2 กุมภาพันธ์ 2547 20:06 น.
กลิ่นดิน
กริ๊งๆๆๆๆ เสียงกระดิ่งประจำวิชาดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าหมดคาบเรียนสุดท้ายของปี สิ้นเสียงกลุ่มนักเรียนยกโขยง วิ่งกรูกันออกมาจากห้องเรียน บ้างก็ว่าจะไปเล่นเกมส์ บ้างก็จะไปหลีสาวที่สยาม ส่วนบางคนก็นัดคนพิเศษส่วนตัวเอาไว้ แต่ต่างก็ตะโกนโหวกเหวกวุ่นวาย คุณคงจะพอนึกภาพออกห้องเรียนที่มีประตู ๒ บาน ไม่มีแอร์ ไม่มีสจ๊วต มีแต่พัดลมหมุดเอื่อยๆอยู่กลางห้อง กับกระดานดำที่เป็นสีเขียว หน้าต่างถูกเปิดออกเพื่อรับแสงแดดยามเย็น เศษกระดาษและชีทงานต่างๆตกเกลื่อนเต็มพื้นห้องเนื่องจากลมที่พัดผ่าน โต๊ะที่ไม่เคยตรงแถวกลับถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ เป็นแถวคู่ ๔ แถว แถวละ ๑๒ ตัว เก้าอี้ทุกตัวถูกยกขึ้นบนโต๊ะ ใช่แล้ว! วันนี้เป็นวันสุดท้ายของผมที่จะได้ใช้ชีวิตในฐานะนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ปีหน้าผมก็จะยกระดับจิตใจของมนุษย์ สิ่งที่ผมอดทนและพยายามแสนสาหัสมานาน เพื่อให้พ่อแม่ของผมภูมิใจ .............................................................................ผมกำลังจะขึ้น ป.๔ !!!................................................................
ฮ้าๆๆๆ อย่างนี้มันต้องซ่ากันหน่อยใช่มั้ยไอ้ตง
วินัย ทายาทร้านพิมพ์เขียวที่อยู่ตรงข้ามโรงเรียน มันตะโกนกรอกหูผม
อย่างนี้มันต้องไอ้นั่น
ไอ้บี ลูกวิศวะกร เสริมต่อ
ใช่แล้วๆ หมูปิ้งไง! หมูปิ้ง วันก่อนนะเราไปกินซื้อมา ๓ ไม้ ลุงแกแถมให้ตั้งไม้นึง ใจดีจริงๆเลย
อิ๊ง ลูกเจ้าของฟาร์มหมาปั๊ก กล่าวขึ้นพร้อมหน้าตาที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทรายิ่งนัก
ส่วนพวกผมแม้จะไม่เชื่อว่าลุงแกจะแถมจริงๆ (เพราะถามใครใครเขาก็รู้กันทั้งบางว่า ลุงแกงกขนาดไหน มีตำนานเล่าไว้ว่า เคยมีคนมาเหมาหมูปิ้งแกถึง ๑00 ไม้แต่ดันไปปากพล่อยขอให้แกแถมไม้นึง แกถึงกับไล่ตะเพิดกลับบ้าน ไม่ยอมขายเลย) แต่ก็ต้องเออออห่อหมกตามไป เพราะอิ๊งมันบอกว่าจะเลี้ยงเนื่องจากเป็นวันเกิดแม่สุดสวยของมัน
หลังจากที่ได้ซื้อหมูปิ้งและลองขอแถมแล้ว (ผลคือโดนลุงแกเอา ข้าวเหนียวปั้นก้อน ปาหัวเอา) พวกเราก็ได้ไปนั่งล้อมวงกินกันที่สไลเดอร์ในสนามเด็กเล่นหลังโรงเรียน ผมยังพอจำความได้ถึงบทสนทนาในวันนั้นได้ว่าเป็นบทสนทนาที่ออกจะเกินตัวเด็กเกือบ ป.๔ แต่ก็ออกรสชาติเลยทีเดียว
หลังจากนั่งกินกันได้ซักพัก ไอ้บี ลูกวิศวะกร ก็พูดลอยๆขึ้นมาว่า พวกนายโตขึ้นแล้วอยากเป็นอะไรกันวะ (แต่ผมว่าเป็นการพูดที่ถูกจังหวะเสียจริงๆ เนื่องจากวัยของพวกเรา ในตอนนั้น เรียกได้ว่าเป็น วัยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตโดยแท้จริง)
ไอ้นัยตอบกลับทันควัน
เราจะพยายามเป็นนักบอลทีมชาติไทย และนักเศรษฐศาสตร์ตัวยงให้ได้ รู้จักมะ เอโคโนมิคเคิ้ล อ่ะ เอโคโนมิคเคิ้ล รุจักป่าว มันทำหน้าภูมิใจ
ทำไมอ่ะ ผมแหย่ต่อ
ก็เพราะว่าการเล่นบอลมันสนุกดี แล้วไอ้เอโคโนมิคเคิ้ล เนี่ยจริงๆแล้วเราก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคืออะไร แต่วันก่อนเห็นในทีวี แล้วมันฟังดูเท่ดีอ่ะ
