อันดับที่ 14 สัจจะวาจา จุดเริ่มต้นแห่ง......พลัง คนทั่วๆไปใช้ชีวิตให้หมดไปวันแล้ว วันเล่า เดือนแล้ว เดือนเล่า และ ปีแล้วปีเล่า จนถึงวันตาย........ อาจไม่ได้ค้นพบ เรียนรู้อะไรเป็นแก่นสาร นอกจากการมีชีวิตอยู่ งานอาชีพ เงิน รถ บ้าน การยอมรับของสังคม อยู่ในกรอบ เพราะอะไร เพราะมีพลังไม่เพียงพอที่จะคิดทำงานที่ยิ่งใหญ่....... เริ่มต้นเดี๋ยวนี้ " สัจจะวาจา " คือ เมื่อพูดแล้ว พยายามทำให้ได้ถึงที่สุด แล้วหากทำไม่ได้จริงๆ ก็สามารถประกาศสัจจะวาจาใหม่ได้ ว่าทำไม่ได้ ก็ถือว่าไม่ได้เสียสัตย์ แค่นี้ทำได้ไหมล่ะ ทำได้แน่นอน นี่แหละจุดเริ่มต้นแห่งพลัง จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี พลังจะโดดเด่น จนคิดทำการใด จะได้ดั่งฝัน คำประกาศ " สัจจะวาจา " " ด้วยบุญบารมีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ทำในอดีต จนถึงปัจจุบัน จงรวมลง เป็นแรงอธิษฐาน ให้ ข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้..........................และนี่คือ " สัจจะวาจา " ของข้าพเจ้า แล้วลงมือทำให้ดีที่สุด เต็มความสามารถ แล้วคอยพบกับสิ่งมหัศจรรย์
6 พฤศจิกายน 2549 22:59 น. - comment id 623948
ฝนข้างนอกหน้าต่างรถกำลังกระหน่ำหนัก.. ฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงเพลงในรถ กำลังบรรเลงบทเพลงอกหักรักร้าว พลอยพาให้*เธอ*เศร้าระทมตรมตรอมตาม และ.... ดั่งคล้ายกับโลกกำลังโศกสะเทือน เลื่อนลั่นไปทั่วทิศทาง พร้อม... เพลงฟ้าฝนที่กำลังคร่ำครวญครืนคราง คะนอง.... รถคงวิ่งฝ่าปีศาจวสันต์อันทุ่มอกชกตัว ในม่านหมอกสลัวเลือนลาง เสมือน..เสมอ พอกับชีวิตเธอที่ดูราวกับว่าจะหลงทาง ในท่ามกลางเมืองในหมอก ที่รายล้อมคือป่าใหญ่ไพรกว้างที่สองข้างทางเต็มไปด้วย เนินสล้าง ด้วยยางยูงสูงใหญ่ไหวเอน เธอ..นั่งนิ่งมองออกไป ในดวงใจคิดถึงบทเพลงบางบท ที่แสนงดงามในยามนี้ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song4454.html น้ำตาฝน ฟ้า หรือฝน ลมจะเท มาเพียงใด ไม่เจ็บ เท่าไร ใช่ไหมฟ้า ไม่ทัน ข้ามวัน หมดแรงฟ้า เมื่อไรพลัน ลมฝน คงผ่าน เลย ไป คน ซิคน ลวงล่อคน ซิเจ็บกว่า ไม่แบ่ง เวลา ดั่งเหมือนฟ้า ไม่พูด ไม่จา เบื่อหน้า ลืมได้ ทันที เจอะ คน ใจ ร้าย ใจดำ ก็มีแต่ช้ำ รับกรรม ตากฟ้า ตากฝน ยังชื่นฉ่ำ กว่าเจอ หน้าเธอ คนลืมคำ จะจำ เอาไว้กับใจ ว่าใจ เธอร้ายกว่าใคร ฟ้า หรือฝน ลมจะเท มาเพียงใด ไม่เจ็บ เท่าไร ใช่ไหมฟ้า ไม่ทัน ข้ามวัน หมดแรงฟ้า เมื่อไรพลัน ลมฝน คงผ่าน เลย ไป คน ซิคน ลวงล่อคน ซิเจ็บกว่า ไม่แบ่ง เวลา ดั่งเหมือนฟ้า ไม่พูด ไม่จา เบื่อหน้า ลืมได้ ทันที เจอะ คน ใจ ร้าย ใจดำ ก็มีแต่ช้ำ รับกรรม ตากฟ้า ตากฝน ยังชื่นฉ่ำ กว่าเจอ หน้าเธอ คนลืมคำ ได้ โปรด เถิด ฟ้า ปราณี ข้าเจ็บคราวนี้ ไม่มีดี ถูกคนใจร้าย ย่ำยี เจ็บปวดเหลือที่ ช่วยข้าที ข้าวอน ให้ลมกับฟ้า จงพา ให้ฝนตกมา ให้หยาดฝน ลบคราบน้ำ ตา... .............. และยาม ดึกดื่นยามที่จันทร์เพ็ญลอยพูนดวง ประดับฟ้าเหนือน่านน้ำแลฟ้าไท หญิงดายเดียวคนหนึ่งนั่งแนบหน้าริมหน้าต่างเครื่องบินมองแลลงมายังเบื้องล่าง ท่ามไฟพร่างพริบพราว ราวเมืองแก้วประภัสสร เมืองฟ้าอมร..