http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song330.html http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song81.html (ค่ำแล้วในฤดูหนาว..หนาวลมที่เรณู) ............ วูบแรก..ของไหวพรายแห่งสายลมหนาว กำลัง...พัดพร่างพาให้ สายหมอกกระจ่าง และ.. มวลเมฆแสนงามค่อยๆพล้อยสายพรายพลิ้วปลิว ฟ่องท่องทาบฟ้า จน..ราวกับทาบทาด้วยอิ่มสีเทาทอง พลางส่องล่องไล้ลูบจูบแผ่วผิวน้ำ จนมองเห็นระยิบริ้วพลิ้วไหวดั่งแสงเพชรเกล็ดแก้วแวววะวับ จับสายน้ำรักนิรันดร์งามดั่งภาพฝันในยามเหมันตฤดู ที่คือ.. ฤดูกาลแรกแย้มแห่งปลายฝนต้นหนาว อันแสนเหน็บหนาวหนาวเหน็บในดวงใจ หาก.. ไม่ยอมรับความแปรไปในวัฎฎกาล แห่งธรรม ..ธรรมชาติอันวนหวานเวียนย้อน กลับมาสอนสัจจะใจ ราวกับฤดีใจฤดูกาล ที่.. ทุกสิ่งทุกอย่าง มักจะแค่ผันผ่านมาผ่านไป ไม่คงที่คงทน... ราวกับ... กมลแห่งมวลมนุษย์นี้ที่มากมีมากมาย ที่จำต้องพบดีร้ายมากรายกล้ำ.. ให้รู้ปล่อยวางร้างไร้ อย่างเข้าใจ ให้.. ฝึกฝนเพียรพาจิตใสให้บานไสวราวบัวพ้นน้ำ และ กับยามนี้..ที่ สาวนา..คนดีกับอ้ายยอดดวงใจ กำลังเดินคลอเคลียเคียงคู่กันริมชายชล ริมบึงบัวกับฟ้าเริ่มสลัวโพล้เพล้สีไพลในยามค่ำ กับ.. สายลมหนาว ที่พราวพัดระร่ำระรินระรินมาพร่างพรมพราย มาร่ายมนต์ให้หนาวกายหากมิหนาวใจ ด้วยได้ไออุ่นโอบเอื้อจากอ้อมกอดอันอวลรักจนได้ไอร้อน อ้าย..หันมาแย้มยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน ให้สาวนา และ... กระชับไหล่แข็งแรง ให้เอนอิงพิงพักราวกับจะพิทักษ์ลมหนาว ที่.. กำลังกรีดกรายมากรายกล้ำ.. มิให้ช้ำชอกหยอกเนื้อนวลเนื้อนาง.. ให้ระคางระเคืองผิวผ่องยองใยดั่งน้ำผึ้งไพรน้ำผึ้งรวง เสียงบทเพลง...แห่งคิมหันตฤดู...กำลังครางครวญ หวนไห้...ลอยแว่วแผ่วมา..ในมโนนึก ให้.. ย้อนรอยถอยหลังรำลึก คิดถึงอดีตอันแสนงามในกาลโบราณ บทเพลง...ที่หนุ่มสาว จะพากันรอวันเวลาแห่งสายลมที่มาพรมพร่าง ให้.. ทุกคนเฝ้ารอ งานฤดูหนาว ที่จะให้สนุกสนานเตรียมต้อนรับปีใหม่ อันคือ... สัญญลักษณ์แห่งวัยวันให้ได้เริ่มต้นชีวิต หากคิดผิดทำพลาด อย่างผู้ฉลาดหวัง ............ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song330.html ค่ำแล้วในฤดูหนาว พอย่างเข้าเขตหน้าหนาว ลมหนาวก็โชยพัดกระหน่ำ สายลมเอื่อยมาในเวลาค่ำ ฮึม ฉ่ำชื่นกว่าทุกวัน น้าค้างพร่างพรมลมเย็นรำเพย หนาวโอ้อกเอ๋ยหนาวจนสั่น เสียงเรไรร้องก้องสนั่น ฮึม ทำให้ฉันเป็นสุขใจ เสียงเพลงค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ดังแว่วมาแต่ไกล นี่ใครหนอใคร ฮึม ช่างประดิษฐ์คิดเพลงค่ำๆ หนาวลมยิ่งทำให้ใจคนึง คิดถึงแต่รักที่หวานฉ่ำ หารักอื่นใดไหนจะหวานล้ำ ฮึม ฉ่ำเท่ารักเราไม่มี สวนลุมพินีถิ่นที่เคยไป เขาดินถิ่นไกลก่อนนี้เคยชื่น เดี๋ยวนี้ผ่านไปเห็นแล้วขมขื่น ฮึม ไม่ชวนชื่นเหมือนก่อนนั้น นภาสะอาดดูงามสดใส ฉันรักจับใจสะอาดนั่น หนาวลมเยือกเย็นนั้นทำให้สั่น ฮึม จิตใจฉันเลื่อนลอยไป เสียงเพลงค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ค่ำแล้ว ดังแว่วมาแต่ไกล นี่ใครหนอใคร ฮึม ช่างประดิษฐ์คิดเพลงค่ำๆ คิดถึงร่วมทางเคยเที่ยวด้วยกัน ทุกคืนก่อนนั้นหนาวชื่นฉ่ำ ทุกทีที่ไปฝังใจจดจำ ฮึม ไม่ลืมคำที่ฝากกัน... ............... สำหรับ..