21 มีนาคม 2546 14:25 น.
กวินทรากร
กบเกิด ในสระใต้.........บัวบาน
ฤาห่อน รู้รสมาลย์..........หนึ่งน้อย
ภุมรา อยู่ไกลสถาน........นับโยชน์..ก็ดี
บินโบก มาค้อยค้อย.........เกลือกเคล้าเสาวคนธ์
(โลกนิติคำโคลง)
ผึ้งภู่ บินอยู่เบื้อง...............อุบลบาน
กำซาบซด รสมาลย์............ไม่น้อย
รากบัว คั่วน้ำตาล...............ตฤป ร่ำ..ลิ้นเอย
กบเกิด กลางสระจ้อย.........จึ่งรู้รสหวาน
(โลกย์กระจิ๊ด-คลำโคลง)
จระเข้ คับน่านน้ำ...............ไฉนหา..ภักษ์เฮย
รถใหญ่ กว่ารัถยา...............ยากแท้
เสือใหญ่ กว่า วนา................ไฉนอยู่..ได้แฮ
เรือเขื่องคับชเลแล้...............แล่นโล้ไปไหน
(โลกนิติคำโคลง)
จระเข้ คับน่านน้ำ...................เนาสวน..สัตว์เทอญ
รถใหญ่ รับเนื้อนวล...............นั่งแท้
เสือใหญ่ กว่าป่าควร...............ขังใส่..กรงแฮ
เรือเขื่อง เรืองรุ่งแล้...............ล่ามค้าขายของ
(โลกย์กระจิ๊ด-คลำโคลง)
20 มีนาคม 2546 12:46 น.
กวินทรากร
ตะเอ๋า เยาวะด้อย............เดียงสา
บรรลุ นิติภา-..................วะแล้ว
อ่อนอาจอ่อน พักตรา......ยังอ่อน..อยู่เอย
ย่างยี่ สิบสองแคล้ว...........คลาดเว้นเกณฑ์ทหาร
ตะเอ๋า เยาวะด้อย..............เดโช
หาใช่ คนยโส....................สักน้อย
กำเหนิด เพริศพิญโญ........อยู่ภาค..กลางเวย
ตัวบ่เตี้ย บ่ต้อย............ ....น่าคล้าย F4
ตะเอ๋า เยาวะเปลี้ย..............ปัญญา
ลักษณักษรา.................. ....รึ รู้
การกานท์ กวีตา-.......... .....นุมัติทื่อ..ทึ่มเอย
ไป่เทียบ ไป่เทียมผู้..............เพียบพร้อมพิทยางค์
ตะเอ๋า เยาวะรู้......................หลักธรรม
เพียงหนึ่ง ในล้านสัม-............พุทธเจ้า
ตะเอ๋ากล่าวโคลงคัม-...............ภีรภาพ..พจน์เอย
จงดำรงรสเร้า........................ร่วมฟ้าดินสลาย
9 มีนาคม 2546 15:31 น.
กวินทรากร
โคลงดั้นบาทกุญชร
กรูกล่าวกลอนกาพย์เกลี้ยง..........กานทกาฬ
กรูหื่นราค รส งม........................โง่โก้
กรูกล่าวคล่าวคำขาน...................โข่งโพล่ง..พูดเอย
กรู บ่ำรุง โส้ร้อย.......................ล่ามกาม
สังวาสดาษโจ่งแจ้ง......................จักษุ
สังเวชศัพทสยาม.........................หยาดเยิ้ม
สังคมเภทภัยพุ..............................ผุดอาชญา นา
สังโยคนรนั้นเคลิ้ม......................ขาดศิล
กวินทร์หินชาติ...................อาจอุบาทว์บอกก้อง
โอษฐ์อุโฆษขับร้อง............เล่ห์ลวง
ตัณหาช่วงโชติจิตร............ยามลิขิตขีดอ้า
อักขระบ่าบ้า.....................บัดสี
เริงโลกีย์กิเลส.....................อันทุเรศเลิศล้น
ดำดิ่งจมสู่ก้น...................นรกา
ศักดินากวีชาติ.................วิปลาสธรรมแล้ว
อสิรพจน์พิษแพร้ว............พากษ์ไกล
1 มีนาคม 2546 15:12 น.
กวินทรากร
สังเวชวรรณคดีทวีทุขะกมล
สมพาส สวาท อน- .......................ธการ
ไม่ผิดจาก ทุรสัตว์กำดัดก็ดำริจาร
จิตต่ำระยำพาล ....................................พิกล
สูญศีลส่อ วิปริตก็อิสระประพนธ์
ธรรมหายทลายผล..............................หิริศ
กามารม ณ ทุเรศ นิเทศ หทยะพิษ
สื่ออักขราผิด......................................พิบัติ
ปวงปราชญ์อีกยุวราษฎร์กวีวร สวัสดิ์
จงพึงคะนึงตัด...................................กิเลส
อันผูกพันธนะราคะลามกะเทวษ
ด้วยปาติโมกข์เหตุ.............................กุศล
23 กุมภาพันธ์ 2546 21:41 น.
กวินทรากร
วันหนึ่งไกลนิ่มน้อง......................หมองหมาง
มาสหนึ่งไกลกานทางค์..................ทรรปเศร้า
ศกหนึ่งห่างดุริยางค์........................โยคจิต..กูเอย
กัปหนึ่งไกลธรรมเข้า......................ข่วงน้ำนรกา
มาศ=เดือน
กานทางค์=กานท+องค
กานท์=โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน (คำประพันธ์)
องค์=ส่วน,ลักษณะ
ทรรป=ความโง่, ความเซ่อความโอ้อวด, ความจองหอง, ความเย่อหยิ่ง, เช่น ขวนทรรป ว่า ใฝ่จองหอง. (ม. คำหลวง สักบรรพ), ทัป ก็ว่า
ศก=ปี
ดุริยางค์=ดุริย+องค
ดุริย=เครื่องดีดสีตีเป่า
องค=ส่วน,ลักษณะ
โยค=การประกอบ, การใช้, การร่วม,ความเพียร,กิเลส
กัป=ระยะเวลาอันนานเหลือเกิน โบราณถือว่า โลกประลัยครั้งหนึ่งเป็นสิ้นกัปหนึ่ง
ข่วง=บริเวณ, ลาน, เช่น ให้ยกหอกลองยังขวงหลวงริมสนาม. (พงศ. โยนก)
นรกา=นรก ,แดนหรือภูมิที่เชื่อกันว่าผู้ทำบาปจะต้องไปเกิดและถูกลงโทษ, โดยปริยายหมายถึงแดนที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน