22 เมษายน 2548 17:42 น.
กอกก
ราตรีประดับดาว แสงแวววาวผิวทะเล
เสียงคลื่นเจ้ากล่อมเห่ แสนว้าเหว่ห้วงหัวใจ
เหม่อมองทะเลครวญ รอยรัญจวนสนิทนัย
ลึกล้ำเกินคำไข ปวดร้าวในห้วงใจคน
นางหนึ่งเจ้าผันผ่าน โฉมสะคราญมุ่งสู่ชล
ยลรอยความกังวล อัสสุชลคลอดวงตา
พิศพักตร์เจ้างามผ่อง ใยหม่นหมองยามมองหา
ผ่านเลยถึงธารา เพียงหันหน้าชายตามอง
สายน้ำที่เยือกเย็น คลื่นกระเซ็นย้ำผิวผ่อง
โสมขับจับดาวส่อง งามเทียมทองยามได้ยล
ใยเจ้ามิยั้งก้าว หาดทรายขาวสู่สายชล
หายไปในวังวน ขาดเงาคนมิหวนคืน
ครืนครืนเสียงซัดสาด ป่าวประกาศว่ายังตื่น
ทะเลทุกวันคืน มันก็ตื่นอยู่ร่ำไป
เพียงโฉมเจ้าลาลับ ไปมิกลับหรือไฉน
โศกเอ๋ยโศกอันใด จึงทำให้คิดสั้นเอย
สุดห้วงบ่วงความคิด ตามประชิดเจ้าทรามเชย
อันใดจึงร้างเลย ชีวิตเคยอภิรมย์
คว้าร่างอรชร โอบสมรดั่งใจสม
อุ้มร่างนางระทม ขึ้นสู่ฝั่งได้ดั่งใจ
งามยิ่งนักโฉมเอ๋ย ใยมิเอ่ยคำปราศรัย
เจ้านอนพับหลับไหล นั้นทำให้ข้าโศกตรม
กายเจ้าที่เย็นเฉียบ กลางความเงียบยินแต่ลม
หวีดหวิวห้วงโพยม เสียงดังขรมหวั่นอุรา
ลมหายใจเจ้าสิ้นสาย เสียงเงียบหายใจประหม่า
พลิกกลับจับกายา นอนคว่ำหน้าใส่บ่ายืน
โอบอุ้มขึ้นเขย่า.. เพียงเบาเบาให้เจ้าตื่น
สายน้ำที่เจ้ากลืน ให้ไหลคืนกลับออกมา
โฉมเจ้ายังนอนนิ่ง ดุจเจ้าทิ้งความปรารถนา
ไม่หวนทวนเวลา กลับเคหาโลกพิไล
ริมฝีปากรูปกระจับ สัมผัสรับลมหายใจ
ถ่ายทอดความห่วงใย ที่รินไหลสู่กายนาง
สายลมจากดวงใจ อิงอุ่นไอจากเรือนร่าง
แสงส่องแม้นเลือนลาง พิศกระจ่างงามละไม
คิ้วโกร่งดั่งคันศร เส้นผมอ่อนดุจใยไหม
สะคราญแม้หลับไหล.. เพราะเหตุใดใยเจ้าโศก
โฉมเอยใยเจ้าเศร้า เหตุใดเล่าวิปโยค
เปรียบเหมือนโลกทั้งโลก ตามเศร้าโศกมิเว้นวาย
โอบกอดเจ้าหอมกรุ่น เอื้อไออุ่นให้หนาวคลาย
ลูบผมพลิ้วสยาย เจ้าเคลื่อนกายลืมตามอง
ดวงตาที่หมองเศร้า มิต่างเราที่หม่นหมอง
สบตาคราประคอง เจ้าก็มองสบสายตา
จวบรุ่งอุษาสาง อยู่เคียงข้างต่างมองหา
เพียงพบเพื่อสบตา หมื่นวาจาต่างเงียบงัน
สัมผัสหน้าต่างใจ บ่งบอกนัยสู่ใจกัน
แทนถ้อยคำรำพัน ความกดดันในจิตใจ
จนแสงสุรีย์ส่อง เพลาต้องจรจากไกล
ต่างคนต้องต่างไป ต่างเข้าใจโลกของตน
พบกันเพื่อพลัดพราก.. หันหลังจากริมฝั่งชล
หันหลังเพื่อตัวตน คนค้นคนต่างเข้าใจ
อย่าผูกความสัมพันธ์ มันเหมือนฝันที่อ่อนไหว
ความเจ็บสั่งสอนให้. รักษาไว้ทั้งใจกาย
หาดทรายที่พาดยาว กับรอยก้าวบนพื้นทราย
ไม่นานลบรอยหาย สูญสลายแม้รอยลาง
เงาร่างทับทางแยก มันไม่แปลกต้องแยกทาง
เดินถนนต่างอ้างว้าง ดีกว่าสร้างแผลทางใจ.@
...........................