สาวนา เมื่อย่างเข้าเขตหน้าหนาว ที่ลมหนาวพัดกระหน่ำ ระร่ำริน...ให้ดวงใจแสนรักแสนถวิลหวัง ตั้งใจจะไปอยุธยา..เมืองเก่าขอเงราแต่ก่อน เพื่อไปสัมผัส ประเพณีทำขวัญข้าว พิธีสำคัญของชาวนา ประเพณีพื้นบ้าน ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนไทย อันผูกพันกับสายน้ำมาเนิ่นนาน โดยในฤดูฝนเมื่อเสร็จ สิ้นการดำนา นับจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป จนถึงราว เดือนพฤศจิกายน ที่น้ำหลากเต็มตลิ่ง ที่ชาวบ้านร้านถิ่นริมชายชลจะจัด งานแข่งเรือกันขึ้น เพื่อความสนุกสนานและการ สมัครสมานสามัคคีกัน และ.. ทำพิธี ที่ยาม เมื่อต้นข้าว แตกกองอกงาม.. จะทำพิธี " ขวัญข้าว " เพื่อเป็นการขอบคุณ และ... เอาใจแม่โพสพที่ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ผืนนา ที่พอถึง... เดือนอ้ายชาวนาจะลงแขกเกี่ยวข้าว แล้ว...เอาข้าวเข้าลาน ก็จะทำพิธี " รับขวัญเข้าลาน " เชิญพระแม่โพสพกลับเข้าเรือน จากนั้นก่อนนวดข้าวจะทำพิธี " ขวัญลาน " ให้เป็น สิริมงคล ซึ่งก็คล้ายกับรับขวัญเข้าลานนั่นเอง... ประเพณีทำขวัญข้าว เมื่อข้าวเริ่มตั้งท้อง ชาวนาจะเอาไม้ไผ่มาสานชะลอมแล้วนำ ครื่องแต่งตัวของหญิง ... เช่นแป้ง น้ำมันใส่ผม น้ำอบไทย หวี กระจก ใส่ในชะลอมพร้อมด้วยขนมหวาน ๒ - ๓ อย่าง ส้มเขียวหวาน ส้มโอแกะกลีบ ปักเสาไม้ไผ่แล้วเอาชะลอมแขวนไว้ในนา เพื่อให้แม่พระโพสพแต่งตัวและเสวยสิ่งของนั้น จะได้ออกรวงได้ผลดี.. ทำพิธีลงยันต์เสกเป่า แล้วเอาตอกไม้ไผ่มาขัดไขว้เป็นรูปยันต์ ๕ มุม ปักไว้ที่ปากหม้อ เขาเรียกว่า "เฉลว ลักษณะเฉลวแบบหนึ่ง ที่ใช้ไม้ไผ่สาน จักเป็นตอกเส้นบางๆ สานตาเหลี่ยม..หรือตาชะลอมมัดไว้กับไม้ไผ่ ปักให้แน่นในแปลงดำนา... หมายถึงการปัดรังควานสิ่งชั่วร้าย ที่...จะทำให้ข้าวไม่งอกงาม รวมทั้งเป็นเครื่องหมายที่ทำให้เจ้าของนาเป็นศิริมงคล ในการประกอบอาชีพเก่ากาล .. สืบสานตำนานนาต่อไปอย่างไม่รู้สิ้นรู้จบ......... และ.. หวังดวงใจสาวนา ก็คงถูกรับขวัญ... ให้.. พบพลังอิ่มหวานในลานใจเฉกเช่นกัน ในทุกยามย่ำแห่งเหมันตฤดู สาวนา.. ผู้เกิดมาคู่กับวัวควาย... รักวิถีไร่นาวิถี*บุญข้าวประดับดิน* ผู้มิยอมทิ้งถิ่น..ลืมทุ่งทอง ลืมรวงหอมข้าวใหม่ ที่...ยังมีดวงใจใสงาม จึง..เพียงเพียรหวังไปต่อตามเติมใจ ให้ยิ่งไสวงามเกิดก่อพอกันกับกอรวงเรียว ที่.. ยังมีหวังรอคมเคียวพลีเกี่ยวเก็บ ทุกเมล็ดข้าวพราวหอมงามจากผืนดินถิ่นแหลมทอง ที่คงกลับมาหล่อเลี้ยงท้องผองพี่น้องคนไทย ให้... ยังไม่สิ้นเรี่ยวแรงด้วยแรงรักในรวงเรียวเรียวรวง มิหวงหยาดเหงื่อ..ที่ยอมพลีมิรู้สิ้น แม้นใคร...จะหยามหมิ่น ว่าแสนเหม็นสิ้นงาม ก็ตามทีตามใจ ด้วยแรงใจแรงรักมิมีวันจักให้รอยใจรอยไถจักแปร.. และ.. เพียรมิท้อแท้ ที่จะพยายาม...*รักษาพันธุ์ควายเจ้าเพื่อนยาก..* ให้ฝากอุดม...ช่วยกันหว่านพรมผืนนาให้แปรสี ดั่งมี.. พรมแพรทองแห่งท้องนามาผลิกล้า บานประดับหล้าประดับดินประทังท้องประทังหิว ให้ทุกกายชาวไทยมีกิน..