เดินทางกลางเมืองอันเขื่องโข แหกโซ่กรงกรอบที่ครอบขัง หลายมือยื้อยุดจะฉุดรั้ง หลายหน้าตาตั้งพลางก่นว่า แต่เสียงเรียงกราดไม่อาจทัด มุ่งฝ่าอาณัติการวัดค่า เพราะทั่วหัวใจไร้ศรัทธา สุดท้ายกลายว่าเป็นหมาขี้เรื้อน เมืองกระเพื่อมเหลื่อมขอบกรอบความคิด อารยะปะติดให้บิดเคลื่อน วิถีชีวิตมันบิดเบือน ถูกผิดอิดเอื้อนไม่เลื่อนที่ แท่นหูกผูกล้อทอวัฏจักร หลอมเส้นเป็นชนักกักทางหนี กฎกรอบครอบถิ่น - บ้าสิ้นดี! เกลียดโลกใบนี้เสียที่สุด แต่เหลือบมอง.. วนิพกร่ำร้องกลางกลองชุด ณ ทางข้างถนนผู้คนหยุด - โอบห้อมล้อมมนุษย์ผู้รุดบรรเลง เขาปิดเปลือกตามาร่ำร้อง ผุดดำทำนองรัวกลองเร่ง เขาเปรียบเรียบเรียงด้วยเสียงเพลง ใจฉันมันเคว้งละเลงลม ไยเขาก้าวย่างอย่างอิสระ? เหมือนไร้พันธะให้สะสม ทั้งที่ชีวิตเหมือนติดหล่ม นี่หรือ เรียกผมบังภูเขา? วนิพกชกกลองร้องเพลงร่า ทายท้า ฟ้า ฝน คน เขม่า ดูเขาสุขใจไปถึงเหง้า เหมือนเขาเข้าใจ - อะไรชีวิต ......... ฉันแอบยิ้ม.. เขามองรอบริมส่งยิ้มสะกิด คล้ายบอกคอกขังจะฝังทุกทิศ หากมีชีวิตไม่คิดจะรับ
14 มกราคม 2545 16:10 น. - comment id 30401
อืม....ข้อคิด..ข้อคิด...ชีวิตคนเราเรียนรู้ได้ทุกวันเนาะ ในที่สุดก็ได้อ่านกลอนตะวันอีก ชอบจัง
14 มกราคม 2545 19:11 น. - comment id 30428
ไม่มีใครเรียนรู้หมดหรอก...ขอรับ
15 มกราคม 2545 11:36 น. - comment id 30524
เยี่ยม
15 มกราคม 2545 12:41 น. - comment id 30539
ชอบมากเลยครับ เข้าใจชีวิตรอบกาย แหวกว่ายกลางทรายร้อน
15 มกราคม 2545 19:08 น. - comment id 30597
'วนิพกชกกลองร้องเพลงร่า ทายท้า ฟ้า ฝน คน เขม่า ดูเขาสุขใจไปถึงเหง้า เหมือนเขาเข้าใจ - อะไรชีวิต' บางทีเราก็อาจมีสุขดังเขาได้... "มันอยู่ที่ใจ"