20 มีนาคม 2549 21:02 น.
กะเรกะร่อน
เพราะเหนื่อยล้าจึงทอดกายลงนอนพัก
ปลดภาระอันหน่วงหนักวางไว้ก่อน
วรรคสายตาใต้ตะวันอันเรื่อยรอน
รำลึกถึงลมร้อนเมื่อหลายแล้ง
กลางหุบเขาฝนโปรยโดยยางสูง
ผีเสื้อเมืองเที่ยวทุ่งจนลืมแหล่ง
โบยบินอย่างเยาว์ใสใต้ฟ้าแดง
มาหลงแสงสีป่าบ้านนาไกล
หอมแกงส้มปักษ์ใต้ใส่ขมิ้น
ร้อนร้อนราดลวกลิ้นน้ำตาไหล
เคยชักน้ำบาดาลอาบสำราญใจ
ยังคลุ้งกลิ่นคราบไคลคนป่าดง
ยังซังข้าวกลางนาที่ย่าเกี่ยว
เราเข็นเกวียนเล่นเลี้ยวจนล้าหลง
นอนสูดกลิ่นขี้วัวคืนฝนลง
ดูแมงเม่าลงสรงกลางเปลวฟอน
มหรสพชีวิตขึ้นโลดเล่น
วาดเงาฉายฉากเด่นแห่งคืนก่อน
ต้องเดินฝ่ากี่ลมหนาวและร้าวรอน
จึงจะพบขุนขอนเขนงพิง
หนังตะลุงฉากสุดท้ายดับไฟแล้ว
ยังคล้ายแว่วเพลงพากย์อันรักยิ่ง
ค่อยตื่นตาขยับเท้าขึ้นก้าวชิง
คว้าภาระหนักนิ่งขึ้นเทียมตัว
มีวาระวุ่นวายอีกหลายหลาก
ที่โถมถากรุกไล่ให้เวียนหัว
สลัดทิ้งซึ่งไหวหวั่นและพรั่นกลัว
แบกหน้าที่ขึ้นโถมตัวออกเดินทาง.
7 มีนาคม 2549 11:58 น.
กะเรกะร่อน
เธอหนาวไหม ในค่ำคืนดื่นน้ำค้าง
กลางทุ่งกว้างสูดหายใจแห่งห้วงหาว
คนมากมายเคี้ยวกลืนกรวดเม็ดร้าว
เราอุ่นอ้าวอ้อมไอในทุ่งนี้
เดี๋ยวแลกข้าวแลกปลาประสาเพื่อน
ก่อนจะเคลื่อนพลเราให้เข้าที่
ทั้งเสียมจอบจับไว้ให้มั่นดี
แล้วพลิกดินผืนนี้อวดตะวัน
กว่าจะก้าวข้ามถึงยังทุ่งนี้
เธอล้มลุกหลายทีจึงเลิกหวั่น
กล้ำกลืนกรวดหลายเม็ดจนเข็ดคัน
แต่ยังเฝ้าหิวฝันคอยเติมฟอน
เกล็ดน้ำค้างสุดท้ายละลายแล้ว
ทุ่งยังอุ่นหายใจแผ่วแห่งคืนก่อน
ประตูสวนเริ่มสร้างแล้วด้วยอาทร
คงเขียวครึ้มบังร้อนอีกหลายปี
รั้วร่มไม้พันหลักล้อมรักบ้าน
ดอกไม้จะเบ่งบานทั่วท้องที่
สะดือทุ่งแย้มยิ้มอย่างยินดี
คนเปรมปรีดิ์ในอุ่นอ้อมระหว่างกัน
น้ำค้างหนาวแค่หนาวบนผิวแก้ม
น้ำใจโชนคืนแรมคลายไหวหวั่น
หากใครหนาวคงเพราะเขาไม่แบ่งปัน
เฝ้าตระกองกีดกั้นเพื่อผลตน
จึงโดดเดี่ยวเดียวดายในทุ่งกว้าง
จึงรู้สึกอ้างว้างและสับสน
ยังเหลือกรวดเม็ดสุดท้ายให้ทุกคน
ก่อนผ่านพ้นยามศักดิ์สิทธิ์แห่งวงกาล
นกสีเหลืองจะเหยียบย่างฤดูใหม่
เดี๋ยวประตูจะผลิใบป้องรั้วบ้าน
เราจะแบ่งเวรตรวจสำรวจงาน
พรวนดิน กวาดลานและร้องเพลง
ส่วนคุณ..จะกลืนกรวดด้วยกันไหม?