มิอดตาย มิหมายทะเยอทะยาน มิหวังรานยาก...ไปฝากผีไข้ในราวเมืองเรืองรุ่ง ให้ยิ่งยุ่งยากยิ่งนัก หาก.. มิพบกับความสงบงาม มิสมถะมิมีธรรมชาติ ที่แสนสะอาดบริสุทธิ์ใส ที่จะค่อยๆหลอมละลาย..ซึมดวงใจให้พบเงียบงาม ในทุกยามทอดสายตา ไม่ว่า.. จะบึงเหว่ว้าที่เห็นผักบุ้งทอดยอดเลื้อยช่อชูชัน ฤาเห็น.. ปลาตะเพียนในยามสายวสันต์กระโดดผึง เพื่อรอกินข้าวที่พึ่งร่วงพรูกรูลงน้ำนา ยามข้าวกล้าสุกหลงเหลือจากเรียวจากเคียวคม..เกี่ยว.. สาวนา..พร้อมดวงใจมิเปลี่ยวเหงา หากงามเงียบในยามนี้... ยามที่...ยังมีอ้าย มาชิดใกล้เคียงกาย..ทรุดร่างไร้ลงรึมบึงบัว กับฟ้าสีชมพูเจือส้ม กลืนด้วยสีเทาทึม ที่.. กำลังคลี่ทอดทาบเงาสลัวๆลงมาโอบไล้ร่าง ให้ยิ่งงามอย่างนางไม้ในแสงละมุน..ละมุน สาวนา....เอนกายสยายผม..หอมกรุ่นพิงไหล่อ้าย รับสายลมหนาว...ริมชายนาใต้ตาลเดี่ยว.. ปล่อย.. ให้เจ้าสายน้ำ*ควายเดียวในดวงใจ* ได้เลาะเลียบเล็มหญ้า นอนเคี้ยวเอื้องอยู่ใกล้ๆ อย่างแสนสุขใจ.. อ้ายคนดีค่อยๆไหวร่างแข็งแรงกำยำ เอื้อมมือออกไปเด็ดบัวบูชา ที่... ผลิดอกงามแย้มแต้มตระการไปทั่วทั้งบึงฝัน แล้วนำมามัดรวบใส่ไว้ในใบบัว เขียวสดไสว แล้ว.. รัดร้อยด้วยสร้อยสายบัว มากำนัลให้ในอุ้งมือสาวนา พร้อม..กับรอเวลาให้เราสองไปวางพลีถวาย เป็นพุทธบูชาสัการะหน้าพระพักตร์พุทธ ในค่ำคืนนี้ ..ในราตรีนี้ ที่มีจันทร์เสี้ยวเกรียวทองดั่งเรือธรรมเรือทอง คอยท่าพา..ลัดเลี้ยวลอยล่องท่องทิพยรุ้ง พุ่งไป.. สู่แดนดินแห่งฝันว่างกระจ่างงาม ให้เพียรพาร่างท่ามเดือนครึ่งดวง มิห่วงหาใคร มี..เพียงจิตไสวเป็นหนึ่งเดียว ผสานเสี้ยวสมาธิกับความสงบงามเงียบ เปรียบประดุจดั่งปัญญาพิสุทธิ์ใส ที่จะนำพาพายใจพาจิต สู่แดนนิรมิตใต้ร่มพระรัตนตรัย ที่มีบึงใจบึ้งใจเราเพียงนั้น รอรับเรือธรรม ยามพบฝั่งแห่งความฝัน ที่จะกลายกลับเป็นจริง.. เมื่อเรากล้าพอ.. ที่จะสละทิ้งทุกสรรพสิ่งจากเรือใจ อย่างไม่ไยดี...และยึดมั่นถือมั่นไว้นาน มิ..ให้เรือพานพาล่ม จมใต้น้ำ ก่อนการได้ขึ้นถึงฝั่ง อันคือเกษมสานต์.. ตราบชั่วกาลกัลปาวสานต์ ตราบชั่วนิจนิรันดร...มิย้อนวน มาปนเปื้อนกับกิเลสโลกย์โศกสุขทุกข์รัก ที่.. หนักดั่งศิลาอีกแต่ไป..ในภพภูมิกรรม สาวนาหลับตาราวบริกรรมคาถา ภาวนาสมาธิ และ.. ในคลองจิตที่คิดดีแสนเงียบงาม กลับราวได้ย้อนรำลึกนึกจินตนาไปถึง ภาพจาก.. *พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน * ที่.. สาวนาเคยหลั่งน้ำตาปิติเกษมยามได้พลีอ่าน ผ่านดวงตาและดวงใจแสนใสงาม.. และ... กับในยามนี้ราวกับ ในจิตดวงอัญมณี..ได้พลีพบภาพในทิพยนิรมิต อันมีเพียงจิตไสวเลื่อมประภัสสรเพียงนั้น จึงจะจับได้.... คล้ายดั่ง.... มีมุกมณี.. ที่พร่างพราวฉายฉันท์ดั่งฉัพพรรณรังสี ที่กำลังโชติช่วงแตกช่อ.. ดั่ง...กอเพชรพราวพร่างไสวในรวงใจของสาวนา ราวกับ...ภาพตรงหน้าได้พบประสบเอง..เช่นฉะนั้น...!!! .................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song81.html หนาวลมที่เรณู ..