27 มีนาคม 2553 13:52 น.
กวีน้อยเจ้าสำราญครับ
วันเกิดครบรอบแล้ว น้องขวัญ
เชิญเหล่าเทพสวรรค์ เปิดฟ้า
อวยพรมอบกำนัล งามเพริศพริ้ง นา
เปรียบดาวเด่นในหล้า หยาดฟ้า สู่ดิน
งามใดเปรียบเทียบน้อง มิมี
เลิศแหล่งปฐพี ยากค้น
แสนพจน์เอ่ยสตรี ไหนเท่า น้องนา
โสภีสิหมายด้น เสาะพื้นโลกา
ร่ำรวยทรัพย์เถิดเจ้า เยาวมาลย์
อายุลุร้อยกาล วัสส์พ้น
ทุกข์โศกโรคภัยพาล อย่าพบ พ้องเฮย
ความรักสร้างสุขล้น คู่น้องอ้อม แฮ
* ครบวาระรอบแล้วน้องแก้วขวัญ
เชิญเหล่าเทพสวรรค์ทุกชั้นสรวง
จงมอบของกำนัลจากจันทร์จวง
ให้แก่ดวงฤทัย “ใจปลายทาง”
• ยี่สิบเจ็ดมีนาเวียนมาถึง
รักหวานซึ้งตรึงตราอย่าได้ห่าง
มีคนรักชิดใกล้ไม่จืดจาง
เป็นคู่สร้างคู่สมนิยมกัน
23 มีนาคม 2553 13:24 น.
กวีน้อยเจ้าสำราญครับ
จากสายตาอิดโรยระโหยอ่อน
แววอาทรณ์จากจิตเพราะคิดถึง
เมื่อไรหนอลูกชายในคำนึง
เพียงครั้งหนึ่งหวนมา....ชายคาพัง
พ่อเจ้าลับดับโลกแม่โศกเศร้า
จากปีเก่าสู่ใหม่ยังไร้หวัง
โอ้ลูกเอ๋ยใจจืดใจชืดจัง
เพียงสักครั้งให้แม่ได้แลดู
หรือนี่คือชะตาอันอาภัพ
จำต้องรับรันทดพร้อมอดสู
ค่าน้ำนมยามกอดกุมอุ้มชู
ลูกจะรู้ค่าไหมในสักวัน
ฤา ต้องรอแม่สิ้นแผ่นดินแล้ง
จึงจะแฝงกายเยือนลบเลือนฝัน
บ้านนามีปลาปูเลี้ยงดูกัน
พออิ่มหมีพีหมันแบบกันตาย
ถึงจะอดหรืออิ่มยังยิ้มได้
แต่เจ็บใจทุกคราวมองเป้าหมาย
ท้องนาเคยมีฝูงเป็นทุ่งควาย
พ่อเคยยืนฝีนกายเพื่อไถนา
กี่ลำบากลำบนยังทนสู้
หวังให้เจ้าเรียนรู้อย่างรู้ค่า
มิใช่หลงแสงไฟส่องนัยน์ตา
จนว่าลืมปลาร้าไม่น่ามอง
มาเถิดมาลูกเอ๋ยแม่เคยกอด
แม่จะทอดปลาร้าปลากระป๋อง
มากินเห็ดเป็ดไก่เคยได้ลอง
ให้อิ่มท้องพุงกางจากก้างปลา
จากสายตา...คู่เดิมแอบเติมฝัน
เชื่อสักวันลูกจะย้อน..เล่นซ่อนหา
ดั่งนกน้อยหลงรังยังหวนมา
ไม่นานช้านาทุ่งจักรุ่งเรือง
22 มีนาคม 2553 16:26 น.
กวีน้อยเจ้าสำราญครับ
กลอนนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ใดๆ เป็นเพียงการยกชื่อสมมติ เท่านั้น
จริงๆ กลอนนี้ ผมเขียนนานแล้ว แต่เวลา และเน็ต ไม่ค่อยอำนวยเท่าไร
อีกอย่าง ตอนนี้ ยังไม่เสร็จ.......
