21 มกราคม 2552 21:54 น.

เด็กชายบอยหายไป

กันนาเทวี

กริ๊ง.............
"ฮัลโหล....."  ฉันรีบรับสายในใจนึกว่าน้องสาวคงจะโทรเรียกไปทาน
อาหารเย็น   แต่ผิดคาด

" สวัสดีคร้าบ  คุณพี่เหรอครับ ?   อยู่ไหนครับตอนนี้"
เสียงครูหนุ่มใหญ่ใจดี   ผู้รั้งตำแหน่ง รก. (รักษาการแทนผู้อำนวยการ)
นั่นเอง

" อือม์พี่เองจ้ะ  อยู่บ้านแล้วตอนนี้  มีอะไรเหรอจ้ะ  ท่าน รก."

" ดีแล้ว ล่ะ พี่ช่วยขับรถกลับไปดูที่โรงเรียนหน่อยสิ"
น้ำเสียงท่านรก. พูดเสียงตื่นเต้น

"มีอะไรเหรอจ้ะ"  ตื่นเต้นตาม

"เด็กนักเรียนหายครับพี่  เด็กชายบอยไม่กลับบ้าน  พอดีผมมาธุระ
อยู่อำเภอเมืองน่ะภารโรงโทรแจ้งว่าผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสาย 
ระดมกำลังชาวบ้านออกตามหาป่านนี้ยังหาไม่เจอ"

"ตายล่ะ  สงสัยจะกลัวความผิดที่ทำไฟไหมซุ้มฟางไปแน่เลย  
คงตกใจกลัวอีกอย่างเด็กโตๆ  ปอห้า ปอหก คงจะขู่ด้วยมั้งเลยเตลิดไป"

" ลุงภารโรงแกบอกว่า พ่อแกมาตามหาในโรงเรียนตั้งแต่ห้าโมง
จนจะทุ่มแล้วนี่ยังไม่เจอเลย  ยังไงพี่ช่วยไปดูสถานการณ์ที่โรงเรียน
ทีเถอะ ครับ  ชวนพี่นิดไปด้วยสิ   ผมโทรบอกแกละ  แกว่าเดี๋ยวจะไป  
ลุงภารโรงแกว่าชาวบ้านพากันแห่มาเต็มสนามเลย"

วางหูโทรศัพท์แต่งตัวแบบรัดกุมทะมัดทะแมงแล้วขับรถบึ่งออกจากบ้าน
ในใจก็นึกถึงเด็กชายบอยไปพลางใจก็อดหวั่นวิตกคิดไปต่างต่างนานาไม่ได้
หายไปไหนนะ   หรือว่าจะตกใจเกินเหตุ หนีเข้ารกเข้าพงไปโดนงูเงี้ยวกัด
ตายไปละ   หรือว่าวิ่งหนีเตลิดไปหลบอยู่ในป่าช้าข้างโรงเรียนแต่จนป่านนี้
มืดแล้วคงหาทางกลับไม่ได้   หรือ....หรือ....หรือ.....

ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงกังวล  ถ้าเป็นเด็กปกติคงไม่น่าห่วงขนาดนี้นี่เด็กชายบอย
เขาเป็นเด็กพิเศษ   เราไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร   และไม่เข้าใจว่าทำไมต้อง
หนีขนาดนั้น   พอแวะรับครูนิดก็รีบบึ่งรถไปถึงโรงเรียน   รีบไปถามไถ่
หวังจะได้คำตอบว่าเจอแล้ว  แต่ปรากฏว่ายังไม่เจอ   ทุกคนต่างระดมกัน
ออกค้นหา  เรียกหาตามสุมทุ่มพุ่มไม้ข้างโรงเรียน   ป่ากล้วยชาวบ้านบริเวณ
ใกล้เคียง   ป่าช้า   ทุ่งนา   หาๆๆ   จนทั่วก็หาไม่เจอ   ทางในหมู่บ้านก็
ออกค้นตามบ้านใกล้เรือนเคียง   บ้านญาติๆ  ที่คาดว่าแกจะไปหลบแอบ
อยู่