โอภาส ทศพร เรณูนคร ถิ่นนี้ช่างมีมนต์ขลัง ได้พบนวลนาง ดั่งเหมือนต้องมนต์แน่นิ่ง น้องนุ่งซิ่นไหม ไว้ผมมวยสวยเพริด พริ้ง พี่รักเจ้าแล้วแท้จริง สาวเวียงพิงค์แห่งแดนอิสาน เราเคยสัมพันธ์ พรอดรักเมื่อคราวหน้าหนาว คืนฟ้าสกาว เหน็บหนาวน้ำค้างหรือนั่น เพราะได้เคียงน้อง ถึงต้องหนาวตายไม่หวาดหวั่น รุ่งรางต้องร้างไกลกัน สุดหวั่นไหว ก่อนลา ผ้าผวยร้อยผืน ไม่ชื่นเหมือนน้องอยู่ใกล้ ดูดอุร้อยไห ไม่คลายหนาวได้หรอกหนา ห่างน้อง พี่ต้องหนาวหนักอุรา คอยนับวันเวลา จะกลับมาอบไอรักเก่า เย็นลมเหมันต์ ผ่านพ้นยิ่งพาสะท้อน โธ่น้องบังอร ก่อนนั้นเคยคลอเคียงเจ้า ครั้งเที่ยวชมงานพระธาตุพนม ยามหน้าหนาว พี่ยังไม่ลืมนงเยาว์ โอ้แม่สาว เรณู...
26 พฤศจิกายน 2548 23:41 น. - comment id 541688
*พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔ ขุททกนิกาย อปทาน * ว่าด้วยผลแห่งการบูชาด้วยดอกบัวบาน [๔๑๒] ภูเขาชื่อปทุม ตั้งอยู่ในที่ไม่ไกลต่อภูเขาหิมวันต์ เราทำอาศรมสร้างบรรณ ศาลาอย่างดีไว้ใกล้ภูเขาปทุมนั้น ที่ใกล้ภูเขานั้น มีแม่น้ำท่าน้ำราบเรียบ น่ารื่นรมย์ใจ น้ำใสแจ๋ว เย็นจืดสนิท น้ำไหลอยู่เป็นนิตย์ ในกาลนั้น ปลาสลาด ปลากะบอก ปลาสวาย ปลาเค้า และปลาตะเพียน อยู่ใน แม่น้ำย่อมทำแม่น้ำให้งาม ดาดาษไปด้วยต้นมะม่วง ต้นหว้า ต้นกุ่ม ต้นหมากเม่า ต้นราชพฤกษ์ ต้นแคฝอย ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม ต้นปรู ต้นมะก่ำหลวง ต้นกะทุ่ม ต้นกาหลง ดอกกำลังบาน กลิ่นหอม ฟุ้งไป ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม ต้นคำ ต้นสน ต้นกะทุ่ม หตฺถปาตา กำลังดอกบาน กลิ่นหอมตลบอบอวล ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม ต้นสมอ ต้นมะขามป้อม ต้นมะม่วง ต้นหว้า ต้นสมอพิเภก ต้น พุทรา ต้นรกฟ้า ต้นมะตูม มีผลมากอยู่ใกล้อาศรมของเรา ต้นอ้อย ต้นกล้วย กำลังผลิดอกออกผลใกล้อาศรมของเรานั้น ไม้กลิ่นหอมตลบ อบอวล ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม ต้นอโสก จ วรี และต้นสะเดา กำลังดอกบานกลิ่นหอมตลบอบอวล ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม ต้น มะนาว ต้นมะงั่ว ต้นดีหมี มีดอกบาน หอมตลบอบอวล ย่อมทำให้ อาศรมของเรางาม ไม้ยางทราย ต้นคณฑีเขมา และต้นจำปา มีดอก บาน กลิ่นหอมตลบอบอวล ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม ในที่ไม่ไกล มีสระบัว มีนกจากพรากส่งเสียงร้องอยู่ ดาดาษด้วยบัวขม บัวเผื่อน บัวหลวง และอุบล มีน้ำใสแจ๋ว เย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบน่ารื่นรมย์ ใจ น้ำใสสะอาด เสมอด้วยแก้วผลึก ย่อมทำให้อาศรมของเรางาม ใน สระนั้น บัวหลวง บัวขาว บัวอุบล บัวขม และบัวเผื่อน ดอกบาน สะพรั่ง ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม ปลาสลาด ปลากะบอก ปลาสวาย ปลาเค้า และปลาตะเพียนว่ายอยู่ในสระนั้น ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม จระเข้ ปลาฉลาม เต่า คหาโอคหา และงูเหลือมเป็นอันมาก ย่อมทำอาศรม ของเราให้งาม นกพิราบ นกเป็ดน้ำ นกจากพราก นกกาน้ำ นกต้อย ตีวิด และนกสาลิกา ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม มะม่วงหอมน่าดู ต้น ลำเจียก ดอกกำลังบาน มีกลิ่นหอมอบอวล ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี หมาป่า หมาไน สัญจรอยู่ในป่า ใหญ่ ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม ฤาษีทั้งหลาย (เกล้าผมเป็นเชิง) สวมชฎา มีหาบเต็ม นุ่งห่มหนังสัตว์ สัญจรอยู่ในป่าใหญ่ ย่อมทำ อาศรมของเราให้งาม บางพวกทรงหนังเสือ มีปัญญา มีความประพฤติ สงบ และบริโภคอาหารแต่น้อยทั้งหมดนั้น ย่อมทำอาศรมของเราให้งาม ในกาลนั้น ฤาษีทั้งหลายเอาหาบใส่บ่าเข้าสู่ป่า กินเหง้ามันและผลไม้ อยู่อาศรม ในกาลนั้น ฤาษีเหล่านั้นไม่ต้องนำฟืนมา น้ำสำหรับล้างเท้าก็ไม่ ต้องนำมา ด้วยอานุภาพแห่งฤาษีทั้งปวง ฟืนและน้ำย่อมนำตัวมาเอง ฤาษี ๘๔,๐๐๐ ตน ประชุมกันอยู่ในอาศรมนั้น ทั้งหมดนี้เป็นผู้เพ่งฌาน แสวงหาประโยชน์อันสูงสุด ฤาษีเหล่านั้นเป็นผู้มีตบะ ประพฤติพรหม- จรรย์ ตักเตือนกันและกัน เป็นผู้แน่นแฟ้น เหาะไปในอากาศได้ทุกคน อยู่ในอาศรมประชุมกันทุก ๕ วัน ไม่ระส่ำระสาย มีความประพฤติสงบ ระงับ อภิวาทกันและกัน แล้ว จึงบ่ายหน้ากลับไปตามทิศ (ที่ตนอยู่) ในกาลนั้น พระชินเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง พระองค์ เสด็จอุบัติขึ้น กำจัดความมืดโดยรอบอาศรมของเรา มียักษ์ (เทวดา) ผู้มี ฤทธิ์ ยักษ์ตนนั้น ได้บอกข่าวพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระแก่เราว่า พระพุทธเจ้าองค์นี้พระนามว่าปทุมุตระ เป็นมหามุนี เสด็จอุบัติแล้ว จง รีบไปเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าเถิด ท่านผู้เนียรทุกข์ เราได้ฟังคำของยักษ์แล้ว มีใจเลื่อมใสยิ่งนัก เก็บอาศรมแล้ว ออกจากป่าในขณะนั้น เมื่อไฟกำลัง ไหม้ผ้าอยู่ เราออกจากอาศรม พักอยู่กลางทางคืนหนึ่งแล้ว เข้าไปเฝ้า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก สมควร รับเครื่องบูชา กำลังทรงประกาศสัจจะ ๔ แสดงอมฤตบทอยู่ เราถือดอก ปทุมอันบานเต็มที่ เข้าไปเฝ้าพระองค์แล้ว มีจิตเลื่อมใสโสมนัส ถวาย บังคมพระพุทธเจ้า บูชาพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ แล้ว เอาหนัง- สัตว์ห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง สรรเสริญพระองค์ผู้นำของโลกว่า พระสัม- พุทธเจ้าผู้ไม่มีอาสวะ ประทับนั่งอยู่ที่นี้ด้วยพระญาณใด เราจักสรรเสริญ พระญาณนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว พระสัมพุทธเจ้า ทรงตัดกระแส สงสารแล้ว ทรงยังสรรพสัตว์ให้ข้าม สรรพสัตว์นั้น ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ย่อมข้ามกระแสตัณหาได้ พระองค์เป็นศาสดา เป็นธงชัย เป็นหลัก เป็นที่ยึดหน่วง เป็นที่พึ่ง และเป็นประทีปของสัตว์ทั้งหลาย สูงสุดกว่าสัตว์ คณาจารย์ผู้นำหมู่ประมาณเท่าใด ที่ท่านกล่าวไว้ในโลก พระองค์เป็นผู้มีปัญญาเลิศกว่าคณาจารย์เหล่านั้น คณาจารย์เหล่านั้นนับ เป็นภายในของพระองค์ พระองค์ผู้มีปัญญา ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมาก ให้ ข้ามพ้นด้วยพระญาณของพระองค์ หมู่ชนอาศัยการได้เฝ้าพระองค์แล้ว จักทำที่สุดทุกข์ได้ ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ คันธชาติเหล่าใดเหล่าหนึ่ง หอม ฟุ้งไปในโลก ข้าแต่พระมหามุนีผู้เป็นนาบุญ คันธชาติเหล่านั้นที่จะเสมอ ด้วยกลิ่นหอมของพระองค์ไม่มี พระองค์ผู้มีจักษุ ขอจงทรงเปลื้องกำเนิด ดิรัจฉาน นรก พระองค์ทรงแสดงบท อันเป็นปัจจัยไม่ปรุงแต่ง สงบระงับ พระพุทธเจ้าพระนาม ว่า.. ปทุมุตระ ผู้ทรงรู้แจ้งโลก สมควรกับเครื่องบูชา ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดมี ความเลื่อมใส ได้บูชาญาณของเรา ด้วยมือทั้งสองของตน เราจักพยากรณ์ ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักรื่นรมย์ อยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัลป จักได้ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑๐๐๐ ครั้ง เราเป็นผู้ได้ลาภ อันได้ดีแล้ว เรายังพระพุทธเจ้าผู้มีวัตรงาม ให้ทรงโปรด กำหนดอาสวะ ทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้น ได้ทั้งหมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูก ดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ อยู่ การ ที่เราได้มาในสำนักพระพุทธเจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ เราบรรลุแล้วโดยลำดับ พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำ ให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. ทราบว่า ท่านพระอุเทนเถระ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล ..................................
26 พฤศจิกายน 2548 23:47 น. - comment id 541691
ข้าวสารดำ วัตถุประหลาด ที่ ณ วันนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีที่มาอย่างไร หากพูดถึงข้าวกับคนไทยแล้ว ก็ต้องยอมรับเป็นอาหารหลักที่อยู่เคียงคู่คนไทยมาตั้งแต่บรรพกาล ข้าว ไม่ว่าจะเป็น ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ล้วนนำมาทำเป็นอาหารได้สารพัดชนิด ทำเป็นขนมได้อีกสารพัดอย่าง นอกจากนี้ข้าวยังสามารถที่จะนำไปทำเป็นเครื่องดื่มมึนเมา เอาไว้ดื่มด่ำตามสไตล์พี่ไทยไม่ว่าวันไหนๆ พี่ไทยก็เมาได้อีกด้วย ข้าว นอกจากจะเป็นอาหาร ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ข้าวยังก่อให้เปิดวัฒนธรรมประเพณี ที่เกี่ยวกับข้าวในเมืองไทยอีกหลายอย่าง อาทิ ประเพณีทำขวัญข้าว การลงแขกเกี่ยวข้าว เพลงเกี่ยวข้าว ซึ่งถ้าพูดถึงข้าวกับวิถีแห่งอาหารในเมืองไทย ยังไงๆ ก็ถือเป็นของคู่กัน ที่เรียกได้ว่าเมื่อเกิดมาในแผ่นดินไทยแล้ว คงไม่มีใครไม่รู้จักข้าว และไม่เคยกินอาหารที่ทำจากข้าว และด้วยความที่เมืองไทยมีการสั่งสมภูมิปัญญาเกี่ยวกับข้าวมาช้านาน ทำให้เมืองไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความชำนาญในเรื่องข้าว โดยเมืองไทยมีข้าวพันธุ์ ดีๆ ที่ถือว่าเป็นระดับต้นๆของโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ ปทุมธานี 1 สุพรรณบุรี 1 กข.15 ขาวดอกมะลิ และอีกมากมาย ข้าวสารดำกับตำนานเมืองราด ปัจจุบันในเมืองไทย มีการพบข้าวสารดำเพียงที่เดียว