มาแบ่งอุ่นอ้าวไอแทนอวดเก่ง
นอนในทุ่งที่เก่าของเราเอง
ร่วมจารึกบทเพลงสันติธรรม.
๕ มีนา ๔๙
4 มีนาคม 2549 04:31 น.
กะเรกะร่อน
ราตรีคลี่ผมห่มฟ้าขาว
น้ำตาดาวรินทางหว่างหญ้าหวาน
สิบหมื่นตาโชนไหวในชนธาร
สิบหมื่นเท้าย่างผ่านมิติภพ
ท้องถนนหนทางพรางม่านหมอก
แว่วระลอกคลื่นน้ำตาขึ้นกล้ากลบ
ภาพดอกแก้วร่วงกราวคราวโพล้พลบ
บรรลุจบรอยแจ่มแอร่มชัด
โชยกลิ่นคาวกรุ่นกล้าประสาแก้ว
กลีบแล้วกลีบเล่า...เขาคว้าตัด
ยังหายใจรอนร้าวห้าวฮึดฮัด
ก่อนจะลัดลาล่วงสู่ห้วงฟ้า
ค่ำคืนนี้แดงแก้วกรุ่นเดือนหอม
ความหลังห้อมห่มถามย้ำเตือนว่า
ร้อยหมื่นคนเคยแลกชีพด้วยวิญญาณ์
พันหมื่นเท้าเคยพลิกฟ้ากระเทือนจันทร์
ราตรีคลายคลี่ผมห่มหมอกเมฆ
หอมวิเวกแก้วเก่าในเงาฝัน
ท้องถนนบ่ายหน้าหาตะวัน
แก้วแบ่งช่วงผลิชั้นในวันนี้
ปรารถนาสันติวาดผงาดฟ้า
แก้วหอมกล้าคราวใหม่ไว้ที่นี่
หากเขาหาญตัดเจ้าผองอย่างลองดี
ให้รู้ว่าโลกนี้ไร้ค่าธรรม
เราปลูกแก้วกอใหม่ให้หอมบ้าน
อย่ารุกรานสวนใหม่ไล่ล้มคว่ำ
อย่าขย้ำกลีบใหม่ให้มอดดำ
เราจะก้าวล่วงล้ำมิติไฟ.
3 มีนาคม 2549 03:22 น.
กะเรกะร่อน
ห้วงอากาศเอกาเธอว้าเหว่
ลมเร่หอบฟางฝันไปฝั่งไหน
หยิ่งศรัทธายิ้มผยองสิ่งครองใจ
เธอแขวนติดยึดไว้เป็นมรรคา
เธอแย้มสิ่งมั่นผยองครรลองฝัน
ตื่นตามองดูตะวันจะดีกว่า !
เห็นไหมสาว....นั่นชีวิต...นี่น้ำตา
ในความจริงไหนละค่าอุดมการณ์
เราดื่มกินห้วงหายใจอวกาศ
ลางคราวพลาดทิ้งเมล็ดพันธุ์เคยเพาะหว่าน
ธรรมดา จริงแท้ ทุกต้องการ-
ย่อมแปรเปลี่ยนทุกทิวารที่ผ่านลา
ในห้วงอากาศเอกาอย่างว้าเหว่
เธอออกเร่เก็บฟางฝันไล่ตามหา
อย่ายึดติดวิถีมั่นบนมรรคา
ปล่อยศรัทธางอมฟ้าฝนบนโลกจริง !
๒ มีนา ๔๙