"ทำไงกันนี่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆแล้วนี่  หากไม่เจอแล้วแกไปหลบอยู่ไหนนี่
ดึกๆมิหนาวจนกระด้างตายเหรอแบบนี้"   ครูนิดตั้งคำถาม

"ก็นั่นนะสิ   พ่อแม่แกก็ร้องไห้จะเป็นลมแล้วนะ  บอยนะบอยหายไปไหนนะ"

หรือจะลงไปที่สระน้ำ  ชาวบ้านคนหนึ่งคาดเดา   ชาวบ้านจำนวนหนึ่งลงไป
เอาไม้ควานหารอบๆสระ"

"ไม่ลงไปมั้ง  ปกติเขาก็รู้ว่าที่ไหนอันตรายอยู่นะ"

"หรือว่า  จะมีใครจับไป"

" ไม่หรอก  เขากลัวคนแปลกหน้าไม่เข้าใกล้หรอก"

" แล้วหายไปไหนนะเนี่ย   โอย .......คาดเดาไม่ถูก ห่วงอย่างเดียว
อากาศยิ่งหนาวๆอยู่อย่างนี้ถ้าเกิดไม่เจอเรามิต้องค้นหากันทั้งคืนเหรอ
นี่  ตอนนี้ก็สามทุ่มแล้วนะ"

ชาวบ้านเริ่มเป็นวิตกกังวล   ผู้ใหญ่บ้านโทรศัพท์ไปแจ้งกำนัน และผู้
ใหญ่บ้านข้างเคียงให้ช่วยค้นหาอีกแรงเผื่อเขาจะหลงไปหมู่บ้านใกล้ๆ
สามทุ่มครึ่งพ่อและแม่ของเด็กชายบอยก็ออกประกาศเสียงตามสายเรียก
ให้ลูกออกมาปรากฏตัว   ชาวบ้านมาชุมนุมกันเป็นที่ๆ  ต่างพากันคิด
และออกความเห็นไปต่างๆ   พ่อเด็กชายบอยแม้จะแก่และยากจนมาก
แต่ก็รักลูกรักเมีย  และหาเลี้ยงอย่างไม่เกียจคร้าน  รับจ้างทุกอย่าง
เท่าที่ทำได้  ส่วนแม่นั้นสมองไม่ค่อยสมประกอบ ซึ่งกรรมพันธุ์ก็สืบ
ทอดมาที่เด็กชายบอย   เขาจึงเป็นเด็กน่าสงสาร   ยิ่งมาหายไปแบบนี้
ชวนให้สงสัยคิดไปในทางไม่ดี  แต่ละคนต่างเป็นกังวลไม่ว่าเพื่อนบ้าน
ญาติพี่น้อง   และครู

21.45  น.   ได้ยินเสียงผู้ใหญ่บ้านประกาศว่าเจอแล้วเด็กชายบอย
ทันทีที่ได้ยินเสียงทุกคนต่างโล่งใจ   ข้าพเจ้ากะครูนิดรีบไปที่บ้านหลังที่
เขาพบเด็กชายบอย   ที่นั่นชาวบ้านไปกันเต็ม  ต่างกันพากันโจทย์ขาน
ว่าน่าจะหาเจอตั้งนานแล้ว  เพราะหลบอยู่ที่กองฟืนของบ้านใกล้บ้าน
ของเขานั่นเอง   ทำไมเดินผ่านตั้งหลายรอบทำไมไม่เห็น   บ้างก็ว่า
หรือว่าผีจะเอาซ่อนไว้  แต่ทุกคนมีรอยยิ้ม  และดีใจกะพ่อ แม่ของเด็ก
เด็กอยู่ในตักแม่   มีพ่อคอยป้อนข้าวให้   เป็นภาพน่าประทับใจ
เด็กชายบอยยังมีอาการตื่นกลัว   ไม่กล้ามองใครๆ  

"ในที่สุดเรื่องก็ลงเอยลงอย่างเรียบร้อย  ผมตกใจแทบแย่  
กลัวแกจะเป็นอะไรไปในบริเวณโรงเรียนต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ"
รก.  พุดด้วยความโล่งอก   เขาเพิ่งบึ่งรถมาถึงสมทบกับชาวบ้านที่ค้นหา
ก่อนหน้าที่เขาจะเจอเด็กประมาณยี่สิบนาที