มันตอบอย่างมีหลักการในแบบของมัน
ไม่หรอก เราว่านะเผลอๆ นัย ได้ต่อกิจการพ่อแม่แน่ พิมพ์เขียวไง พิมพ์เขียว เหอๆ
บีคิดในใจออกมาดังๆ
พิมพ์เขียว เป็นฉายาของมันเนื่องจากพ่อแม่มันเป็นเจ้าของร้านพิมพ์เขียว แต่จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ไม่รู้ว่ามันขำกันเพราะอะไร คำว่า พิมพ์เขียว แค่คำเดียวมันไม่เห็นน่าขันตรงไหนเลย ถ้าเป็น ไอ้ตูดเขียว ยังน่าขันกว่าอีก
ส่วนเรานะเราอยาก เป็นวิศวะกรเหมือนพ่อ อยากเป็นหมอด้วย ไม่ได้มีเหตุผลอะไรหรอก แค่อยากรวย
บีบอก
รวยแล้วมีความสุขจริงเหรอ? จะรวยจะจนมันก็คนเหมือนกันละว้า
นัยเหน็บแหนม
ส่วนอิ๊งมันบอกว่าอยากเป็นจิตรกรวาดภาพ เพราะว่ามันชอบวาดภาพ แล้วมันยังบอกต่ออีกว่า เราว่านะถ้าเรามีความสุขกับงานที่ทำผลงานก็จะออกมาดีอ่ะ
อื้อหือ เป็นแค่เด็ก ป.๓ ทำเป็นพูดเหมือนผู้ใหญ่ วันก่อนยังนอน น้ำไหลออกตาอยู่เลยไม่ใช่เหรอ คิดถึงเนอะ เจ้าลอร่า (หมาของอิ๊ง) ที่ตายไปน่ะ ฮ้าๆๆ ไอ้บีพูดจาต้องการของไปกินยิ่งนัก แต่อิ๊งทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเหมือนว่าเป็นเพียงสายลมพัดผ่านนี่แหละคือข้อดีของมัน มันเป็นคนมีจุดยืนไม่อ่อนไหวง่ายๆเหมือนผม
แต่นัยกลับตอบแทนอิ๊งว่า
เด็กกับผู้ใหญ่ก็เหมือนกันแหละ เพียงแต่เรายังขาดประสบการณ์ เราเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ ที่ไม่มีความรับผิดชอบเท่านั้นเอง
จริงของมัน ผมคิดในใจ แล้วอิ๊งมันก็ถามผมต่อว่า แล้วตงล่ะนายอยากเป็นอะไร?
เราว่าเราอยากเป็นภารโรงนะ ผมตอบ
ไมวะ? มีเงินมีงานดีๆไม่เอาเหรอไปลำบากอย่างนั้นทำม้ายย บีพูดตามสไตล์ของมัน
ช่าย! เป็นภารโรงไม่เท่เลย ไม่สนุกด้วย นัยเกทับ
เออ ก็จริง แต่ตงมันอาจจะมีเหตุผลอะไรของมันก็ได้ม้าง.....จริงมั้ยตง? อิ้งส่งสายตามาทางผมบอกถึงความต้องการคำตอบ หลังจากที่อึกๆอักๆ อยู่นาน ผมก็บอกว่า ไม่รู้ดิ เราว่างานทุกงานมันก็มีความเท่ ความน่าสนใจ ในแบบของมันนะ เราคงไม่รู้หรอกว่าอันไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับเรา จนกว่าเราจะได้ลองอ่ะ อีกอย่างนะถ้ามันไม่มีคนทำ พื้นมันก็คงจะสกปรกน่าดูเลย
ทำตัวเหมือนพ่อพระจริงนะ....เฉิ่ม บีตอก แตกต่างจากคนอื่นเขาน่ะมันไม่รุ่งหรอก มันตอกซ้ำ
รุ่งสิ เค้าเรียกว่าแตกต่างอย่างมีกฎเกณฑ์ เฟ้ย ผมบอก
บทสนทนาของพวกเราไม่ได้ยืดยาวเกินไปกว่านั้นเนื่องจากเม็ดฝนที่ค่อยๆโปรยปรายลงมา บวกกับอากาศที่ค่อนข้างเย็นพวกเราจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ถึงแม้อดีตและความทรงจำต่างๆจะถูกเลือนรางตามกาลเวลา เปลี่ยนเป็นเพียงแค่ภาพจางๆ แต่คำพูดทุกคำมันยังคงก้องอยู่ ความรู้สึกและสีหน้าที่เอาจริงๆเอาจังของเด็ก ป.๓ มันยังไม่เลือนหายไปไหน ปัจจุบันต่างคนต่างแยกย้ายกันไปบ้างก็ยังอยู่ที่กรุงเทพฯ บ้างก็ไปเชียงใหม่ บ้างก็ไปเมืองนอก ทุกคนยังคงทำตามและพยายาม ไขว่ขว้าตามความฝันของตนเหมือน เดิมเว้นเสียแต่ เด็กชาย ตง ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร แต่ที่ไม่เป็นแน่ๆคือ ภารโรง แล้วคุณล่ะเคยมีความฝันในวัยเด็กมั๊ย?