จึงขอนำไตเติ้ลๆๆๆ มาเล็กๆๆน้อยๆๆ
“เจิ้งหมิงจี๋ วีรบุรุษ คนสุดท้าย”
ณ ปลายราชวงศ์หมิง ครอบครัวหนึ่งซึ่งหนีการฆ่าล้างตระกูล ได้อาศัย ณ หมู่บ้านชาวประมง สองผัวเมีย ได้กำเนิด ลูกชาย 2 คน และ ลูกหญิง ๑ คน แต่ลูกๆ ทั้งสามคน ถูกฆ่าตาย ขณะหนีกลางทาง ที่เหลือรอดก็เพียงแต่ เจิ้งหมิงจี้ บุตรชายคนเล็กเท่านั้น ฝ่ายพ่อแม่ ของเจิ้งหมิงจี๋ ได้รับบาดเจ็บ และพักรักษาตัว ณ แห่งนั้น
ผ่านเวลาล่วงเลยไป .เกือบ 15 ปี หลังจากที่กษัตริย์พระองค์ใหม่ แห่งราชวงศ์หมิง นามว่า ชิงซังซ้ง ผู้เคยเป็นเสนาธิการใหญ่ ได้อาศัยกำลังปฏิวัติ ฆ่ากษัตริย์พระองค์ก่อนไปจนหมดสิ้น รวมถึง ลูกหลาน เหล่า ตระกูลหมิง แทบจะทุกคน........
สาเหตุที่ไม่อาจตั้งราชวงศ์ชิง เนื่องจากว่า หากตั้งราชวงศ์ใหม่ อาจทำให้ประชาชน และเหล่าจอมยุทธทั่วหล้า ปฏิวัติ จึงจำใจ ใช้ชื่อราชวงศ์หมิง จนกว่าจะผูกใจประชาชนได้
เจิ้งหมิงจี๋ ได้เปลี่ยนนามใหม่ ว่า เจิ้ง-จี๋ เพื่อไม่ให้ใครติดตาม และสืบสวนได้ว่า เป็นลูกหลานตระกูลหมิง และเขาเองก็แทบจะไม่รู้จักตัวเองเลยว่า ครั้งหนึ่ง พ่อแม่ เคยเป็นข้าราชการคนสำคัญของแผ่นดิน แต่หลบลี้หนีการปฏิวัติมาได้
เจิ้ง-จี๋ ได้ฝึกวิชา ของตระกูลหมิง คือ วิชาเจ็ดดาว ทุกๆ วัน ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ จนบัดนี้ เติบโตเป็นหนุ่มเต็มตัว วัย 22 ปี พ่อแม่ของเขานั้น เมื่อเห็นว่า ลูกชายของตนเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึง....ออกบวชทั้งคู่
เจิ้ง-จี๋ เด็กหนุ่ม หน้าตาดี มีคุณธรรมในจิตใจ ชอบการศึกษา และ ฝึกฝนเพลงกระบี่ มีอาชีพที่สำคัญคือ การขายปลา แต่ไม่เคยใช้กำลังกับผู้ใด จึงมักถูกกลั่นแกล้งบ่อยครั้ง และหลายๆ ครั้ง เขาก็จำต้องระงับอารมณ์เอาไว้ เมื่อพ่อแม่บอกว่า “เจ้ามีวิชาติดตัว จงอย่าแสดงให้ใครเห็นว่าเราเก่งเพียงใด จงใช้เมื่อถึงคราวจำเป็น คือ ปกป้องคนที่เจ้ารัก...เท่านั้น
ขณะที่ สถานการณ์บ้านเมือง เริ่มวุ่นวาย ประชาชนถูกขูดรีดข่มเหง เหล่าชาวยุทธ หลายสำนักได้ก่อตัว เพื่อจะล้มล้างราชวงศ์ให้จงได้ เจิ้ง-จี๋ กลับรู้จักกลับ เจ้าชาย หมิงคุน-ไซ และเจ้าหญิงหมิงเกี๊ยว-ซัง ผู้เป็น สุดดวงใจ ของราชาพระองค์นั้นด้วยความบังเอิญ