"ผู้ใหญ่บ้านเอาธูปไปบนบานที่พระธาตุดอยแช่  แล้วไม่ถึงอึดใจก็
มีคนเจอ  นี่แหละนะแรงอธิษฐาน   พระธาตุนี่ศักดิ์สิทธิ์  น่าเชื่อถือ
จริงๆ"

สำหรับข้าพเจ้าแล้วรู้สึกภูมิใจในความสามัคคี  ของชาวบ้านทุกหลังคาเรือน
ต่างก็มีน้ำใจออกมาช่วยกันค้นหา  แม้เด็กชายบอยจะเป็นแค่เด็กนักเรียน
ตัวเล็กชั้นปอสอง  พ่อแม่ก็ฐานะยากจน   แต่ทุกคนก็ยังรักใคร่
และห่วงใยแก   นี่แหละน้ำใจของพี่น้องชาวบ้านไทยในชนบท.....				
13 มกราคม 2552 19:30 น.

บ้านเราเมื่อเยาว์วัย (๒)

กันนาเทวี

ข้าวหนุกงา
         หน้าหนาวอากาศยามเช้าช่างสุดแสนจะหนาวเย็น ใกล้รุ่งแล้วแม้จะ
รู้สึกตัวตั้งแต่ตอนแม่กุกกักลุกจากที่นอนไปก่อไฟนึ่งข้าวแล้ว  แต่เด็กน้อย
ก็ยังไม่ยอมเปิดตัวลุกจากผ้าห่ม   เสียงคุณทวดลากไม้กวาดเพื่อกวาด
ใบมะม่วงที่ร่วงลงบนลานพื้นดินหน้าบ้านดังแกรกกราก   ทำไมผู้ใหญ่ถึง
ขยันและรับผิดชอบสูงเหลือเกิน  หากเราจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันหน้าเราก็
ต้องประพฤติเหมือนกับพ่อ แม่  ปู่ย่า ตาทวดของเราสิ เราจะยอมแพ้ได้ไง  
นึกแล้วก็เปิดตัวลุกจากผ้าห่มอย่างแสนเสียดาย
      ลุกมาจากที่นอนบิดขี้เกียจ 2-3 ที  แล้วเดินเลยข้าวไปในครัวไม่เห็น
แม่ เลย ไปนั่งม้านั่งตั่งเล็กหน้าเตาไฟ  ยื่นมือไปผิงไฟ  มองไอน้ำที่ลอด
ฝาหวดนึ่งข้าวขึ้นมาอีกสักประเดี๋ยวข้าวคงสุก

       นี่แม่บอกกี่ครั้งแล้ว  ตื่นมาให้ไปล้างหน้าบ้วนปาก แปรงฟันก่อน
       น้ำเย็นจังเลยอ่ะแม่   สายๆค่อยล้างไม่ได้เหรอ
       ไม่ได้หรอกลูก  ใครตื่นมาไม่ล้างหน้าประเดี๋ยวผีโพงจะมาเลียหน้า

       ด้วยความกลัวว่าผีโพงจะมาเลียจริงๆเลยรีบลุกไปล้างหน้าก่อน 
ใจนึกไปถึงน้ำลายผีโพงที่เกาะอยู่ตามใบหญ้าในสวน  เป็นฟองๆ
น่ารังเกียจ  ตอนนั้นไม่รู้ว่าที่แท้เป็นแมลงหรือสัตว์เล็กๆที่ออกหากิน
กลางคืนมาทำไว้  เข้าใจน้ำลายผีโพงจริง ๆ  จึงรีบลุกกะวีกะวาด
ไปล้างหน้าทันทีที่แม่เอ่ยอ้าง

         เดี๋ยวแม่ยกข้าวลงแล้วจะทำข้าวหนุกงาให้กินนะ
        ดีใจจัง  จะได้กินข้าวหนุกงาหอมๆ อีกแล้ว
        เอ้า...มาช่วยแม่ตำงาเร็ว  ค่อยๆ นะอย่าให้เม็ดงากระเด็นเอามือบังไว้ด้วย