2 กุมภาพันธ์ 2547 20:02 น.
กลิ่นดิน
สุขา! สุนัข! เพื่อนๆมักชอบเรียกสุอย่างนั้น สุไม่เห็นว่ามันจะขำตรงไหนเลย สุขาก็เป็นที่ปลดทุกข์ให้ความสุข สุนัขก็น่ารักออกจะตาย มันจะขำอะไรกันนักกันหนา สุเป็นคนระยอง เกิดที่บ้านพักริมชายหาด ในสมัยนั้นระยองยังไม่ค่อยเจริญนัก สุจึงไม่ค่อยได้ออกไปไหน วันๆก็ไปเรียนหนังสือแล้วก็กลับมา สุไม่ค่อยมีความทรงจำในวัยเด็กเท่าไรนัก จะมีเพียงแต่ก็เรื่องราวเมื่อเร็วๆนี้เอง เรื่องราวมันเริ่มจาก มัน
มัน เป็นเด็กข้างบ้าน มันอายุมากกว่าสุ ๓ ปี แต่สุไม่เคยเรียกมันว่าพี่ เพราะว่าตัวเล็กกว่าสุ เกือบครึ่งหนึ่ง สุชอบล้อมันว่า ผู้ชายอะไร้ตัวเล็กกว่าผู้หญิงอีก นานๆครั้งก็โดนสวนกลับมาว่า ผู้หญิงอะไร้ตัวใหญ่กว่าผู้ชายอีก มันหน้าตาเหมือนวิลลี่(ตอนเดินตกบันได) การเรียนก็คล้ายๆโนบิตะ คือ 0 ตลอดกาล มันไม่เคยเล่นกีฬาอะไรเลย ดนตรียิ่งไม่เคยแตะ มันไม่มีงานอดิเรกอะไรเลย เวลาว่างๆมันชอบมาเดินเล่นอยู่กับสุแล้วก็นั่งจ้องหน้าสุ สุก็จะถามมันทุกครั้งไปว่าจ้องอะไร แต่มันก็ไม่เคยตอบ มันไม่ใช่คนพูดมาก จริงๆแล้วแทบจะไม่พูดเลยก็ว่าได้ แต่มันมีดีอยู่อย่างนึงคือมันไม่เคยโกหกสุ หลายครั้งเหมือนกันที่สุทำให้มันเสียใจโดยการแย่งไอติมกะทิ สุดที่รักของมัน แต่มันก็ไม่เคยตอบโต้และพูดอะไรเพียงแต่เดินไปซื้อแท่งใหม่แล้วก็กลับมานั่งกินหน้าตาเฉย ซึ่งก็จะโดนสุแย่งทุกครั้งไป
สุ เป็นเพื่อนกับมันตั้งแต่ ป.๓ สุไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันหรอกรู้เพียงแต่ว่ามันเป็นลูกกำพร้า ซึ่งคนข้างบ้านรับมาเลี้ยงเท่านั้นเอง แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสุไม่ชอบซักถามเรื่องที่คนเค้าไม่อยากพูด ถ้าเค้าอยากจะพูดเค้าก็คงบอกเราเองหล่ะ สุมักบอกกับตัวเองอย่างนี้ แต่มันก็ไม่เคยบอก สุกับมันเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเราไม่เคยโกรธกันจริงๆจังๆ จะมีก็แต่การ ง้องอนแบบเด็กๆ ซึ้งสุมักเป็นคนงอน และต้องไปง้อมัน ทุกที เพราะมันไม่เคยเล่นด้วย
มีอยู่วันนึงขณะที่สุนั่งกินไอติมอยู่ มันก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหาสุ พร้อมกับชี้โบ้ชี้เบ้ไปทางบ้านของสุ มันไม่ยอมบอกเหตุผลว่าอะไร เพียงแต่ทำหน้าตกใจ สุเห็นก็รู้สึกได้ว่าคงมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นแน่ จึงคว้าแขนมันแล้ววิ่งไปตามทาง พอวิ่งไปถึงบ้าน ทุกอย่างก็อยู่ครบเรียบร้อยดี ไม่มีร่องรอยไฟไหม้ หรือควัน จะมีผิดสังเกตก็แต่ประตูหน้าบ้านที่เปิดอ้าไว้ สุเห็นดังนั้นใจไม่ดีจึงบอกมันว่า เราเรียกตำรวจกันเถอะ แต่มันทำหน้าเคร่งเครียดแล้วก็ส่ายหน้า พร้อมกับจูงมือสุเดินเข้าไปในบ้าน