ด้วยเหตุ....แห่งความบังเอิญ หรือวาสนาที่มีต่อกัน เจ้าเชายหมิงคุน และเจ้าหญิงหมิงกี๊ยว ได้มาท่องเที่ยวในตลาด และพักสำราญใจ ณ หมู่บ้านชาวประมง โดยแต่งตัวเป็นชาวบ้านธรรมดา เจิ้ง-จี๋ ออกเร่หาบปลาขาย ตามปรกติ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงการต่อสู้กันไม่ไกลนัก เมื่อมองไปเห็นจึงพบว่า มีชาย-หญิง คู่หนึ่ง ถูกห้อมล้อมด้วยเหล่าจอมยุทธ และนักฆ่า ราวๆ 15 คน
เมื่อ เจิ้ง-จี๋ เห็นดังนั้น จึงแกล้งเอาปลาไปขาย แล้วร้องดังๆ ว่า “ที่นี่ มีปลาขายจ้า มีปลาหลายชนิด ราคาถูกๆๆ ที่เดิม ที่เดิม จ้า
เหล่าจอมยุทธ ท่านหนึ่ง แห่งสำนัก ง้อไบ๊ จึงเอ่ยว่า “ไอ้หนุ่ม เอ็งไม่เห็นรึว่า พวกข้ากำลังทำอะไรอยู่ รึว่า.....อยากจะตายอีกคน
เจิ้ง-จี๋ จึงพูดทีเล่นทีจริงว่า “ที่นี่มีปลา ทั้งตายและไม่ตาย พี่ท่าน จะเอากี่ศพจ้า
จอมยุทธ ง้อไบ๊ ได้ยินดังนั้น จึงบังเกิดความโมโหขึ้นทันที แล้วกล่าวว่า ไอ้หนุ่ม เอ็งคงไม่รู้รสชาติ ความตายมาก่อน วันนี้เจ้าจงไปเยี่ยมยมบาลเถอะ
เจ้าชายและเจ้าหญิง ทั้งสองคน จึงพูดว่า “พี่ท่าน อย่าได้มายุ่งเลย ที่นี่ ไม่ปลอดภัยนัก
เจิ้ง-จี๋ ได้ยินดังนั้น จึงได้ที แล้วพูดว่า “ โอ๊ยยยย ไม่ด้ายยยยยหร๊อกกกก ตรงนี้ คือที่เดิม ที่ๆ ข้า จะต้องขายปลา ว่าแล้ว ก็ตั้งร้านซะเลย
เหล่าจอมยุทธ และนักฆ่าทั้งหมด ไม่รีรอให้ เจิ้ง-จี้ ได้ทันวางเป้หาบปลาก็กระโจนเข้าใส่ เจิ้ง-จี๋ ใช้ไม้ เป้หาบปลา ด้วยกระบวนท่าเจ็ดดาว ที่สาบสูญ ไปจากยุทธภพ ออกลวดลาย ลีลา สั่งสอน เหล่าจอมยุทธ และนักฆ่า เหล่านั้น เพียงไม่กี่นาที
จอมยุทธ ง้อไบ๊ ท่านนั้น จึงเอ่ยว่า “เจ้าเป็นใคร ไยจึงรู้จัก วิชาเจ็ดดาวแห่งตระกูลหมิง
เจิ้ง-จี๋ ได้ฟัง ถึงกับตกใจ และเจ้าชายและเจ้าหญิง ทั้งสองก็มองหน้ากัน และดูท่าที ของเจิ้ง-จี๊
เหตุการณ์ จะเป็นอย่างไร ติดตามใน ตอนต่อไป วันนี้ ยุติแต่เพียงนี้
๑ เรื่องราวที่ฟังมาน่าตระหนก
คิดไม่ตกเหตุการณ์อันผ่านผัน
เพลงกระบี่รุกฆาตแล้วฟาดฟัน
คือกุญแจสำคัญ....คืนสัญจร
๒ นึกถึงคำบิดามารดาได้
เจ้าอย่าคิดอวดใคร...ท่องไว้ก่อน