       งาชนิดนี้ต่างกับงาดำหรืองาขาวที่ใช้คลุกขนม  แต่เป็นงาเมล็ดกลมคล้าย
ผักกาดมีกลิ่นหอม  และมีน้ำมันเยอะ  ตำคลุกกะข้าวเหนียวร้อนๆ  นวดและปั้น
ให้เป็นเนื้อเดียวกันใส่เกลือนิดหน่อย  อร่อยหอม  กลิ่นตอนเช้าอร่อยมาก
  แต่จะกินเฉพาะหน้าหนาวตอนหน้าข้าวใหม่เท่านั้น

        วิธีปลูกงาก็ไม่ยุ่งยากมากมาย  ตอนต้นฤดูฝนตาขุดดินเตรียมแปลง
พร้อมๆกับการหว่านข้าวกล้าในนา  หว่านงาจนงอกสูงยาวประมาณ  
10	นิ้วก็แยกปลูกเป็นแถว  คุณยายเรียกเด็กไปช่วยปลูกด้วย
	
        ยายทำไมต้องปลูกงาตอนนี้ละ
         อ๋อ....งาจะได้ให้ผลผลิตงาพอดีกะตอนข้าวใหม่ออกพอดีไงลูก
  เราจะได้กินข้าวหนุกงา  โดยใช้ข้าวใหม่ไง
       หนูชอบกินข้าวหนุกงา  หอมข้าวใหม่กะงา  ผสมกันอร่อยที่สุดเลย..
         ชอบกินหนูก็ต้องหมั่นรดน้ำ  ถอนหญ้าต้นงาจะได้เจริญงอกงามดี  เกี่ยว
ได้งาเยอะ
         จ้ะยาย

         เด็กน้อยช่วยยายรดน้ำ  พรวนดิน  ต้นงาจนเจริญงอกงามดี   ไม่นานก็สูง
ท่วมหัว จริงๆไม่ได้ดูแลอะไรมาก   นอกจากระยะเริ่มต้นตอนปลูกใหม่เท่านั้น 
 ต่อมางาก็ออกดอก  เป็นช่อยาวๆ  สีเขียว  มีดอกเล็กๆสีขาว
  ประปรายอยู่ตามช่อนั้น  
         ใบงาชนิดนี้ใบใหญ่และมีกลิ่นหอมมากเขานำมาม้วนทำเป็นจุกปิดปาก
กระบอกไม้ไผ่เวลาเผาข้าวหลามจะทำให้ให้ข้าวหลามสุกหอมน่ากิน
         เมื่องาแก่เต็มที่ก็จะตัดมาเป็นต้นๆ เอาใบออกมัดรวมกันเป็นมัดๆ 
 แขวนไว้กะราวไม้ไผ่ตากแดดจนแห้ง  และนำมาเคาะเอาเมล็ดงาออก
   ฝัดด้วยกระด้ง เอาสิ่งแปลกปลอมออกเหลือแต่งาบริสุทธิ์  
 เอาไปตำคลุกกินกะข้าวได้
      หนาวแล้วถึงฤดูที่จะได้กินข้าหนุกงาหอมอร่อยอีกครั้ง   ดีใจที่เรา
มีส่วนช่วยปลูกงาภูมิใจในผลงานของเรา   พอถึงวันพระยายก็ทำข้าวหนุกงา
ไปถวายพระด้วยอิ่มทั้งท้องและอิ่มทั้งใจ   เด็กน้อยเรียนรู้วิถีชีวิต  
การทำมาหากินกับผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดนั่นเอง

กันนาเทวี  
13  มกราคม  2552				
12 มกราคม 2552 12:56 น.