แห่งคนไทยหกสิบล้านดวง ที่แสนโชคดีเป็นที่ยิ่งนักแล้ว ที่ได้เกิดมาอย่างผ่องแผ้ว ภายใต้ร่มรัตน์ร่มฉัตรเพชร ฉัตรแก้วฉัตรทอง ใต้ครรลองแห่งอริยสัจจสี่..สัจจธรรม ในแดนดินถิ่นพุทธภูมิ ชมพูทวีป ที่ณ..วันนี้ โลกต่างพากันหยุดเฝ้าดู และ ต่างก็รู้ว่าจิตวิญญาณภายใน นั้นไซร้มีค่ามากกว่า โลกศิวิไลซ์ กิเลสอื่นใด เธอ..สวดมนต์ภาวนาเหนือราวฟ้า ด้วย... ดวงใจใสสกาวพอกับดาวประจำเมือง และ.... ในวันเพ็ญ..เธอได้ลอย กระทงใจอันแสนไสวงาม ท่ามทะเลเมฆวิเวกแสนสุขสงบงาม ให้กระทงทิพยนิรมิต จากจิตอันแสนเกษมปิติลงพลีบูชา นัมทามหานที..ทอง ที่ไหลล่องผ่าน ไปยังพระธาตุจุฬามณีบนสรวงสวรรค์.. พร้อมตั้งจิตอธิษฐานสัจจวาจา จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า จงมาเฝ้ารับขวัญ พร้อมกระทงจาก *ดวงใจรักนิรันดร์ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวนี้* ในคืนวันเพ็ญ อันแสนสุขสงบเย็น เพื่อนำไปสักการะพลีบูชาต่อองค์พระธาตุบนสรวงสวรรค์ และขอให้มารับทุกข์โศกโรคภัย ความเคราะห์ร้ายทั้งปวงออกไปจากชีวิต ของลูกด้วยเทอญ
6 พฤศจิกายน 2549 23:12 น. - comment id 623949
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song150.html (บุษบาเสี่ยงเทียน) ******** ใบบัว..กำลังยืนคลี่ยิ้มอิ่มเอม อยู่ท่ามกลางลานจันทร์ ลานธรรม ลานกว้าง ที่ถูกโอบรายล้อม ด้วยอาคารชั้นเดียวทรงเรียบง่าย ที่ฉาบปูนทิ้งทีแปรง แฝงร่ำความงามล้ำแบบโบราณ และ ทุกห้องหับ ที่รายล้อมลานหญ้านั้น ภายในจะมีเพียงแค่เสื่อกก กับ ตู้เก่าแบบเดียวกับตู้เก็บพระไตรปิฎก ไว้เก็บพระธรรมคำสั่งสอน บนหัวนอนจะมีก็แค่ตอไม้เตี้ยๆ ไว้วางแท่งเทียนไว้เขียนอ่านหนังสือ และ จะมีชานยื่นออกมารับเสากลมรายรอบ ระบียงอาคารตามอย่างวิหารวัดบ้านนอก หลังคาใช้กระเบื้องว่าวเก่ามามุง ให้ดูงามขลังงามคร่ำงามเงียบสงบ ตรงกลางลาน คือโถงอาคาร ที่เลียนแบบสร้างแบบโบสถ์เก่าคร่ำ ที่ใบบัวหวังต้องการ ให้อาคารสมถะงามเงียบเรียบง่ายนี้ งามดั่งกระท่อมธรรมกระท่อมทอง ที่ใบบัวจะใช้สำหรับนั่งสมาธิ วิปัสสนาในยามค่ำคืน แทนที่ จะดั้นด้นไปตามโบสถ์เก่า ที่ใบบัว..แสนศรัทธาใจ ที่ซึ่งใบบัว.. ตั้งใจจะสร้างให้งามง่ายอย่างที่สุด มีเพียงยกพื้นสูงขึ้นไป ไว้ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์โต ที่งามผ่องผุดสุกปลั่งเพียงองค์เดียว ไว้เป็นศรัทธานิมิตร พาพบสะอาดสว่างสงบ พบจิตกระจ่าง ใบบัว..