พบคนพาลมารกล้าอย่านิ่งนอน
จำคำสอนท่านมาบูชาเทอญ
๓ เจิ้ง-จี้นั้นฉุกคิดกล่าวบิดพลิ้ว
ว่าฉันหิวข้าวมากไม่อยากเกริ่น
ขอตัวไปเที่ยวท่องแกล้งมองเมิน
แล้วก็เดินจากไปไม่หันมา
๔ องค์หญิงเกี๊ยวถามแซ่....แด่จอมยุทธ
จึงสะดุดหยุดมองจ้องใบหน้า
เพียงวูบเดียวเสี้ยวพบตาสบตา
ทำอุราหวั่นหวิวละลิ่วลอย
๕ เหมือนบุพเพ-วาสนามาแต่หลัง
ความรักหยั่งรากชื่นกว่ากลืนอ้อย
เหมือนตะวันจันทราตั้งท่าคอย
แสงหิ่งห้อยคู่เทียนเวียนมาเจอ
๖ (เจิ้ง-จี๋) อันตัวข้าอย่าเพรียก เรียกจอมยุทธ
เหมาะที่สุดพ่อค้าปลาเสนอ
ชื่อเจิ้ง-จี๋อยู่เดียวเปลี่ยวละเมอ
อาจดูเซ่อดูซ่าอย่าถือเลย
๗ องค์ชายกล่าวขึ้นมาในครานี้
เพราะท่านพี่ช่วยไว้มิได้เฉย
เป็นพระคุณยิ่งเหลือเหนือจักเปรย
สิ่งที่เคยทำมาช่างการุณ
๘ องค์หญิงเกี๊ยวแอบยิ้มปลื้มปริ่มนัก
หวังทายทักพูดปรับสนับสนุน
เพียงกล่าวชมท่านพี่ผู้มีคุณ
ช่างเป็นบุญพารอดจนปลอดภัย
๙ หลังจากเอ่ยคำลาในครานั้น
เขาจึงหวั่นในจิตคิดสงสัย
ตระกูลหมิงยิ่งยงกว่าพงศ์ใด
ข้าเกี่ยวข้องอย่างไร....ในที่มา ?
๑๐ สายลมโชยพัดผ่านสะท้านอก
เหงื่อกลับตกหลั่งไหลคล้ายผวา
ยิ่งคิดยิ่งขุ่นข้องหมองอุรา
หวังเสาะหาสืบค้นกระวนกระวาย
๑๑ จึงออกเดินทางสู่วัดหลู่เอี๋ยน (ชื่อสมมุติ)
จิตวนเวียนวุ่นวนค้นจุดหมาย
กราบแม่ชี...ผู้มีสุขไร้ทุกข์กราย
ดูคลับคล้าย....แม่กวนอิมผู้อิ่มบุญ
๑๒ แม่ชีบอกแค้นใดในโลกนี้
เปรียบธุลีโรยลุ่ยเศษปุยนุ่น
ยิ่งเคลือบแฝงพยาบาทยิ่งขาดทุน
ไร้ซึ่งคุณหนุนนำกระทำทราม
๑๓ เจิ้ง-จี๋ฟังดังแก้วอันแวบวับ
สุดแสนจับจิตใจให้เกรงขาม
นึกประหม่าพาหวั่นจนครั่นคร้าม
หวังจะถามกลับเงียบเชียบอยู่นาน
๑๔ แม่ชีเล่าความหลังในครั้งก่อน
และวกย้อนปูมแยกคราวแตกซ่าน (แตกสานซ่านเซ็น)
เพราะโลภหลงคงปั่นถึงสันดาน
จึงประหารญาติมิตรสนิทกัน
๑๕ พ่อเจ้าเป็นแม่ทัพรองก้องชื่อ
ยศศักดิ์ถือนานไปย่อมไหวหวั่น
เสนาฯใช้อำนาจเข้าฟาดฟัน
รุกโรมรันกำจัดกษัตริ์ยา (ใช้เฉพาะเรื่องนี้ กษัตริย์)
๑๖ พ่อแม่หลบลี้เอาชีวิตรอด
พี่เจ้ามอดมรณังสิ้นสังขาร์
ท่ามการรบรุกรับอับปัญญา
เจ้ารอดมาเพราะโชคโฉลกชัย
16 มีนาคม 2553 13:13 น.