บ้านเราเมื่อเยาว์วัย ( ๑ )

กันนาเทวี

บ้านเราเมื่อเยาว์วัย (  ๑  )

	วัยเด็กเป็นวัยแห่งความสุข สนุกสนาน ลานหน้าบ้านคุณทวด      กว้างขวางและร่มรื่นมาก  ใต้ต้นมะม่วงป่าต้นใหญ่ใบดกหนาครึ้ม  เย็นสบาย  พวกเรามักนัดมาชุมนุมเล่นกันอย่างไม่รู้เบื่อ
    
        วันนี้เล่นอะไรดีล่ะ  มอญซ่อนผ้าก่อนเลยดีไหม   
   เพื่อนคนหนึ่งขอความเห็น
         ดี ดี ดี  เพื่อนอีกคนสนับสนุน
         เรามาตกลงกันก่อนดีไหม?
         ห้ามเหลียวหลัง  แต่เอามือควานหาผ้าได้นะ
        ห้ามบอกหรือส่งสัญญานให้กันนะ
         ห้ามฟาดแรงๆ ด้วย

เมื่อได้ข้อตกลงแล้ว  ก็เริ่มเล่น  ทุกคนนั่งล้อมเป็นวงกลมบนลานดินใต้ร่มม         
มะม่วงเพื่อนคนหนึ่งอาสาเป็นมอญ   ถือผ้าเดินบ้าง วิ่งบ้างไปรอบๆวง                เอาผ้าซ่อนไว้ด้านหลังเพื่อนคนอื่นๆ  ร้องเพลงปรบมือกัน  พอเผลอ
มอญเอาผ้าวางไว้ด้านหลังคนใดคนหนึ่ง

            มอญซ่อนผ้า  ตุ๊กตา  อยู่ด้านหลัง
           ระวังดีดี  ฉันจะตีก้นเธอ.........

เล่นกันไป  หัวเราะกันไป  ผลัดกันเป็นมอญจนครบคนแล้ว

           พอแล้ว  เล่นอย่างอื่นดีกว่านะพวกเรา
            เล่นอะไรต่อดี   รีรีข้าวสารหรืองูกินหาง?
           รีรีข้าสารดีกว่า   จะได้เล่นชักเย่อต่อเลย
           ตกลง

เพื่อนสองคนประสานมือกันทำเป็นอุโมงค์ลอด  ที่เหลือยืนต่อแถวเกาะเอว       คนข้างหน้าแล้วเดินลอดอุโมงค์ที่เพื่อนประสานมือกัน  ร้องเพลงพร้อมกันไปด้วย

            รีรีข้าวสาร  สองทะนานข้าวเปลือก
            เลือกท้องใบลาน   คดข้าวใส่จาน
            พานเอาคนข้างหลังไว้

ตอนสุดท้ายของเพลงก็ลดมือคล้องตัวคนท้ายแถวไว้  แล้วถามว่าจะอยู่ฝ่ายไหน
ก็จะเลือกข้างไปยืนต่อหลังคนที่ประสานมือเป็นอุโมงค์  ทีละคนจนหมดแถว
ก็จะแบ่งเป็นสองพวกพอดี  จากนั้นสองฝ่ายก็ชักเย่อกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
แพ้ชนะตอนนั้นสำคัญมาก  แต่พอเล่นเลิกเราก็เลิกแล้วต่อกัน  ก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม

เบื่อแล้วมีเพื่อนบางคนขอตัวไปตักน้ำ  ตำข้าว  หรือกวาดบ้าน  ถูเรือน  
หรือผลัดยายดูแลน้องเผื่อยายจะทำงานบ้านอื่นๆ  เช่น หุงหาอาหารเย็น  
หรือเก็บพับเสื้อผ้าที่ซักตากไว้  ฯลฯ  เหลือบางคนที่ไม่มีภาระอะไร
  ก็เล่นหมากเก็บ   หรือเกมอื่นๆ  ที่เล่นกันแค่สองสามคนจนบ่ายคล้อย  
หรือใกล้ค่ำ  บางคนพ่อแม่มาตามเรียกกลับไปบ้าน  อาบน้ำ   กินข้าว                  

การละเล่นไทย ๆ  สมัยวัยเยาว์  เดี๋ยวนี้หายไปเยอะเลย  แต่ความทรงจำในวัยเด็กที่แสนสุขสนุกสนานยังแจ่มชัดอยู่ในใจเสมอ...........				
2 มกราคม 2552 07:46 น.