ตั้งใจ ให้มีแค่แสงเทียน รำไรกระจายจับ พระพักตร์พระพุทธิ์ผู้บริสุทธิคุณ ส่องสว่างให้กระจ่างจับจิต ราว*แสงสงฆ์* ให้ใบบัว.. ได้สวดมนต์ภาวนา น้อมสมาธิเพียรพลีบูชา ส่องนำทางในทุกนิยามชีวีชีวิตที่เหลืออยู่ ในชีพนี้ ที่ช่างแสนสั้นเสียนี่กระไร ช่างไม่มีอะไรจะเที่ยงแท้แน่นอน... ใบบัว.. ได้รับมรดกที่ดิน 6 ไร่ ที่มากพอ จะมาสร้างบ้านแห่งความฝันอันสูงสุด ให้เพียรฝึกพาสู่วิมุติ ให้หลุดพ้น จากพันธนาการใจพันธนาการโลกย์ ให้ได้ชิดใกล้ธรรมะ ธรรมชาติ อันงามเงียบเรียบง่ายแสนสมถะ เพราะว่าโลกของใบบัวนั้น ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ เติบงามมากับความงามง่าย ไร้แสงสี เห็นก็แต่คนใกล้ดวงชีวี คือคุณยาย ที่ใช้ชีวิตในชนบทอย่างสมถะ ใบบัว..จำได้..ทุกวันพระ ใบบัวจะต้องเตรียมจัดของไปวัด ด้วยใจที่อิ่มงามอย่างเหลือเกิน........ ใบบัว..จำได้ดี ถึงยามเช้าแสนสดชื่นสดใส ของชีวิตบ้านนอกของใบบัว.... ยามเช้า ที่เป็นวันสำคัญๆของชีวิต... ที่ใบบัว..จะต้องตามคุณยายไปวัด.. ไปทำบุญตามประเพณีไทย ที่หล่อหลอม ให้วิถีไทยวิถีใจของใบบัวมีความสงบ. เรียบง่าย มากล้นน้ำใจ.. ต่อทุกสรรพสิ่ง..... ใบบัว.. จะตื่นมาพร้อม กับเสียงไก่ขัน เอ้ก อี เอ้ก เอ้ก....... กับกลิ่นดอกราตรี โมก และดอกพุดริมรั้ว ที่ได้น้ำค้างยามเช้าพรมพร่าง มาหอมอวลปลุกนิทรา เสียงถ่านประทุ กลิ่นข้าวหอมร้อนๆ ที่เดือดปุดๆบนเตา เสียงตำน้ำพริก เสียงภาชนะกระทบกัน ล้วนแล้วแต่เป็นเสียง ที่ทำให้ใบบัวลุกจากที่นอน...... ใบบัว..มีหน้าที่ จะต้องเตรียมดอกไม้เพื่อไปถวายพระ... เป็นดอกไม้ ที่ใบบัวเก็บจากริมรั้วบ้าน ชบาแดงจัดจ้าน ..... บานชื่นหลากสี ที่ใบบัวคิดว่าคงแทนความเบิกบานร่าเริงใจ...... ดาวเรืองเหลืองละออ....แทนความสว่างไสวของชีวิตชีวา..... ทุกๆดอกคือความงาม ที่ใบบัว คัดสรรด้วยใจดวงงามของใบบัวเอง..... เอาความอิ่มเอิบของใจที่ใสงาม และ เย็นฉ่ำราวน้ำค้างยามเช้า มาผูกเป็นช่อร้อยรัด ........ ทุกๆสิ่ง ที่ใบบัวนำไปวัดมาจากใจที่งามล้ำค่าดั่งมณี.... ใบบัว.. จะช่วยคุณยายจัดของทุกอย่างใส่ลงใน..กะเฌอ..... ซึ่งบ้านใบบัวเรียกอย่างนี้.. กะเฌอ..คือภาชนะที่สานละเอียดยิบ ด้วยไม้ไผ่ตอกละเอียด ด้วยฝีมือวิจิตรบรรจงของคนทางใต้ นำมาถักทอเป็นลวดลายงาม ในยามอุษาสาง น้ำค้างยังทรงหยด ดาวพระศุกร์ยังแขวนฟ้างามงดสุกปลั่ง ดุเหว่าดงในพงไพรยังร้องเพลงหวานแว่วแผ่วมา กับฟ้ากว้าง กับทางช้างเผือก กับฟ้าเริ่มระเรื่อรุ่งราง ราวสายแสงสีรุ้งพร่างอำไพ กับเสียงระฆังหง่างเหง่งๆวังเวงแว่ว ราวเสียงดนตรีแก้ว จากทิพยสถานวิมานทองวิมานธรรม ให้พระสงฆ์ลงโบสถ์คร่ำสวดมนต์ทำวัตรเช้า ให้เสียงสงฆ์เสียงธรรม กระหึ่มก้องใจ ก้องไพรงาม..