กวีน้อยเจ้าสำราญครับ
ผมรักและศรัทธาสีพาสุข
สีที่ปลุกปลอบใจไทยทั้งหมด
นั้นคือแดง+น้ำเงิน+ขาวเกินคด
เกินเลี้ยวลดแบ่งแยกแตกประเด็น
คุณจะเลือกคนใดก็ไม่ว่า
แต่อย่าทำร้ายไทยให้ใครเห็น
ต่างชาติเขาว่าโง่...โถเราเป็น
มันเจ็บเอ็นเนื้อหนังฝังถึงใจ
คุณจะเลือกที่รักมักชังนั้น
ก็อย่าเอาความฝัน..ฉันไปไหน
ผิดหรือถูก ถุกผิด คิดให้ไกล
ผลที่ได้คุ้มเสีย...ไม่เพลียทรวง
เลือกเอาสิ่งมีธรรม...เพื่อนำชาติ
สิ่งที่ขาดไม่ได้...คนไทยหวง
คือชาติศาสนกษัตริย์ดวง- (ศาส+สะ+นะ+กะ+ษัตริย์)
ใจไทยทั้งปวงยึดถือโลกลือชา
หากคุณเห็นว่าสีนี้...น่ะดีแน่
แล้วดีแท้แค่ไหนจึงใฝ่หา
หรือดีแค่น้ำ+เงิน เพลินอุรา
เหมือนพม่าซื้อใจคนไหนเลว
เท่าที่ดูและฟัง...ชวนกังขา
ไม่เข้าท่าสักสี...มีแต่เหลว
แล้วคุณเลือกสีแบบใดไม่ใจเร็ว
ไม่ตกเหวตกห่า...จนบ้าตาย
มาเถิดมา มาเลือกอย่าเสือกไส
เลือกชาติไทยไม่เพลียหรือเสียหาย
มีแต่คำว่าสุขไร้ทุกข์กราย
เป็นความหมาย..แห่งฝันอันสกาว
เพราะผมรักศรัทธา...สีน่าคบ
มันไม่จบแบบเจ็บเจ็บจนเหน็บหนาว
ไม่ทำใครขุ่นเคืองเป็นเรื่องราว
น้ำเงิน+แดง+และขาว...คือเผ่าไทย
ไชโย ไชโย โห่ โห๊ะ โห่ ฮิ้ววววววววว ไชโยยยย
ประเทศไทย จงเจริญญญญญญญญญญญญ
ตราบใดที่ คนไทยทำเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวมแล้วไซร้
แล้วคิดคำนึงความเป็นมา ในครั้งอดีต ไทยเราเสียกรุง 2 ครั้งเพราะอะไร
ไม่ใช่ว่า ไทยไม่มีน้ำยา ไม่ใช่ไทย สู้ไม่ได้ เเต่เป็นเพราะ คนไทย...
หักหลังและฆ่าฟันกันเอง สุดท้าย ประเทศไทย จะได้อะไรจากความขัดแย้ง
นอกจากน้ำตา และ ความเสียดายยยยยยยยย เสียดาย มันน่าเสียดาย
หากคนไทยรักกัน สิ่งเหล่านี้....มันย่อมไม่เกิดขึ้นแน่นอน
ตราบใดคนไทยรักกัน เราไม่จำเป็นต้องเพรียกหาความยุติธรรม
เพราะความยุติธรรม มันเกิดขึ้นจากจิตใจคนไทยทั้งมวล
14 มีนาคม 2553 12:40 น.
กวีน้อยเจ้าสำราญครับ
ก่อนอื่น กระผมขอออกตัวว่า
ณ ขณะนี้ เน็ตของผมนั้น ถูกตัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมจึงได้ลอง ติดตั้ง เน็ตไร้สายดู เผอิญว่า เมื่อวาน
เน็ตมา...ได้แค่ 10 นาที (เป็นอย่างมาก) แล้วก็หายไปตามกลีบเมฆ
เป็นการสร้างความรู้สึกดีใจ ได้แค่นั้น ได้แค่นั้นจริงๆๆ
วันนี้ ผมเปิดเครื่องทิ้งไว้ได้ราวๆ 3 ชม. เน็ตจึงมา
แต่บอกตรงๆ ว่าเน็ตช้ามาก ไร้สายมีทั้งหมด 5 ขีด ของผมมาแค่ 2 ขีด
ถ้าลองเปิดเอ็ม ราวๆ 5 นาที ก็หลุด และก็มาใหม่ เป็นอะไรที่...แหล่มมาก
และอยากบอกว่า ผมไม่แน่ใจว่า จะได้ลงกลอน หรือมาอ่านกลอนไหม
ในรอบต่อไป เพราะเปิดเข้าสู่เวป มานช้าาาาาาาาาาา ม๊ากกกกกกกก
ถ้าลงกลอนได้ ก็ถือว่า เป็นบุญอันใหญ่หลวงยิ่งนัก
บวกกะการ ติดตั้งไร้สาย แบบมั่วๆๆ ยังดีที่มานยังมีน้ำจิตน้ำใจ พอให้ได้ลงกลอนพอบอกกล่าวเล่าสิบ เรื่อง...น่าเซ็ง สำหรับวัยรุ่น...รุ่นเกือบแก่ 555+
จริงๆๆ ว่าจะไม่แต่งกลอนรักแล้ว
อยากจะพัฒนาตัวเอง ที่ไม่ต้องเน้นกลอนรัก
อยากแต่งแบบมีสาระมากๆ ต้องขอบคุณ ท่านอาจารย์ คุณน้าคนกุลา ,ท่านพี่ ฤทธิ์ ศรีดวง, ท่านพี่ ลำน้ำน่าน, ท่านพี่ สดายุ และท่านอื่นๆ ที่แต่งกลอนมีสาระ และผมไม่ได้เอ่ยถึง กลอนเหล่านั้นเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กฝึกหัดคนหนึ่ง แต่งกลอนได้ดีขึ้น ถูกหลักมากขึ้น แต่กระบวนการใช้ศัพท์ และการใช้ความคิดยังอ่อนด้อย...
