10 พฤษภาคม 2547 17:05 น.
กวีบ้านไร่
ณ ย่ำคืน มืดค่ำ กระด่างดำด้วยห่างแสง
ฝูง นก แลแมลง ก็บินว่อน ลู่เล่นลม
สายฝนโปรยลงฟ้า สู่ผืนนาให้ชื่นชม
กบเขียดร้องระงม เคล้าเป็นเพลงเพราะเรไร
ข้าวไหวใบเขียวอ่อน หิ้งห้อยว่อนส่งแสงไป
ราวกับมีงานใหญ่ สมโภชกันกลางเวียงวัง
ท่ามกลางเงาราหู ลมพัดลู่เป็นมนต์ขลัง
ไก่ร้องส่งเสียงดัง ปานจะบอกเอ่ยความใน
ฟ้าแจ้งแสงส่องหล้า เห็นธาราที่นองไหล
เต็มเปรี่ยมล้นออกไซ รอปลาไหลเข้ามาชม
ข้าวเขียวก็ตั้งท้อง แย้มรวงทองล่องเล่นลม
เหมันหวนมาชม ธนูว่าวร้องเพลงไพร
รวงทองจะผลิแย้ม สีทองแต้มเต็มท้องไร่
ห้อมฟุ้งคลุ้งกลิ่นไอ เสน่ห์ทุ่งสืบทอดมา
วิถีแห่งชาวบ้าน สืบตำนานแห่งชาวนา
ธรรมชาติเล่าขานมา ชนพื้นบ้านวิถีไทย
6 พฤษภาคม 2547 15:45 น.
กวีบ้านไร่
หมดความหวัง หลังรู้ประกาศผล
เกือบวายชนชื่อไม่มีที่ในฝัน
คณะเด่น มหาลัย เขาเรียนกัน
แต่เรานั้นเดินคอตก จากชุมชน
ณ ตอนนั้นน้ำตามาจากไหน
ไหลนองไป ชาติชายอับอายล้น
ตั้งสติคิดได้ในกมล
ชีวิตคนไม่ใช่อยู่กับที่เข้าเรียน
จึงสมัครเรียนต่อ ราชภัฏ
วางเกณฑ์จัด หมั่นเรียนฝึกอ่านเขียน
สานต่อฝัน ตั้งหน้า มาพากเพียร
จบการเรียนก็ได้ใช้ปริญญา
มาตอนนี้จบแล้วเป็นบัณฑิต
ชวนคบคิดถึงอดีตตอนศึกษา
จบที่ไหน ค่าของบัตรปริญา
จบออกมา ค่าตรี โทร ก็เท่ากัน
มาวันนี้ยังคิดและสับสน
ค่าของคน ใครเล่ามาสร้างสรร
คนเก่งดีเพราะปัจจัยอะไรนั้น
ช่วยตอบกันถามใจเราเข้าใจเอง
4 พฤษภาคม 2547 14:42 น.
กวีบ้านไร่
บนถนนหนทางแห่งชีวิต
โดนลิขิตขึ้นมาอย่าสับสน
ให้เข้าแย่งแข่งสู้กับเล่ย์กล
กับผู้คนในสังคมที่ต่างใจ
มีบางครั้งเคว้งคว้าและสับสน
โลกมืดมน ยังค้นหาทางฟ้าใส
บนพรำพร่ำกับตัวเองสู้ต่อไป
เพื่อเส้นชัยให้ก้าวอย่างมั่นคง
กลางป่าหนามสังคมเมืองที่แข่งขัน
แกร่งแย่งกัน ฉุดเยื้อ ดั่งประสงค์
คนไหนด้อย จะคอยย่ำให้ต่ำลง
สังคมหงษ์ พวกฟูงกาไร้สิทธิบิน
มองหาใครที่จริงใจในวันนี้
คงไม่มีธารน้ำใจให้ถวิล
มีภาพหลอกปั่นล่อแต่งชีวิญ
คำได้ยินคือวาจามาแต่งลวง
4 พฤษภาคม 2547 10:16 น.