สงบใจ และเมื่ออรุณใสหวาน ตะวันเริ่มพรายพร่างแสงแจ่มจรัส คุณยายและใบบัว จะค่อยๆเดินฝ่าละอองหมอกครรลองน้ำค้าง เดินตามกันไป ในท่ามทุ่งทิพย์รวงทองท้องทุ่งนา คุณยายจะทูนกะเฌอไว้เหนือศรีษะราวน้อมคารวะ และ ใบบัวน้อย จะค่อยๆหิ้วปิ่นโตตามหลัง กับในกำมือมีดวงดอกไม้นานาพรรณ ที่ถูกพันผูกมัดรักร้อย ราวสร้อยแสงแห่งศรัทธาใจ ให้แก้มงามใสงามเยาว์ ระดะดวงดอกข้าวดอกน้ำค้างดวงดอกไม้ไพร ให้หยาดละออละอองน้ำค้างใสเยียบเย็น พร่างพรมผ้าถุงผืนงาม ในทุกยามอุษาสาง ที่นะกลางไพร... ให้สองดวงใจสวยใส มองฟ้าไกล มองยอดเจดีย์สีทองรำไรๆโผล่พ้นทิวไม้ ทายทักดวงตะวันอันอ่อนอุ่นโอบเอื้อ และ ให้ดวงดอกตะวันบานสะพรั่งนะกลางใจไปพร้อมๆกัน ****** และขอ ย้อนกลับมานะวันนี้กับวันนี้ ที่ใบบัวแสนจะมีความสุข ที่ใบบัว ได้กลับมาเนรมิตฝันให้เป็นจริง ทุกครั้ง ที่ใบบัวเหนื่อยล้าท้อแท้กับงานประจำที่ทำ ใบบัวจะเตือนตัวเองซ้ำๆว่า ใบบัวมีเป้าหมายอะไรในชีวิต ใบบัวไม่คิดสะสมวัตถุมากมี ไม่เคยคิดใช้ชีวิตหรูหราเท้าไม่ติดดิน ไปตามอาชีพเงินดีเงินงาม ชีวิตนางฟ้า นางสวรรค์ ไม่เคยลืมว่า รากเหง้าใบบัวนั้น... มาจากไหนและทำไม ได้มาชูช่อไสวพร่างสว่างในโลกกว้างทางไกล และควรจะเลือกดำเนินชีวิตไป ในทิศทางธรรมทางใด ถึงจะเป็น บัวดอกบัวใบ บัวงาม ให้หยาดน้ำค้างใส หยาดน้ำค้างทิพย์จากทิพยวิมานนางฟ้า มาสถิตพร่างพรมมาห่มหอมใจ มากลิ้งวะวับไหววะวับวาวราวเพชรน้ำดี มาสอนบทเรียนใจ บทเรียนธรรมบทเรียนทอง พายพาลอยล่อง ท่องเหนือทะเลโลกย์ทะเลโศกสุขเศร้าเร่าร้อน ให้ใจงามผ่องงามพราว ราวหลุดพ้นโคลนตมดั่งบัวพ้นน้ำ ใบบัว..คือผู้หญิงชาวดิน ผู้หญิงที่ถูกหล่อหลอม ถูกกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู มาด้วยความทะนุถนอม มาด้วยความรักที่งามนักงามหนา ที่มาจากความสงบสมถะ ความมีค่าของคำว่า *กุลสตรีและวัฒนธรรม* ที่จำต้องรักนวลสงวนตัว รักความเป็นไทย รักในวิถีชาวชนบท ที่รู้รักษาขนบประเพณีและ ยังยึดมั่นศรัทธา ในศาสนาอย่างแน่นเหนียว รู้พอใจกับชีวิตที่ได้ชิดใกล้ธรรมชาติ รู้การรักษาจิตให้มีศีล ทาน ภาวนา ที่จะเพียรพาให้เกิดสมาธิ มีปัญญา ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าคำมนุษย์ ใช่เพียงมาเกิดเป็นคนคนคนวนวนวน.. ว่ายว่ายไปตามเพรงกรรม.. ย้ำย้ำย้ำรอยมิสิ้นสุดมิหลุดพ้น ใบบัวจึงฉลาด.. ที่จะวาดเป้าหมาย และไปตามเส้นทางฝัน เส้นทางจิตวิญญาณบ้านภายใน ที่ใบบัวคิดว่า จะดำเนินรอยตาม คุณยายและคุณแม่ของใบบัว ที่เกิดมาราวราวดอกไม้งามง่ายในชนบท หากทว่าจิตแสนสดแจ่มกระจ่าง สว่างไสวราวมีแก้วเจียรนัยชั้นดีอยู่ภายใน แม่ผู้มาพรากจากใบบัวไป ตั้งแต่ใบบัวยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ ที่ใบบัวจำได้เพียงคำสอนสั้นสั้นซึ้งๆ หากตามมาติดตรึงใจใบบัวเสียเหลือเกิน คำที่ว่า *งามใดไหนเล่าจะเท่างามดวงใจใครจะรู้นี้* ขอแค่มี จิตภายในงามใสสว่าง พร่างราวอัญมณีไพร ก็เพียงพอก็พอเพียง วันนี้ ใบบัวจึงมีแต่ความอิ่มงาม ตามตลอดระยะเวลา ที่เฝ้าเพาะบ่ม เพียรฝึกสอนจิตสอนใจ ให้ใฝ่หาเพียงธรรม มาหอมพรมหอมพร่าง ราวเกสรบัวสดสล้าง นะกลางบึงกลางกลีบใจ คู่เคียงใจ*คู่ใบบัวใบบุญ* ให้หอมกรุ่นละมุนละม่อม ในหอมห้วงหัวใจ ในทุกทิวาราตรีที่ผันผ่านมานานนัก ให้มีวันนี้.. วันที่ใบบัวคิดได้คิดดีคิดว่า สิ่งที่ใบบัวควรสะสมนั้น มิใช่เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋ามียี่ห้อ หรือ ขอแค่มีบัญชีเงินงาม และ หากมาตรแม้นถึงจะได้มา ก็ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น เพียงใช้น้ำพักน้ำแรง เพียรสร้างสะสมด้วยสุจริต และกับทุกลิขิตบทบาททางโลกย์ ใบบัวเพียงแค่คิด นำมามาเนรมิตบ้าน ในฝัน อันสมถะ และ ราวรวงรังแห่งรัก ไว้พักพึ่งพิงรสพระธรรม ไว้ดื่มด่ำพร่ำภาวนาในบั้นปลาย *บัญชีเงินจึงงามงอกพร้อมบัญชีบุญ* ที่ใบบัวเพียรสร้างละมุนหนุนนำจิต ให้คิดเสียสละอุทิศเป็นดั่ง*ผู้ให้* ทั้งทางโลกย์และทางธรรม ที่จำจะต้องสอดผสานกันเป็นเสมือนดั่งรักนิรันดร์ มิรู้สิ้นรู้จบเพื่อทบทวีบุญ.. จนกว่าจะละทิ้งสังขาร พานพาลาลับ ดับดวงสุริยาชีวาชีวิตจิตวิญญาณ อันวางว่างร้างไร้มายา ไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย..... และณ..วันนี้ กับนาทีที่แสนดีแสนงาม ใบบัวเดินสำรวจรายรอบ ทุกอย่างเป็นจริงตามความฝันแล้ว ใบบัวให้คนขุดบึงบัวรายรอบโอบอ้อม ทั้งสี่ด้านของอาคารเรียบง่าย ลงบัวหลวงหลากสีสรรนานาพันธุ์บัว ไว้ใช้ดวงดอกพลีเป็นพุทธบูชาถวายพระ และ ระหว่าง โลกแห่งความจริง กับโลกธรรม โลกแห่งความฝัน แสนเงียบงามสงบพิสุทธิใส ดั่งเพชรพร่างกระจ่างจิตกระจ่างใจ นำทางใจนะบ้านภายใน ใบบัวจะแยกทางทอด สอดประสานเชื่อมด้วยสะพานไม้ ให้ทุกดวงใจใฝ่หาธรรมอันล้ำค่า เพียรเดินข้ามผ่านเข้ามา เป็นดั่งสะพานจิตสะพานใจ เป็นรอยเชื่อมต่อ ระหว่างโลกภายในกับโลกภายนอก กับบ้านภายใน กับจิตดวงใสดวงให้ของใบบัวเอง ใบบัวมีบานประตูโบราณคล้าย บานประตูเรือนไทยสไตล์ล้านนา มีหลังคาสลักเสลาลายละเมียดมุง ก่อนจะย่างผ่านเข้ามา ยัง ลานจันทร์ลานธรรมลานขวัญพลี นะที่แห่งนี้.... และ ก่อนจะถึงจะพบ กับอาคารอันสงบงามรายรอบ ราวริมระเบียงโบสถ์นี้ ที่มีมวลหมู่ดอกไม้ไทย ถูกปลูกประดับเป็นระยะ มีจิกน้ำห้อยพวงหวานประดับ ตรงหน้าทางเข้าอาคารกลาง ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ พระพักตร์งามละไมละมุน กรุ่นมากเมตตากรุณาปราณี ที่แสนสงบงาม ไว้ฝึกเพียรภาวนาพร่ำบ่นบูชา ในทุกราตรีกาล แห่งชีวีชีวิตที่แสนสั้นเป็นยิ่งนักแล้ว มีลั่นทมซ้ายขวาดอกสะพรั่ง มีพิกุลรักพิกุลขวัญ ที่นะบัดนี้ กำลังแตกกอต้นสูงใหญ่ เชยชิดชายคาคล้ายโบสถ์คร่ำ ที่งามกระจ่าง ในท่ามเงาจันทร์เงาใจเงาไม้ ในคืนฝันวันที่พระจันทร์เพ็ญเด่นดวง ที่ที่ซึ่งใบบัวจะค่อยๆย่างก้าว ราวตั้งใจ*เดินจงกลม* พลางเก็บดวงดอก ที่ยังพร่างพรมสดงามบนลานหญ้า และ จะนำมาเรียงร้อยเป็น สร้อยมาลีมาลัย สร้อยใจสร้อยศรัทธา สร้อยมาลัยขวัญ สร้อยมาลัยพิกุล อันหวังจะเป็นดั่งพุทธบูชา ฝึกดวงใจให้งามรำงับสงบ ยามค่อยๆร้อยทบบรรจง..