า
เพื่อซื้อน้ำ ปลาร้า ในหม้อไห
พ่อค้าหนุ่ม รูปงาม ตามเราไป
เข้าแถวไหน ก็เดินชิด เกือบติดกัน
มันช่างแปลก พิสดาร แต่หวานแหวว
คงไม่แห้ว ในรักนี้ ที่หมายมั่น
เดินแถวหนึ่ง สองสาม ก็ตามกัน
ทำอกสั่น หวั่นไหว ใจคลอนแคลน
เดินมาหยุด สุดท้ายแล้ว ตรงแถวสิบ
ห่างกันลิบ เขาตามรุก เป็นสุขแสน
พ่อค้าหนุ่ม ลูกค้าสาว ราวกับแฟน
เสมือนแม้น ตลาดรัก พักอุรา
เมื่อถึงตัว เขารัวยิ้ม ส่งมาให้
ตามมาไกล ได้รักแท้ แน่นักหนา
เขาหยิบเงิน อย่างบรรจง ยื่นส่งมา
แล้วพูดว่า "ขอโทษครับ นี่เงินทอน"
9 มิถุนายน 2553 23:42 น.
การัณยภาส
ฉันไม่ขอ ให้ใคร มารักฉัน
ขอแค่ว่า อย่าเกลียดกัน จะได้ไหม
อย่าชี้หน้า ด่าทอ กันต่อไป
หยุดทำร้าย หัวใจ ด้วยวาจา
ฉันไม่ขอ ให้ใคร มานับถือ
ขอเพียงพบ คนใจซื่อ ไม่ถือสา
ละความแค้น โมโห ความโกรธา
มีเมตตา ปลอบขวัญ กันและกัน
ฉันไม่ขอ ให้ใคร มายกย่อง
เพียงขอร้อง อย่ามองข้าม มาหยามหยัน
ถึงคราวล้ม อย่าถมทับ ซ้ำเติมกัน
อย่าปิดกั้น ให้ฉันพลาด โอกาสยืน
ฉันไม่ขอ ให้ใคร มาช่วยเหลือ
เพียงเอื้อเฟื้อ เจือน้ำใจ ไม่ต้องฝืน
แม้ขัดสน หวานทนอม ขมทนกลืน
ก็หยัดยืน อยู่ได้ เพราะไมตรี
ฉันไม่ขอ เป็นใคร ที่ใหญ่ยิ่ง
หรือเป็นหญิง งามสง่า รวยราศรี
ขอเป็นเพียง ผู้เดินทาง อย่างคนดี
เพื่อโลกนี้ มีความสุข ไร้ทุกข์ภัย
ฉันไม่ขอ ดาวดวงไหน ไกลเกินคว้า
เพราะมันสูง ล้ำค่า เกินกว่าได้
ขอแค่เพียง สายน้ำ ชุ่มฉ่ำใจ
หรือจะเป็น ต้นไม้ ให้พักพิง
ฉันไม่ขอ ฟากฟ้า นภากว้าง
หรือคูหา อ้างว้าง ยามสู่สิง
ขอมีเพียง ดวงจิต มิตรแท้จริง
ไม่ทอดทิ้ง ให้เหินห่าง ร้างราไป
ขอแค่มี มโนธรรม ช่วยนำจิต
นำความคิด เดินทาง สว่างไสว
ด้วยสติ ปัญญา พาก้าวไกล
เป็นคนใหม่ ที่ใฝ่รู้ คู่ความดี
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก ไร้โศกทุกข์
แต่งเติมสุข ด้วยสันติ ทุกข์หลีกหนี
หนึ่งมนุษย์ หนึ่งหัวใจ ได้ทำดี
ขอผลบุญ กุศลนี้ เป็นพยาน
7 มิถุนายน 2553 23:56 น.
การัณยภาส
ค่ำคืนนี้ มีดวงดาว พราวแสงใส
ทอแสงร้าง อยู่ห่างไกล หัวใจเหงา
ไร้เงาจันทร์ คลาดเคลื่อน เป็นเพื่อนเรา
ทิ้งพลูโต ให้โศกเศร้า เคล้าน้ำตา
พระอาทิตย์ เคยส่องแสง สีแดงสด
ดูงามงด จนจับจิต น่าอิจฉา
เป็นเพื่อนกัน ฉันรักเธอ เสมอมา
ส่งสัญญาณ อันแรงกล้า อบอุ่นใจ
เห็นซีกโลก เป็นสีฟ้า เย็นตานัก
อยากทายทัก ว่ารักเธอ ไม่เผลอไผล
ก้อนเมฆขาว ใหญ่น้อย ล่องลอยไป
สายรุ้งพาด สวยจับใจ ไร้มลทิน
ณ วันนี้ พลูโตน้อย เฝ้าคอยรัก
แต่อกหัก รักร้าวบุบ เหมือนทุบหิน
ขออ้อนวอน อย่าหมางเมิน ดาวเดินดิน
ให้อาภัพ ดับสิ้น ไร้หนทาง
ขอแสงดาว แสงเดือน เป็นเพื่อนฉัน
ขอแสงจันทร์ ช่วยพยุง จนรุ่งสาง
แสงอาทิตย์ ส่องไสว ไม่จืดจาง
ให้พลูโต สุกสว่าง ท่ามกลางเธอ
12 มกราคม 2552 21:54 น.
การัณยภาส
มีวิญญาณ หนึ่งดวง ร่วงมาเกิด
ถือกำเนิด บนโลก ที่โศกศัลย์
จากใต้ดิน ถิ่นนรก ขุมโลกันตร์
เพราะสวรรค์ ชั้นฟ้า ไม่ปรานี
เกิดเป็นหญิง นางหนึ่ง ซึ่งโง่เขลา
ปัญญาเบา รู้น้อย ด้อยศักดิ์ศรี
เสมือนคน ที่ไร้ค่า คุณความดี
ตราบาปนี้ มีเพราะกรรม เคยทำมา
แต่ด้วยบุญ หนุนนำ ค้ำจุนไว้
ให้ฉันได้ อยู่ในแดน พุทธศาสนา
พึ่งคำสอน แห่งธรรมะ พระศาสดา
เพียงเสี้ยวเศษ พระเมตตา คือร่มเงา
จึงมีแรง ยืนอยู่ สู้ชีวิต
ตามแต่จิต คิดได้ ไม่โฉดเขลา
แม้คลื่นลม มรสุม รุมซัดเอา
ก็ยังเฝ้า หยัดยืน และฝืนทน
เคยบางครั้ง พลังกาย แทบวายสิ้น
ไม่ชาชิน สิ้นเรี่ยวแรง ทุกแห่งหน
ใจร้าวรอน อ่อนเพลีย เกือบเสียคน
แต่ก็พ้น เพราะพระธรรม นำจิตใจ
ด้วยพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
ได้เสริมส่ง แนวทาง สว่างไสว
สร้างสติ ปัญญา พาก้าวไกล
เป็นคนใหม่ หัวใจสู้ อยู่ทำดี
อานิสงฆ์ แห่งไตรรัตน์ อันศักดิ์สิทธิ์
ชุบชีวิต คนด้อยค่า ไร้ราศี
เปลี่ยนก้อนกรวด หมดค่า มีราคี
เป็นมณี น้ำงาม อร่ามเรือง
แม้นชาติหน้า ถ้ากำเนิด เกิดเป็นชาย
ขอถวาย อยู่ร่มกา ในผ้าเหลือง
เพื่อทดแทน บุญคุณ ไม่ขุ่นเคือง
ให้บ้านเมือง สืบทอด ตลอดไป
แม้นชาติหน้า ถ้ากำเนิด เกิดเป็นหญิง
จะไม่ทิ้ง ดินแดนพุทธ สุดเลื่อมใส
ขอนับถือ พุทธมนต์ ท่วมท้นใจ
ทุกชาติไป ไม่เสื่อมคลาย จนวายปราณ
อธิษฐาน วานไหว้ ทั้งไตรภพ
เพื่อประสบ ความตั้งใจ ได้สืบสาน
เป็นคำมั่น สัจจะ ปณิธาน
ทุกกาลนาน เที่ยงแท้ และแน่นอน
5 ธันวาคม 2551 20:19 น.
การัณยภาส
รุ่งอรุณ อุ่นหล้า ยามฟ้าสาง
แดดสีจาง ทาบขอบฟ้า เช้าวันใหม่
ทุกชีวิต บีบคั้น ดั้นด้นไป
เพราะความหวัง ที่อยู่ไกล ใกล้เข้ามา
แม้ยากดี มีจน คนต้องสู้
เพื่อได้อยู่ กินนอน ตอนโหยหา
แม้ลำบาก ตรากตรำ ทุกคร่ำครา
จนเหนื่อยล้า ก็ยังฝืน ลุกขึ้นเดิน
มีบางครั้ง นั่งท้อแท้ เพราะแพ้พ่าย
ใจสลาย อ้างว้าง ดูห่างเหิน
เหมือนโลกนี้ ช่างยาก ลำบากเกิน
ทุกสิ่งเมิน เฉยชา ระอาใจ
มีบางคราว สับสน และหม่นหมอง
น้ำตานอง ทุกข์ระทม เกินข่มไหว
เหมือนโลกนี้ เป็นสีขุ่น ว้าวุ่นใจ
มองทางใด ก็มืดดำ เจ็บช้ำจริง
แต่สติ ที่คิด ด้วยจิตมั่น
คือลำแสง แห่งตะวัน พลันสู่สิง
ตาที่บอด มืดดำ เห็นความจริง
ล้วนทุกสิ่ง ผันแปร ไม่แน่นอน
ด้วยโลกนี้ มีสิ่ง น่าเรียนรู้
เหมือนเป็นครู ดูอ่านเขียน เพียรสั่งสอน
เป็นหนังสือ เล่มใหญ่ หลายบทตอน
ที่ตักป้อน ความรู้ คู่กายคน
แล้วเช่นนี้ มีหรือ จะหมดหวัง
ฝึกพลัง กล้าแกร่ง ทุกแห่งหน
ลุกขึ้นสู้ อยู่ต่อไป ด้วยใจตน
และอดทน เข้มแข็ง ด้วยแรงใจ
รุ่งอรุณ อุ่นหล้า ยามฟ้าสาง
แดดสีจาง ทาบขอบฟ้า เช้าวันใหม่
รุ่งอรุณ อุ่นหล้า ในหัวใจ
พร้อมสร้างสรรค์ ชีวิตใหม่ ให้งดงาม