กวีบ้านไร่
บนถนนหนทางแห่งชีวิต
โดนลิขิตขึ้นมาอย่าสับสน
ให้เข้าแย่งแข่งสู้กับเล่ย์กล
กับผู้คนในสังคมที่ต่างใจ
มีบางครั้งเคว้งคว้าและสับสน
โลกมืดมน ยังค้นหาทางฟ้าใส
บนพรำพร่ำกับตัวเองสู้ต่อไป
เพื่อเส้นชัยให้ก้าวอย่างมั่นคง
กลางป่าหนามสังคมเมืองที่แข่งขัน
แกร่งแย่งกัน ฉุดเยื้อ ดั่งประสงค์
คนไหนด้อย จะคอยย่ำให้ต่ำลง
สังคมหงษ์ พวกฟูงกาไร้สิทธิบิน
มองหาใครที่จริงใจในวันนี้
คงไม่มีธารน้ำใจให้ถวิล
มีภาพหลอกปั่นล่อแต่งชีวิญ
คำได้ยินคือวาจามาแต่งลวง
บนถนนหนทางแห่งชีวิต
โดนลิขิตขึ้นมาอย่าสับสน
ให้เข้าแย่งแข่งสู้กับเล่ย์กล
กับผู้คนในสังคมที่ต่างใจ
มีบางครั้งเคว้งคว้าและสับสน
โลกมืดมน ยังค้นหาทางฟ้าใส
บนพรำพร่ำกับตัวเองสู้ต่อไป
เพื่อเส้นชัยให้ก้าวอย่างมั่นคง
กลางป่าหนามสังคมเมืองที่แข่งขัน
แกร่งแย่งกัน ฉุดเยื้อ ดั่งประสงค์
คนไหนด้อย จะคอยย่ำให้ต่ำลง
สังคมหงษ์ พวกฟูงกาไร้สิทธิบิน
มองหาใครที่จริงใจในวันนี้
คงไม่มีธารน้ำใจให้ถวิล
มีภาพหลอกปั่นล่อแต่งชีวิญ
คำได้ยินคือวาจามาแต่งลวง
4 พฤษภาคม 2547 10:04 น.
กวีบ้านไร่
มองเห็นเขาอยู่เคียงคู่กันนาน
ทรมานคนมอง ใจสั่นไหว
เธอชั่งทำลงได้ไม่เห็นใจ
ลืมหรือไรเรื่องเก่าเรารักกัน
นั่งกอดเข่าซึมเศร้าไม่เข้าจิต
มีเรื่องคิดมากมายโหมใส่ฉัน
ทั้งสับสนกับคำรัก หรือลากัน
แล้วภาพนั้นมันเกิดมาได้ยังไง
ชายคนนั้นเป็นใครเล่าที่รัก
ที่มาทักทำทีส่งใจให้
เห็นเธอเขาหยอกเย้าอย่างเข้าใจ
เขาเป็นใครบอกได้ไหมคนดี
เธอก็มองดูฉันไม่อยากตอบ
ฉันแอบชอบและคบหาเขาน่ะซี
คำพูดเธอเหมือนมีดสั้นมาหั่นจี้
โถ่คนดี เธอนี้ชั่งเปลี่ยนไป
ฉันนั่งเฝ้าตามจีบจะปีห้า
แล้วเขามาเดี๋ยวเดียวเธอหวั่นไหว
ความสัมพันธ์สองเราต้องสิ้นไป
เพราะเธอไง ทำได้ไม่แลกัน
มาวันนี้ฉันเองทำใจได้
เธอกลับใจจะหวนมาอยู่กับฉัน
เธอเล่าบอกขืนคบไปกับเขานั้น
ไม่มีวันจะสุขเหมือนสองเรา
คำพูดเธอฉันเองนั้นสับสน
นี่หรือคนเคยคบหาชั่งโง่เขลา
ทีหลอกฉันบอกว่ารักสองเรา
ไม่อาจเข้ากันได้ถ้าฝืนใจ
ฉันจึงตอบออกไปย่างระรื่น
เรื่องจะฟื้นคืนรักคงไม่ได้
เพราะฉันเองเจ็บแล้วจำฝังใจ
ที่ทำได้แค่เพื่อนร่วมโลกัน