ทีละดวงทีละดอก ดอกแล้วดอกเล่า เฝ้าเพียรพันรัก มาถักร้อย ดั่งสายสร้อยแก้วสร้อยขวัญ ให้ระร่ำระรินรส ฝากงดงามแห่งเนื้อใจ.. และ ในยามค่ำหาก ใครๆผ่านมา.. มักเมียงมองว่า นี่คือบ้าน หรือว่า โบสถ์เก่าคร่ำกันแน่ละหนอละนี่ ที่เห็นแสงเทียนถูกจุด ทอทอดลอดไล้แสงไสวออกมา และ จะยิ่งประหลาดใจ หากเดินข้ามผ่านบานประตูเข้ามา ในเงางาม กระจ่างใจกระจ่างจิตกระจ่างชีวิตวิญญาณ ราว*สายแสงทองแสงธรรมแสงสงฆ์*ส่อง สอดประสานงามกระจายพรายพร่างรัศมี มาจากพระพักตร์พระพุทธ ผู้พิสุทธิคุณเหนือบุญญา และ จะเห็นผู้หญิงผมยาวสลวย ทัดดวงดอกจำปาเหว่ว้า วงหน้าเรียวละมุน นวลละอองผ่องผุด ดั่งทองทาเฉกเช่นกัน ห่มสไบภักดิ์สไบรักสไบขวัญสีไพล และกับ ในเงางาม ของแสงเทียนวูบไหว ที่จับเรียวหน้าละมุนผ่องนั้น จะเห็นท่านั่งแบบสมาธิอย่างสงบสันโดษ ราวทิ้งโลกภายนอกไว้ ลำพัง...!!!!! ************ http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_54931.php แสงเทียนในโบสถ์ค่ำ ลำน้ำน่าน เพ็ญเดือนหกเต็มดวงล่วงราตรี วิสาขปุณณมีคลี่ผ่านผัน แว่วโพธิ์แก้วโบกบุษย์พุทธอำพัน ยามแสงจันทร์เลื่อนลาฟากฟ้าพลบ จุดเทียนน้อยเล่มเก่าเงาทอดไหว ภายในใจภาวนาหาสงบ ภาพโบสถ์คร่ำสะท้อนย้อนคำรบ พระพุทธพบฉายฉ่ำยามค่ำชัด ประหวัดเห็นภพเก่าในเงาเทียน ส่องแสงเนียนอาบร่ำธรรมสงัด งามเรืองรองจับผ้ากาสาวพัสตร์ ประทีปทัดแสงธรรมนำมรรคา ยามสาวกสวดคำร่ำมนต์พุทธ พักตร์ผ่องผุดทอดงามตามภูษา เสียงสวดแผ่วแว่วลอยคล้อยลมมา ดั่งสายธรรมธาราทอดหลั่งไป เทียนส่องให้พอเห็นเป็นทางกว้าง สถูปรกเปลี่ยวร้างกลางเปลวไหว คุณากรย้อนเผยเปรยความนัย กลางบุหงารำไปแห่งปวงกรรม ภาวนาอยู่บนทางอันว่างเปล่า มีเพียงเงาเทียนไขในโบสถ์คร่ำ ถอนดวงใจละออกนอกเงาดำ มีเพียงธรรมสองรั้งสังสารวัฏ รอผู้กล้าอรหันต์มาบังเกิด มาทูนเทิดพุทธไทจักรวรรดิ แตกเหง้ารากโอบถิ่นศีลวัตร ให้เหล่าสัตว์หลุดพ้นบนความเพียร พุทธังกูรจักเกิดบรรเจิดหล้า ปฏิมาปกเครืออยู่เหนือเศียร ส่องสว่างพงศ์พันธุ์ผันดวงเทียน ในวงเวียนทานทนจนดับลง อธิษฐานก้มกราบทาบแผ่นดิน หวังยลยินธรรมมนต์พ้นความหลง จุดแสงเทียนรำไรในกลางดง เพียงเป็นทางลัดตรงสู่นิพพาน ------------------------------- ลูกจุดเทียนอธิษฐาน บนบาน ทวยเทพ-ไท วอนคุณพระรัตนตรัย ฟังคำพร่ำไขขาน เทียนเล่มนี้ คือ ชีวิต แม้นโชคโสภิต โปรดช่วงชัชวาลย์ แม้ลูกโชคร้าย เพียงวายปราณ พระพายจงปฏิหารย์ ดับเทียนลูกนั้นทันใด พรหมบันดาลสวรรค์ลิขิต ในอตีต แห่งชีวิตลูกนี้ มีแต่ตรมขื่นขมทวี นานปี ไม่มีแจ่มใส ลูกผิดหวัง ลูกพลั้งพลาด หมายใดมุ่งมาด กลับพลาดไป น้ำตาหยาดย้อย แต่น้อยจนใหญ่ มิมีผู้ใด เยื่อใยเวทนาการ กลิ่นธูปควันเทียนที่ในกระถาง บัวน้อยที่วางหน้าพระประธาน ลูกสังเวยบวงสรวงอธิษฐาน น้ำเสียงบนบานไปสู่พระพรหม พระสร้างลูกไว้ ในโลกกว้าง พบความอับปาง แทบสิ้นลม เมื่อไรจักพ้น ทางระทม พระหัตถ์แห่งพรหมโอบอุ้มลูกที เทียนเสี่ยงทายประกายวับแวม ไม่แอร่ม แจ่มหวนโหย ลมสงัดไม่มีพัดโชย โบยต้อง ให้หมอง ศรี กรรมแต่หลัง ยังไม่ลับ แสงเทียนไม่ดับแต่ริบหรี่ แสงเทียนอยู่ยั้งหวังยังมี ขอรอโชคดี สักวันคงมา... http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=150 บุษบาเสี่ยงเทียน ดาวใจ ไพจิตร : : Key C เทียนจุดเวียนพระพุท-ธา ตัว ข้า บุษบาขออธิษฐาน เทียนที่เวียนนมัสการ บันดาลให้ หทัยสมปรารถนา ดลจิตอิเหนา ให้เขามารักข้า ขอองค์พระปฏิมา เมตตาช่วยคิดอุ้มชู ขอเทียนที่เวียนวน ดลฤทัยสิงสู่ ให้องค์ระเด่นเอ็นดู อย่าได้รู้คลายคลอน อ้า องค์พระพุท-ธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน ข้าสวดมนต์ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี รักอย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ ตั้งใจ อ้า องค์พระพุทธา ตัวข้า บุษบาขอกราบวิงวอน ข้าสวดมนต์ ขอพระพร วิงวอนให้ หทัยระเด่นปรานี รัก อย่าเคลือบแฝง ดังแสงเทียนริบหรี่ ขอองค์ระเด่นมนตรี โปรดมีจิตนึกเมตตา ขอเทียนที่เสี่ยงทาย ดลให้คนรักข้า รักเพียงแต่บุษบา ดั่งข้านี้ตั้งใจ... ...................
6 พฤศจิกายน 2549 23:20 น. - comment id 623951
คุณทวารวดีคะ งานคุณนั้นเกินคำกล่าวชมค่ะ จึงฝากเรื่องที่แสนรักพลีกำนัลด้วยรักนะคะ เย้ยฟ้าท้าดิน ไม่สิ้นรักเธอ ........... ผม...ไม่เคยจัดงานวันเกิด....แต่ชีวิตผมก็ยังอยู่ดี มีสุข ไม่เคยทุกข์ร้อน กับ..ทุกทุกวันของชีวิตนี้ที่ได้เกิดมา...และ ผมคิดว่า...ทุกสิ่งแสนดี อยู่ที่ใจ มิใช่วันเวลา หรือให้ใครมาบงการ และลิขิตชีวิตนี้ที่เป็นของเรา...... ถ้าเพียงแต่เรา รู้คุณค่า...ของการใช้ชีวิต..ให้เป็น... นานมาแล้ว................ ผมเคยฟังเพลง...เพลงหนึ่ง..... เย้ยฟ้าท้าดิน....... ฟ้าหัวเราะ เยาะข้าชะตาหรือ ดินนั้นถือ อภิสิทธิ์ชีวิตข้า พรหมลิขิต ขีดเส้นเกณฑ์ชะตา ฟ้าอินทร์พรหม ยมพญา ข้าหรือเกรง ขอหัวเราะเยาะเย้ย เหวยๆฟ้า พสุธา อย่าครวญว่า ข้าข่มเหง เย้ยทั้งฟ้า ท้าทั้งดิน สิ้นยำเกรง หรือใครเก่งเกินข้า ฟ้าดินกลัว ข้าขอลิขิต...ชีวิตข้าเอง ไม่เกรงดินฟ้า อีกพื้นพสุธา พญายม พรหมอินทร์ทั่ว ข้ากระทำ แต่กรรมดี มีหรือจะกลัว มิใช่ใจชั่ว ลืมตัวหลงลำพอง อันสวรรค์อยู่ในอก นรกนั่นหรือ ข้าก็ถืออยู่ในใจไม่หม่นหมอง ละ..