ขอบคุณทุกๆ ท่าน ที่เป็นมิตรในบ้านกลอน หากผมต้องหายไป นั่นก็เพราะว่า เน็ตไร้สาย...คงเป็นเน็ตไร้ใจ ไม่ยอมเมตตา
จึงขออภัย ที่ไม่อาจจะตอบกลอน หรือแม้แต่เม้นท์กลอนได้
ผมไม่อยากถือว่า เป็นกลอนอำลา เพราะผมกำลังแต่งกลอน
หนังจีนเรื่อง "เจิ้งหมิงจี๋ วีรบุรุษคนสุดท้าย" กะจะแต่ง 32 บทขึ้นไป เป็นการแต่ง ผสมการบรรยาย ตามสไตล์ บ้าๆ บอๆ ถ้ามีโอกาส คงได้มา ลง ณ บ้านกลอนอีกครั้ง
*ฉันอยากเป็นทุกอย่าง....เคียงข้างฝัน
เป็นแสงจันทร์ส่องใสแทนไฟฉาย
เป็นหนังสือคือชีวิต...ติดกาย
เป็นลมหายใจอ่อน...ลดร้อนรน
*ขอเป็นแค่....ความหวังครั้งสุดท้าย
หากเธอหมายไขว่คว้าคราสับสน
เป็นเปลวเทียนแรงอืดคืนมืดมน
ขอเป็นคนบรรเทายามเขาลืม
*ก็อยากเป็นทุกสิ่ง....เป็นมิ่งขวัญ
คนสำคัญบ้างนะเผื่อจะปลื้ม
ไม่มีรักลดแหลกหรือแจก-ยืม
เธออาจลืมอาจจำ...อาจธรรมดา......
*อยากเป็นที่พิงพักมีหลัก-ฐาน
มีการงานสูงเลิศคนเทิดค่า
ไม่ใช่แค่ต่ำต้อยด้อยราคา
หากเธอมาร่วมห้องไม่ต้องอาย
*อยากเป็นอะไรอะไรเป็นไปหมด
เป็นบรรพตคงมั่นไร้วันสลาย
เป็นสายธารชุ่มชื่นระรื่นกาย
เย็นสบายลมโชยคลายโรยรา
*อยากเป็นต้นไม้ใหญ่มอบไออุ่น
เป็นหมอนหนุนใบเก่าเฝ้าห่วงหา
เป็นผ้าห่มกันหนาวคราวนิทรา
เป็นแผ่นฟ้าโอบอุ้มผ่อนกลุ้มใจ
*อยากเป็นแม้แต่มุ้งกันยุงกัด
สารพัดทุกสิ่งเกินสิ่งไหน
เป็นแม้เดือนเด่นล้ำงามอำไพ
เป็นสายใยผูกพันนิรันดร์กาล
*ขอเป็นแค่...คนนั้นเธอฝันถึง
เพียงครั้งหนึ่งได้รักสมัครสมาน
พร้อมดูแลเก็บกำเป็นตำนาน
คนเล่าขานว่าฉัน...มันรักจริง