บาดแผลใจ

กันนาเทวี

คนเราไม่มีใครปรารถนาบาดแผลในใจแต่บางครั้งชะตาชีวิตก็ผกผัน
ทำให้เราต้องเผชิญกับสิ่งที่เราไม่ได้คาดคิด  สุรภีก็เช่นกัน

     "แม่ภีไม่ไปกะเขาได้ไหม  อีตาคนนี้หนูไม่ชอบขี้หน้าเขาเลย"
     "ไม่ได้หรอกลูกเขาเป็นทนายความที่ปรึกษาในบริษัทของเรา
       เราต้องให้เขาไปด้วยเผื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลกะบริษัทโน้น
       จะได้รู้ทันเขา"
      "ก็ไหนแม่ว่าคุณลุงเขาใจดีไงแม่  ญาติกันแท้ๆ"
      "เป็นญาติก็จริง  แต่เรื่องธุรกิจนี่ไว้ใจกันยากนะ"
      " แล้วอีตาทนายหน้าจืดนี่ละคะ  ไว้ใจได้แค่ไหนเชียว"
      "คุณพ่อไว้ใจเขาเสมอจ้ะ เขาทำงานให้ท่านไม่บกพร่อง"
       "แหมๆๆเชียร์กันจัง ชักหมั่นไส้เสียแล้วสิพ่อคนดี"
       "อิอิ  ลูกแม่นี่ ไม่เป็นผู้ใหญ่สักที"
        "ครานี้หนูจะได้พิสูจน์ ฝีมือละว่าทำงานแทนพ่อได้ไม่
          บกพร่องเหมือนกัน"
        "จ้าๆๆ..."

สุรภีเป็นลูกสาวนายยรรยงอภิมหาเศรษฐีร้อยล้านที่ทำธุรกิจการค้า
ขายข้ามชาติ  มีธุรกิจในเรือนทุนมหาศาลมากมายหลายอย่าง เธอเป็น
คนชอบเอาใจตนเองตั้งแต่เด็ก  มีปัญญาดีเรียนเก่ง  แต่หยิ่งในเกียรติ
มาก  เพราะถือว่าตนเองรวย  สวยมีบริวารคอยบริการเอาใจ

เมื่อปลายปีที่แล้วมานายยรรยงเกิดเสียชีวิตกะทันหันขณะทำงานในบริษัท
ด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันยังนำความโศกเศร้ามาให้กับลูกเมีย
เป็นอย่างมาก  สุรภีในฐานะทายาทสาวคนเดียวจึงต้องสละการเรียนต่อ
ในระดับปริญญาเอกในต่างประเทศเพื่อมาดำเนินกิจการต่อจากผู้เป็นพ่อ

      "นี่ชั้นสั่งให้นายจัดการให้เรียบร้อยทำไมยังไม่จัดการอีก  หา"
      "แต่คุณท่านบอกว่างานนี้เราต้องพิจารณาโดยรอบคอบผ่าน
        คณะอนุกรรมการของบริษัทก่อน  เพื่อกันหุ้นส่วนครหาได้นะครับ"
       "โอ้ย  น่าเบื่อรำคาญเสียจริงทำอะไรก็ชักช้าติดขัดไปหมดแบบนี้
         บริษัทคู่แข่งเขาก็แซงหน้าไปหมดสิ"
       "ทำธุรกิจการค้าบางอย่างก็ใจร้อนไม่ได้นะครับต้องรักษาภาพพจน์
         ของทางบริษัทด้วย"
        "นี่นายมาว่าชั้นทำภาพพจน์บริษัทเสียหายเหรอ"
        "เปล่าครับผมเพียงแต่ติงเตือน"
        " อวดดี"   
        "ครับ"
        "เอะ! นายนี่จะกวนประสาทชั้นรึไงหา  ว่าแล้วยังมาครับๆๆอยู่ได้"
       "ขอโทษครับ "

ศักดิ์ชัยทนายความของนายยรรยง  เป็นลูกน้องของเขามานานตั้งแต่
เขายังเริ่มกิจการใหม่  เขาเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานและพร้อม
เรียนต่อปริญญาตรีด้านกฏหมายไปด้วย  โดยนายยรรยงสนับสนุนมา
โดยตลอดเขาจึงรู้สึกสำนึกในบุญคุณและนับถือเขาเสมือนพ่อ และนาย
ยรรยงก็ไว้เนื้อเชื่อใจเขามาโดยตลอด

