25 พฤศจิกายน 2552 16:04 น.
กวีบ้านไร่
ท่านสมัคร จากไป อาลัยยิ่ง
จากทุกสิ่ง สู่สรวงห้วงสรรค์
ท่านนายก ผู้จริงใจ ในวันนั้น
ที่ฝ่าฟัน ศรัทธา มหาชน
พูดจริง จริง ไม่เสแส้ง แกล้งปลิ้นปลอก
หรือจะหลอกลวงใจ ให้ฉงน
คิดสิ่งใด พูดไป ไร้เล่ห์กล
จนผู้คนหลายชนชั้น ต่างศรัทธา
อาจมีบ้างบางคนไม่ชมชื่น
บางคนฝืน ศัทธา ส่งมาหา
แต่เราจำสิ่งดีงาม ท่านมีมา
กับเวลา ท่านสร้างคุณความดี
โปรดจงจำสิ่งดี งามที่ท่านสร้าง
ทิ้งบาดหมาง อโหสิ ในที่นี้
คุณความงาม ท่านสร้างบารมี
มากเกินที่ จะอ้างมาจารจร
กวีบ้านไร่ ขอบคุณท่าน
ที่แบ่งปันความรู้ มาสั่งสอน
ทำกับข้าว เดินตลาด เอื้ออาทร
ทุกทุกตอนแห่งบท ยังจดจำ
วงแวนรอบนอก คิดสร้างแก้ปัญหา
หลายท่านจา ว่ากล่าว บอกน่าขำ
มาวันนี้ เห็นทราบกับท่านทำ
นี่คือบทนำ ที่อ้างกล่าวขึ้นมา
ขอให้ท่านไปสู่สุขคติ
ขออโหสิให้กวีฯ อย่าถือสา
บางครั้งพลาด กล่าวเกินล่วงวาจา
อย่าได้มาถือโทษ กวีฯเลย
ขอไว้อาลัยให้ท่านนายก คนที่๒๕ อย่างสุดซึ้ง กวีบ้านไร่ขอจดจำคุณงามความดีท่าน ครับ
20 พฤศจิกายน 2552 13:34 น.
กวีบ้านไร่
วังน้ำเขียว ที่รัก
ฉันจะพัก ริมทางใจให้สมหวัง
เห็นแดดส่อง คิดหวนก่อนเมื่อครั้ง
สองเรายัง สดชื่น ดูรื่นรมย์
วังน้ำเขียว เขียวชื่น ชื่นดวงจิต
งามดวงพิศ พิศสมัย ใจสุขสม
แสงสีทอง ยามเช้า เฝ้าชื่นชม
งามภิรมย์ เลิศยิ่ง วังเวียงทอง
เบญจมาศดอกใหญ่ เหลืองอะร่าม
ทอความงาม งามพิศพริ้ง ชวนฉลอง
เพราะงาม อะร่าม กับหมอก ชวนมอง
ถิ่นแดนทอง วังน้ำใจ เมืองย่าโม
วังน้ำเขียว เหลี่ยวหลัง ครั้งสดชื่น
ช่างดูรื่น รื่นรมย์ สุโข
เมื่อครั้งนั้น มีหลานแม่ย่าโม
เป็นคนโชว์ ความงาม วังเวียงทอง
นางก็พา เราชม เขาแพงม้า
จึงแกล้งว่า ศรใจ มัดเราสอง
นางเอ๋ยบอก ว่าอย่าแกล้งให้ใจมอง
แล้วก็ต้อง ระทมเมื่อจากลา
แล้วจึงเดิน ชมกระทิง ทิ้งความเศร้า
เมื่อครั้งเรา นั่งเล่น อย่างหรรษา
ดูผีเสื้อ สวนองุ่น งามอุรา
จึงแกล้งว่า สงสารใจเมื่อไม่มีเธอ
มาแอบเศร้า เฝ้ามองตะวันตก
ใจเราหก ผาเก็บตะวัน ให้ใจเม่อ
เมื่อเธอฝาก รอยรัก ปักษ์ใจเจอ
หรือว่าเธอ ตกผาไปกับตะวัน
พอตอนเช้า เข้าชมสวนองุ่น
แดดอุ่นๆ กระทบผล จนใจฝัน
เห็นแสงทอง ส่องรักผูกสัมพันธ์
แต่กะนั้น ก็ไร้ผลเพราะขาดเธอ
++++++ว่างๆ ไปวังน้ำเขียวกันนะครับ++++++++
18 พฤศจิกายน 2552 18:16 น.