การทำชั่ว ควรหรือจะกลัวนรกมั่นปอง หากทำดี...ฟ้าดินต้อง คุ้มครองเอย เพลงนี้...ทำให้ใจลูกผู้ชายอย่างผม เลิกระทม น้อยอกน้อยใจไปกับโชคชะตา ฟ้าดิน...ที่ผมนี้เกิดมามีแต่แม่ ไม่มีพ่อเพราะพ่อด่วนลาจากไป.... ผมคิด...ตั้งใจใฝ่ดี และคิดว่า ในทุกวันเกิด ทุกปี ผมจะฟังเพลงๆนี้ เพื่อเตือนใจ ผมว่า ชีวิตเรานี้หนา ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นบุญแล้ว....อย่าฝากชีวิตนี้ไว้แค่เพียงตั้งใจทำสิ่งดีๆเฉพาะ ในวันเกิด.... เราสามารถลิขิต ชีวิตเราเองได้ในทุกๆวัน มิจำเป็นต้องมีงานเฉลิมฉลอง มาดื่มกินเฮฮา ประกาศเชิญใครๆมาแสดงความยินดี ถ้าหากเรานี้..... ยังไม่สร้างคุณงามความดี ให้ครอบครัว ให้แม่พ่อผู่ก่อกำเนิดเรามา และให้โลก รู้ว่าเรามีค่า ต่อแผ่นดิน...ต่อตนเอง ให้ได้ภาคภูมิใจ.....เสียก่อน... เพียงตั้งใจ.....ทำสิ่งดี มีมงคล ในวันเกิด....... กราบ.....คุณพระศรีรัตนตรัย ศาสนาดีที่ทำให้ผมเรียนรู้ การทำใจ ให้ใส สว่าง สะอาด สงบ พบเส้นทางแห่งชีวีนี้ อย่างลูกผู้ชายไทย ที่ควรได้บวชเรียน เพื่อฝึกอบรมเพาะบ่มจิตใจให้ใฝ่ดี ไม่ก้าวผิดไปในทางแห่งหายนะ....และอบายมุขมากมี ที่รุมล้อม...... กราบ.....สถาบัน พระมหากษัตริย์ไทย ที่ยังมีในหลวง ห่วงลูกหลานคนไทย เปรียบประดุจดังพลังใจ ให้กับคนไทยทั้งแผ่นดิน ให้รู้รัก สามัคคี และมุ่งมั่นทำความดี เพื่อคืนกลับให้มาตุภูมิ....... กราบ.....ผืนแผ่นดินไทยนี้หนา ที่ให้ผืนดินลูกมา ได้ก่อกำเนิด ยืนหยัด อย่างลูกผู้ชาย คนดี ที่ได้ใช้สมอง สองมือ สองขา พาดวงใจให้กร้าวแกร่ง เพื่อได้เรียนรู้รัก รู้จักโลกที่สวยงาม กราบ....แม่พ่อผู้ประเสริฐ ผู้ให้ชีวิต แผ้วถางทางเส้นดี มีค่า นำพาให้เรารู้คิด รู้ก้าวไป ในทางดี ทางที่ถูกที่ควร..... และสำหรับผม ทุกวันเกิด ทุกปี ใจดวงนี้ไม่เคยลืม อธิษฐาน ...... ให้คนดี ที่ผมแสนรัก ภักดีด้วยดวงใจมั่นคง...คืนกลับมาหาผม ดังเพลงนี้ ที่ผมยินดีพลีมอบให้....ที่รักของผม.....ไม่ว่าอยู่..ณ...แห่งหนใด....ได้รับรู้..... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song65.html ความรักไม่รู้จบ จิตราวดี จิตตเกษม ถึงจะอยู่สุดหล้าฟ้าดิน แม้จะสิ้นสิทธิ์และเสรี แต่วันนั้น ใจฉันยังคงที่ ความรัก ความภักดี ไม่มีสิ้นสลาย ถึงโลกแตกแหลกเป็นผงคลี รักเต็มปรี่ ไม่มีรู้คลาย ชีพถูกฝัง ความรักยังเวียนว่าย เคียงคู่เธอมิคลาย ฝากวิญญาณ ไว้เตือน ด้วย ความรักไม่รู้จบ แม้ผืนดินกลบ ยากเพราะความรักเลือน จะเนิ่นนาน กี่วันกี่ปี กี่เดือน ดินฟ้าจะคล้อยเคลื่อน ใจมิเลือน รักเธอ ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด ทุกทุกอย่างบนทางรักจริง ทุกทุกสิ่งบนทางรักเธอ จะสมหวัง หรือพบความเพ้อเจ้อ เป็นที่ใจของเธอ จะจริงจังฉันใด...