21 เมษายน 2548 12:40 น.
กอกก
** ฝังไว้ในทะเล **
คลื่นระริ้ว พลิ้วไหว ในคืนเศร้า
ใยใจเรา รันทด สลดหมอง
เป็นเกลียวสาด หาดทราย คล้ายละออง
ขาวฟูฟ่อง ต้องแสง แห่งจันทรา
ไหวระยับ กับภาพ ที่ทาบฝัน
คลื่นต้องจันทร์ วิบวับ งามหนักหนา
รัตติกาล คืนนี้เห็น เป็นมายา
แม้นแสงทา ทอฉาบ อาบคลื่นครวญ
เดือนกับดาว พราวฟ้า เบื้องหน้านั้น
นวลแสงจันทร์ มาดล จนใจหวน
ณ คืนนี้ ที่ริมหาด คลื่นสาดกวน
เริ่มทบทวน ความรู้สึก เบื้องลึกใน
คงเพราะกรรม นำฉัน นั้นมานี่
น้ำตาที่ เคยกลั้น มันหลั่งไหล
ก้าวเท้าเหยียบ ชายหาด ลาดลงไป
ทิ้งรอยไว้ เบื้องหลัง อย่างระทม
น้ำกระเซ็น โถมใส่ กายให้เปียก
เสียงใครเรียก ลงสู่ ทะเลขม
เดินลุยน้ำ ย้ำค่า ว่าโง่งม
หวังให้จม เพื่อปลิด ชีวิตตน
น้ำถึงเอว ถึงอก ถึงหัวไหล่
คลื่นสาดใส่ สำลัก มิจักสน
ร่างจมน้ำ นำดิ่ง หยิ่งเหลือทน
วิญญาณตน ฝังไว้ ในทะเล
**********
18 เมษายน 2548 20:44 น.
กอกก
** ชิงช้า คนเหงา **
แสงแดดจ้า แต่เรา กลับเทาทุกข์
เฝ้าเจ่าจุก กับอดีต ที่กรีดฝัง
จำเสียงคลื่น เคลียเคล้า เราเคียงฟัง
เป็นความหลัง ฝังฝาก วิบากตรม
มาที่นี่ อีกหน อย่างคนเศร้า
ความทุกข์เรา ร้อนรน จนขื่นขม
ข้ามทะเล ฝ่าคลื่น มาชื่นชม
ให้สาสม คิดถึง กึ่งซมซาน
มิมีใคร เป็นเงา เฝ้าตามติด
เพราะลิขิต ขีดเส้น เป็นขนาน
ทางสายนี้ มีแค่ คนร้าวราน
ทรมาน เพียงไหน ไม่สนมัน
เสม็ดใหญ่ ใกล้หาด พาดกิ่งลู่
ชิงช้าอยู่ ที่เก่า เฝ้าคอยฉัน
สงบนิ่ง ชะรอย คอยโล้มัน
น้ำตาพลัน คลอเบ้า ไม่เข้าใจ
นำพาร่าง ย่างหา ชิงช้าเศร้า
คนใจเหงา คำนึง คิดถึงไหม
เขาคนนั้น พลันพราก จากไปไกล
ปล่อยฉันไว้ เดียวดาย ใจปลิดปลิว
นั่งชิงช้า คอยใคร มาไกวเห่
ลมทะเล พัดเอื่อย เฉื่อยเฉื่อยฉิว
หาดทรายทอง น้ำ ขอบฟ้า เจิดจ้าวิว
อาจลบริ้ว บางช่วง แห่งห้วงใจ
*************
8 เมษายน 2548 01:01 น.