ด้วยความใกล้ชิดกันหญิงสาวยอมรับว่าศักดิ์ชายเป็นผู้มีความสามารถ
หลายด้านจริงๆเขาเรียนรู้และถ่ายทอดบุคลิคท่าทาง  ความคิดอ่านมา
จากพ่อเธอได้ทุกอย่าง  แต่เรื่องอะไรเธอจะยอมแพ้เขาละ  เธอมีความรู้
มีดีกรีและฐานะดีกว่าเขาตั้งเยอะ  สำคัญเธอเป็นจ้าวนายและเขาเป็น
ลูกจ้างรับเงินเดือนจากเธอ

แต่ใจเจ้ากรรมนี่สิมันไม่ได้เป็นดังตั้งสัจจาไว้เลย   นับวันก็จะเอนเอียง
เข้าหา  วันไหนเขาไม่มาไม่อยู่มันหงุดหงิด  งุ่นง่านจนระงับตนเอง
ไม่อยู่  นี่เธอเป็นอะไรไปนะสุรภีเริ่มถามตนเอง   ไม่ได้นะ   เขาเป็นใคร
เธอเป็นใคร   เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด

เงารักที่แฝงในใจเริ่มประจักษ์หากไม่ได้รับการต่อติดหรือเชื่อมต่อพลังรัก
นั้นคงจะมอดม้วยไปแต่อนิจจาเคราะห์กรรมนำชัก   หรือจะโทษอะไรดี
กิจการบริษัทที่เคยดำเนินมาด้วยดีก็มีอุปสรรคปัญหาเข้ามาจากพิษ
เศรษฐกิจโลก ทำให้เธอต้องอาศัยเขาช่วยเหลือติดต่อประสานงานมากมาย
จากความครางแครงใจที่เคยมีก็เลือนหายไป  ศักดิ์ชายกลายเป็นที่ปรึกษา
ประจำตัว  เป็นคนที่รู้ใจไปเสียทุกเรื่องทำไมนะใจเจ้ากรรม  ความหยิ่ง
ในศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงหายไปไหนหมดสิ้น  ต่อแต่นี้ชีวิตสุรภีจำเป็นอยู่
เพื่อเขาแล้วหรือเธอพยายามวนถามตนเองทุกครั้งที่อยู่ลำพัง

จะทำอย่างไรดี  เขาไม่ใช่ของเราๆ เขามีเจ้าของ น้อยภรรยาสุดรักและมี
น้องโอมลูกชายที่น่ารัก  สุรภีจะทำฉันใด หักใจหรือก็ช่างยากเย็นหรือ
ตามใจตนเองมันช่างนักหนาเหลือเกิน   พ่อจ๋าลูกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
ทำไมหนอคนเราต้องมีรักที่ผิดที่ผิดทางด้วย  .....

ไม่แปลกหรอกหากประสบการณ์ชีวิตต้องแลกมาด้วยความขมขื่น
เสียงสะอื้นระคนหยาดน้ำใสๆที่ไหลรินอาบร่องแก้มกับรักที่ระทมทุกข์

บ่อยไปที่ดวงตาแห่งปัญญามืดบอดเพียงเพราะชีวิตสมบูรณ์พร้อม
มีอันผกผัน   ต่อเมื่อเวลาล่วงผ่าน  เสมือนการส่องกระจกเงามอง
ใบหน้าตนเองช่างมีความไม่ดี  ขี้เหร่ไม่เอาไหนมากมาย

เอาเถอะอย่างไรก็เป็นบทเรียน    แม้จะเจ็บปวดปานใดก็ไม่ได้
เลวร้ายเสมอไป  อย่างน้อยก็สอนให้รู้จักตนเองมากขึ้น  เพื่อมี
ชีวิตอยู่อย่างอดทนเข้มแข็งต่อไป...............				
ไม่มีข้อความส่งถึงกันนาเทวี