เป็นครั้งแรกที่สุรู้สึกว่ามันเป็นผู้ชาย เป็นครั้งแรกจริงๆ พอเข้าไปในบ้าน สุไม่เห็นมีอะไร จึงบอกมันว่ากลับเหอะเดี๋ยวรอพ่อแม่มาก่อนแล้วค่อยมาอีกที แต่มันก็ยังเดินนำหน้าสุไปเหมือนไม่สนทำให้สุต้องวิ่งตามไปติดๆ มันชี้ให้สุดูสมุดภาพและกล่องเก็บของที่ถูกรื้อกระจัดกระจาย ในนั้นเป็นไดอารี่แล้วก็จดหมายรักที่สุเคยได้เขียนและได้รับมา พอเห็นของสุดรักสุดหวงของสุถูกรื้อ สุก็ไม่ทันคิดอะไรโวยวายทันทีแล้วก็เข้าไปตบตีมัน แต่มันก็ยังเฉยเหมือนเดิม มันไม่ตอบโต้อะไร แต่มันกลับกอดสุแล้วก็ จูจุ๊บสุที่ปาก มันไม่ใช่คนตัวใหญ่แรงก็ไม่ค่อยมี แต่ตอนนั้นสุรู้สึกหมดเรี่ยวแรง เรียกได้ว่าแทบจะละลายในมือของมันทีเดียว โชคดีที่ตอนนั้นพ่อแม่สุมาบีบแตรหน้าบ้านส่งสัญญาณว่ากลับมาแล้ว มันจึงปล่อยสุไปเปิดประตูไม่งั้นก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป มันอาจจะเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นก็ได้ สุเก็บเอาเรื่องราวในวันนั้นมานอนคิด ก็หน้าแดงอยู่คนเดียว เหมือนคนบ้า ข้าวไม่กินไม่หลับไม่นอน วันรุ่งขึ้นสุตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปเล่นกับมันเหมือนเคย แต่มันก็ทำตัวปกติมาก ปกติยิ่งกว่าปกติเสียอีกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนทำให้สุรู้สึกว่าเหตุการณ์ในวันนั้นอาจจะคิดไปเองก็ได้ เราจึงค่อยๆห่างกันออกมาโดยที่เรื่องราวมันก็ยังสับสนอยู่อย่างนั้น ๒-๓ วันต่อมาขณะที่ครอบครัวของสุกำลังรับประทานเย็นอยู่นั้น พ่อของสุก็เอ่ยขึ้นมาลอยๆว่า เออเนี่ยสุรู้รึเปล่าว่าคนข้างบ้านเค้าย้ายไปแล้ว สุถามทันทีว่าบ้านไหน พ่อก็ตอบทันทีในคำตอบที่สุไม่อยากได้ยินคือ บ้านของมันไง อ้าวแล้วมันไม่ได้บอกลูกเหรอ สุไม่ตอบแต่กลับวิ่งออกจาดโต๊ะอาหาร ออกจากบ้าน ไปหามัน หวังว่ามันคงไม่จริงพอสุไปถึงรั้วบ้าน มองข้ามไปก็เห็นแต่บ้านเปล่าๆไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีวี่แววของคนอยู่เลย สุไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงจากไปโดยไม่บอกแล้ว สุก็ยังไม่แน่ใจด้วยว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน ในวันนั้นทุอย่างมันสับสนไปหมด ทั้งเสียใจ โกรธ น่าสมเพชตัวเอง แต่สุก็ไม่สามารถทำอะไรกับสิ่งที่เกิดได้ ได้แต่ปลงทุกวันนี้บางทีที่สุอยู่คนเดียวสุก็จะคิดถึงมัน ถึงจะไม่รู้ว่ามันจะอยู่ไหน เป็นอย่างไร จะตัวโตขึ้น หรือมีแฟนแล้วหรือยัง แต่สุก็คิดถึงออกมาดังๆว่ามัน ในบางทีถ้าคุณได้ยินสุ พูดว่า มึง ! อยากบอกว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่สุกำลังคิดถึงมันตะหาก ฉะนั้นก็ทำใจหน่อยนะคะ...... หากได้ยินคำว่า มึง บ่อยๆ