กอกก
...เส้นทางเหงา...
เส้นทางเหงา.....
มีเพียงเราลำพัง วังวนหมอง
กลางกระแสผู้คน ล้นก่ายกอง
ใจไม่ผ่องเหมือนคล้าย หน่ายโลกลวง
เดินก้าวไปในทาง ที่ย่างเหยียบ
เย็นยะเยียบโหยหา คนห่วงหวง
เหนื่อยหนักหนาล้าล้น คือผลพวง
จึงขอหน่วงเจ็บนี้ ที่ยอกใจ
เดินทางไกลใจเหงา เศร้าเหลือล้น
อึดอดทนเท่านั้น วันหวั่นไหว
คนอ่อนแอแพ้รัก เคยชักใย
จึงโหยไห้มีน้ำตา มิลาเลือน
ใบหน้ายิ้มพริ้มละไม ทั่วใบหน้า
แต่อุราเจ็บใน คล้ายใครเฉือน
ตามหารักที่ร้าง เริ่มลางเลือน
ฝืนหน้าเปื้อนสดใส ใคร่หลอกลวง
มองผู้คนขวักไขว่ ใจกลับเหงา
มีเพียงเราเขลาขลาด ทาสแห่งสรวง
ชาชินแล้วพลัดพลาด ปราศคู่ควง
กาลละล่วงจะขอเหงา เศร้าต่อไป
**************
1 เมษายน 2548 01:12 น.
กอกก
..สาใจ..
ชีวิตนี้ มีหลายหน แทบจนตรอก
ความช้ำชอก รุมมา กว่าห่าฝน
อัปยศ ตอกย้ำ ช้ำเสียจน
ยับ ปี้ป่น ล้นท่วม อ่วมดวงแด
รักใครเขา เราหมอง ต้องตรมเศร้า
ชีวิตเรา แสนเพลีย เฝ้าเลียแผล
เยิน ย่อย ยับ กับหทัย ไร้คนแล
เหลือเพียงแค่ ซากรัก ปักล้นทรวง
ไร้คู่ชม ขมจิต ด้วยพิษรัก
ถูกหาญหัก จับจ้อง แย่งของหวง
ทิ้งลูกสาม พยานโศก สู่โลกลวง
บาปแห่งห้วง กามนี้ โลกีย์กลาย
โลกหมุนไป ใจคลาย คล้ายหายเจ็บ
พร้อมกอปรเก็บ เขาเสริม เติมส่วนหาย
ชีวิตฟื้น คืนสุข ทุกข์เริ่มวาย
มาเจียนตาย อัสนี ที่ฟาดลง
ถูกตราหน้า ว่าหม้าย ปูนหมายหัว
เป็นกาชั่ว จงเจียม อย่าเทียมหงส์
เหมือนเช่นลิ่ม ทิ่มตอก เต็มแรงลง
เลือดทะนง ทะลัก สะบัด จร
มีน้ำตา ไหลย้อน ตอนสะอื้น
กลั้นขมขื่น ฝืนไว้ ใจสั่งสอน
แสนเหน็บหนาว ร้าวนัก กับรักรอน
หักใจถอน เจ็บทรุด สุดเปรียบเปรย
โลกวันนี้.....
เหลือร่างที่ นิ่งเงียบ และเรียบเฉย
นัยน์ตาว่าง เปล่าดาย คล้ายทรามเชย
ขอคุ้นเคย ทุกข์ล้า ให้สาใจ
******************