กวีบ้านไร่
สะเก็ดดาว
ร่วงถามข่าว ใครหลายคนไหม
ดาวคง ไม่ลืม คนที่คอยห่วงไย
ที่ส่งใจ ไปกับดาวดวง
สะเก็ดดาว
ข่าวคราว คนนั้นหายไปเกินใจหวง
ช่วยบอก เขาด้วยนะมีคนห่วง
อย่าปล่อยให้ดวงดาว คอยจนหนาวกาย
สะเก็ดดาว
คงจะหนาว เกินกว่าจะผ่อนคลาย
คงเหมือนเรา ที่ลมหนาวซึมผ่านกาย
ดูก็คล้าย ใจหนาว รอคนคอย
สะเก็ดดาว
ช่วยส่งข่าว ว่ามีคนหนึ่งที่เหงาหงอย
มีคนหนึ่ง ที่ห่วงไยและรอคอย
รอดาวลอย ส่งข่าวยามนิทรา
สะเก็ดดาว
เคยพราวแสง อย่าอับหายไปจากฟ้า
ให้เจ้าเด่น ส่งรักไปสัญญา
บอกทั้งฟ้า ว่ายัง รักและรอคอย
กวีบ้านไร่
ประเทศไทย
๑๘ พ.ย. ๕๒
28 ตุลาคม 2552 18:17 น.
กวีบ้านไร่
แค่นั้น. จะผิดพลาดไปมันก็แค่นั้น
แค่นั้น จะสุขใจ ให้แค่นี้
แค่นั้น จะเศร้าดวงฤดี
แค่นี้ แค่นั้น จะเศร้าทำไม
แค่นั้น ยามชีวิตที่จนยาก
แค่นั้น อยากโหยหาอะไร
แค่นั้น จะหลงตัวเองไปทำไม
แค่นั้น ทำไมต้องตามใจตน
แค่นั้น ชีวิตก็แค่นี้
แค่นั้น ที่ชีวิตดิ้นรน
แค่นั้น ที่หลุ่มหลงดวงกมล
แค่นั้น ที่คนต่อสู้ไป
แค่นั้น ปลอบใจได้ทุกครา
แค่นั้น เอยมายามท้อใจ
แค่นั้น ยามไม่มีใคร
แค่นั้น ยามใจล้ไม่มีใคร า หรือว่าพลาดพลั้งไป ปลอบใจตัวเรา
27 กันยายน 2552 10:24 น.
กวีบ้านไร่
หลากหลายร้อยบทโหดเหี้ยม จากฟ้า
โหมเข้ามา จนฟันฝ่า ล่าจุดหมาย
หลายร้อยครั้งเกือบพลาด ชีพเกือบวาย
ตะเกียกตะกาย ต่อสู้ จึงเป็นคน
คำว่าคน คำนี้
ยากเกินที่จะนิยาม จึงขวายขวน
หรือนิยาม คือการต่อสู้ดิ้นรน
หรือว่าคน คือการแย่งชิงกัน
เราเป็นคน คนหนึงที่แข่งฟ้า
หลอกชะตา ที่เล่นกลย์ จนน่าขำ
ชะตาฟ้า ขีดเส้นร่าง ข้างกายนั้น
ไม่ใช่กัลย์ สุ่มร่าง โปรดก้าวเดิน
อย่ายอมให้ฟ้าลิขิตชีวิตนี้
ทุกนาที ต่อสู่น่าสรรเสริญ
หากพลาดพลั้ง อย่ารั้งจงเผชิญ
ก้าวย่างเดิน ต่อสู่ ให้รู้กัน
จริงแท้แล้วฟ้าไม่ได้ลิขิตเขียน
แต่คอยเตือนให้รู้ผล ของขันธ์
ความร้อนรุ่มสุ่มร่างเป็นไฟกัลย์
ก็เพราะนั้น ตัวเราสร้างกรรมขึ้นมา
ตนคิดก่อ อย่ารอผลกรรมที่สร้าง
โปรดจงวางแนวทาง ให้คิดหา
กรรมใดทำ กรรมใดสร้างมันขึ้นมา
สติปัญญา ฟ้าให้ มาแก้ไขดู
หากเรายอมอ่อนตามกรรมลิขิต
ทั้งชีวิตมีสิ่งใด น่าอดสู
อย่าให้ฟ้า มาขีดเส้นให้คิดดู
ก็เพราะรู้ ตัวเราลิขิต เรา
กลอนนี้มอบให้เพื่อนคนหนึ่งที่เข้ามาอ่านกลอนของกวีบ้านไร่ และขอโทษด้วยที่ไม่ได้เขียนกลอนให้ เพราะช่วงนี้ ว ๔ หนาแน่นมาก