25 ตุลาคม 2552 10:51 น.
กวีเดินดิน
๏ดุสิตามาลาแห่งลานหิน
ขึ้นเราะรินริมน้ำสราญไหว
สีม่วงเข้มเต็มพื้นดื่นดาษไกล
ดุจอำไพไววับสดับลม
๏เจ้าเป็นไม้รายล้อมอ้อมแนวป่า
ตระการตาคราดอกออกสวยสม
ดุสิตาพาจิตคิดภิรมย์
หากได้ชมคงชื่นรื่นฤดี
๏ดอกน้อยน้อยร้อยสอดกอดกลุ่มหญ้า
เป็นผกาคราเคล้าเร้ารวมสี
ทั้งม่วงขาวพราวพรายรายพงพี
ชลทีทอดทุ่งคลุ้งเนืองนอง
๏เห็นเป็นภาพอาบกลิ่นถิ่นทุ่งหญ้า
ชวนตรึงตรามาลาหามีสอง
ถึงปลายฝนต้นหนาวคราวชวนมอง
ชมชื่นปองผองไม้ริ้วรายไพร
๏พระนางเจ้าฯทรงประทานนามไม้ป่า
“ดุสิตา”ได้มานานขานไข
ถือเป็นเกียรติแก่ผืนพืชพงไพร
ชื่นฤทัยไม้งามดุสิตา
25 ตุลาคม 2552
กวีเดินดิน
21 ตุลาคม 2552 10:18 น.
กวีเดินดิน
๏แม้คืนเงียบสงบประสบหล้า
ใจยังพาโหยหวนครวญอาสันต์
โอ้ใจเราระรัวกลัวใดกัน
จึงก่ายกันผันหน้าคราล้มนอน
๏จะใช้มือปรือป้องต้องความเงียบ
ให้ดังเปรียบหลับใหลในไพรสร
ปิดหน้าต่างพรางค่ำทำอาวรณ์
เสียงเอื้อนกลอนยังหลอนชอนฤทัย
๏ทั้งขลุ่ยเป่าเศร้าแล้วแคล้วคนอยู่
แต่มิรู้คู้ร้องมองอยู่ไหน
จะแอบอิงสิงซ่อนวอนหลอกใคร
ใจเอ๋ยใจไฉนสั่นหวั่นระรัว
๏พอใกล้หลับเสียงกรับดังอีกแล้ว
ขอบฟ้าแนวยังค่ำทำสลัว
เสียงตะโพนโทนฉิ่งยิ่งพากลัว
ระนาดรัวทั่วรางครางเป็นเพลง
๏พอตกดึกฝึกใจให้มาดมั่น
มิหวาดหวั่นกันจิตคิดข่มเหง
ดนตรีโศกโลกไหนใช่บรรเลง
แท้ตัวเองสร้างเพลงวังเวงใจ
21 ตุลาคม 2552
กวีเดินดิน
12 ตุลาคม 2552 19:45 น.
กวีเดินดิน
พี่อิดรวนหวนเหซวนเซรัก
เหมือนถูกผลักปักหนามหยามไม่สน
เพราะบุญน้อยพลอยซ้ำกล้ำคำคน
เป็นวังวนเย้ยหยันหวั่นให้ตาม
เขาชี้ว่ากล้าคิดผิดที่แล้ว
มองเห็นแววแนวรักจักห้ามหาม
แค่วาจาล้าลวงทั้งปวงทราม
อย่าทาบทามลามเรื่องเฟื่องปัญญา
โอ้...คุณค่ามาล่วงกลลวงรัก
แต่สุดหักพักใจไฉนหา !
ขันหมากพี่ตรีแล้วแคล้วมายา
มินำพาว่าคำซ้ำทำลวง
เพราะเงินน้อยพลอยหมดลดคุณค่า
อกล้างลามาพบประสบสรวง
ว่าความรักตระหนักแล้วทุกแนวปวง
ต้องเจ็บทรวงดวงแดเป็นแน่ใจ
เมื่อได้ยินสินสอดกอดอกเศร้า
ด้วยนงเยาว์เอาเรื่องเคืองผลักไส
ตรีค่าคนด้วยทรัพย์กลับฤทัย
มิอาลัยไยดีที่เคยทำ
จึงรู้ซึ้งตรึงใจในครานี้
จบกันทีที่รักพักต์งามขำ
โอ้..ว่าน้องตรองดีหรือที่ทำ
ไฉนนำคำคนปนกับใจ
ขันหมากพี่มีค่าสิ่งใดเล่า
ถูกอ่านเอาเผาแผดแสบแค่ไหน
แค่ขันหมากอยากไร้ใช้เทียบใคร
ความจริงไฉนเปรียบเทียบกับเงิน
12 ตุลาคม 2552
กวีเดินดิน
6 ตุลาคม 2552 11:18 น.
กวีเดินดิน
เพราะว่าคนที่เรียกสัตว์ประเสริฐ
คิดดูเถิดโชคดีเป็นแค่ไหน
มีสติปัญญากว่าสัตว์ใด
ได้กำไรมีทุนดีกว่ามัน
เรามีมือได้ไหว้องค์พระสงฆ์
จงดำรงทำความดีอย่าหุนหัน
เรามีตาเห็นโลกเปลี่ยนรายวัน
แต่ยังดันหลงผิดติดโลกีย์
เราหลายคนในโลกยังยึดติด
ยังหลงสิทธิ์หลงรสหลงกลิ่นสี
ทำอะไรจงคิดให้พอดี
สติมีปัญญาเกิดเลิศเป็นคน
เรามีหูได้ยินสิ่งดีชั่ว
เรารู้ตัวเลือกทำได้ทุกแห่งหน
ฟังพระธรรมได้คิดการเวียนวน
ว่าหมู่ชนที่เกิดเพราะใช้กรรม
เรามีตัวยืดตรงตั้งกับพื้น
ให้ได้ยืนมีสง่าดูคมขำ
ไม่ต้องแนบกับพื้นเหมือนสัตว์ทำ
ที่มีคำพูดว่าสัตว์เลื้อยคลาน
เรามีวงศ์ตระกูลแต่เก่าก่อน
มีครูสอนให้รู้เรื่องแตกฉาน
เรามีเพื่อนพี้น้องพ้องวงศ์วาร
มีถิ่นฐานกำเนิดสืบสานไป
เรามีชื่อมงคลดำรงสิทธิ์
จะประดิษฐ์ให้เพราะสักแค่ไหน
ก็แล้วแต่จะตั้งแต่งให้ใคร
ไม่ถูกใครกล่าวเรียกตามเผ่าพันธุ์
ที่กล่าวมาเพราะว่าจำต้องคิด
อย่างหลงผิดมัวคิดความสุขสันต์
มีโอกาสรีบทำกุศลกัน
จึงสัมพันธ์กับคำที่ว่า “ คน”
6 ตุลาคม 2552
กวีเดินดิน