คือที่ ตำบลบ้านหวาย อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยข้าวสารดำจะอยู่กระจัดกระจายกันไป แต่จะพบมากเป็นพิเศษบริเวณ ใกล้ๆกับเจดีย์พระนางสิงขร ที่อยู่ในบริเวณวัดโพนชัย และ. ในทุกๆฤดูฝนของทุกปี ที่พอฝนตกลงมาชะล้างหน้าดิน ข้าวสารดำก็จะลอยขึ้นมาบนพื้นดิน ให้ชาวบ้าน ที่เลื่อมใสศรัทธามาเก็บเอาไว้บูชา โดยชาวบ้านแถวบริเวณ ที่พบข้าวสารดำและชาวเพชรบูรณ์ส่วนหนึ่ง ต่างก็มีความเชื่อกันว่าข้าวสารดำ มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับพ่อขุนผาเมือง พระนางสิงขร และตำนานของเมืองราด ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต สำหรับเรื่องนี้ตามตำนานจากหนังสือ พ่อขุนผาเมือง ที่เขียนโดย ดิเรก ถึงฝั่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ได้กล่าวไว้พอสรุปได้ว่า.. ...หากจะพูดถึงเรื่องตำนานความเชื่อ เกี่ยวกับข้าวสารดำในจังหวัดเพชรบูรณ์ ก็คงจะต้องเท้าความไปถึงในสมัยสร้างเมืองสุโขทัย โดยพ่อขุนผาเมือง ที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมรบเพื่อสถาปนากรุงสุโขทัย นับเป็นนักรบที่เข้มแข็ง มีความสามารถมาก พระองค์นั้นมีปณิธานว่า จะต้องขับไล่ขอมที่ปกครองคนไทยอยู่ที่กรุงสุโขทัยให้ได้ เมื่อพ่อขุนผาเมืองสร้างกองทัพเข้มแข็ง ก็ได้ยกทัพไปตีนครเดิด ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของขอม (ปัจจุบันคือ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์) จนแตกพ่าย จากนั้นพระองค์ก็ได้ไปตั้งเมือง ลาด ขึ้นในบริเวณไม่ไกลกัน (ปัจจุบันสันนิษฐานว่าอยู่ในพื้นที่ของ ต.บ้านหวาย อ.หล่มสัก ส่วนเหตุผลที่ตั้งเมืองลาดก็มาจากบริเวณนั้น เป็นที่ลาดน้ำไม่ท่วมถึง ต่อมาชื่อเมืองลาด ได้เพี้ยนไปกลายเป็นเมือง ราด) การตีนครเดิดและสถาปนาเมืองราด ความได้ทราบถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งในยุคนั้นเป็นกษัตริย์ขอมที่เรืองอำนาจ พระเจ้าชัยวรมันฯ นั้น เกรงว่าในอนาคตพ่อขุนผาเมืองจะเป็นศัตรูคนสำคัญ จึงได้ยกพระธิดาคือ พระนางสิงขรมหาเทวี ให้เป็นพระชายาของพ่อขุนผาเมือง เพื่อหวังจะผูกสัมพันธไมตรี แต่กระนั้นพ่อขุนผาเมือง ก็ไม่ได้หลงไปกับลาภยศ สรรเสริญ ที่ขอมมอบให้ แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อได้จังหวะเวลาที่เหมาะสม ก็จะตีกรุงสุโขทัยคืน แล้วเมื่อจังหวะเวลามาถึง พ่อขุนผาเมืองกับพระสหายคือ พ่อขุนบางกลางท่าว ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบางยางในขณะนั้น (ปัจจุบัน คือ อ.นครไทย จ.พิษณุโลก) ก็ได้ร่วมมือกันเข้าตีกรุงสุโขทัยที่มี ขอมสบาดโขลญลำพง ปกครองอยู่ จนสามารถยึดครองกรุงสุโขทัยได้สำเร็จ พร้อมๆกับ การสถาปนาเป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ.1781 โดยพ่อขุนบางกลางท่าว ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงสุโขทัย ในพระนาม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ................ ส่วนพ่อขุนผาเมือง เมื่อร่วมรบจนประสบความสำเร็จ ก็เดินทางกลับเมืองราด แต่เรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะความเมื่อทราบถึงพระนางสิงขรมหาเทวี พระนางก็ทรงพิโรธพ่อขุนผาเมืองอย่างมาก ตัดพ้อหาว่าทรยศต่อพระบิดา(พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ) ซึ่งก็อย่างว่าความโกรธของผู้หญิงนั้นรุนแรงนัก แล้ว.. พระนางสิงขรก็ตัดสินใจ จุดไฟเผาเมืองราดจนมอดไหม้เป็นจุล ส่วนพระนางเองก็กลั้นใจไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่แม่น้ำป่าสัก ด้านพ่อขุนผาเมือง เมื่อจัดการกับพระศพของพระมเหสีเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อขุนผาเมืองก็ไม่คิดที่จะทำนุบำรุงเมืองราดอีก โดยตามตำนานได้กล่าวว่า พระองค์ได้เสด็จไปยังเมืองเชียงแสน (ปัจจุบันคือ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย) และจากการที่พระนางสิงขรเผาเมืองราดนี่แหละ ทำให้ข้าวสารในพระคลังที่เก็บไว้ใช้บริโภค ถูกไฟเผามอดไหม้จนดำเกรียม และหล่นกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นดิน ในบริเวณพื้นที่เมืองราด .. และ ก็ฝังอยู่ในพื้นดินมาช้านานหลายร้อยปี จนเมื่อประมาณ 30 ปีที่ผ่านมาในช่วงฤดูฝน ก็มีชาวบ้านแถวนั้นพบข้าวสารดำลอยขึ้นมาหลังฝนตก และก็มีการพบข้าวสารดำกันต่อมาเรื่อยๆ จนวันนี้พอถึงช่วงฤดูฝนก็ยังคงพบ ข้าวสารดำลอยขึ้นมาบนพื้นดินหลังฝนตก ในบริเวณที่เคยเป็นเมืองราดตั้งแต่ครั้งอดีต ซึ่งเรื่องข้าวสารดำนี้แม้ว่ายังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ว่าในตำนานก็สามารถ นำไปผูกโยงกับเรื่องราวของเมืองราดได้อย่างเหมาะเจาะ กระนั้นข้าวสารดำ ก็ยังมีความเชื่ออีกกระแสหนึ่ง ที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ข้าวสารดำนั้น มีอยู่แต่เดิมแล้ว โดยพ่อขุนผาเมืองถือ ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อจะทำการรบทัพจับศึกครั้งใด พ่อขุนผาเมืองจะนำข้าวสารดำไปปลุกเสก และโปรยเหมือนหว่านทรายใส่กองทัพ แทนน้ำมนต์ เพื่อเป็นกำลังใจให้ฮึกเหิม รวมถึงเป็นดังของขลัง ที่ช่วยให้แคล้วคลาดด้วย เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เหมือนกัน แต่หากหันมามองข้าวสารดำ ในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ รศ.คมคาย หมื่นสาย อาจารย์ประจำโปรแกรมนิเทศศาสตร์ สถาบันราชภัฏเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการศึกษาข้าวสารดำ ก็ได้กล่าวว่า ณ วันนี้ข้าวสารดำยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าคืออะไร โดยตนได้คาดเดาว่า น่าจะเป็นผลึก ที่อยู่ในรูปของแร่ธาตุ หรือสสารที่ถูกอัดอยู่ในดินแล้วไม่มีการย่อยสลาย คล้ายๆกับฟอสซิล ในขณะที่นักธรรีวิทยา หลายๆคน ต่างบอกกันว่าข้าวสารดำจัดเป็นฟอสซิลชนิดหนึ่ง มีอายุราวสองล้านปีขึ้นไป เป็นของที่หายากมาก มักจะอยู่ในหินปูน แต่ดิเรก ถึงฝั่ง ก็ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า ถ้าเป็นฟอสซิลก็น่าที่จะแข็งเหมือนหิน แต่ว่าข้าวสารดำที่ค้นพบนี่แค่เพียงบี้เบาก็แหลกแล้ว ............. ข้าวสารดำปลุกเสกฝังในพระเครื่อง มิติใหม่ข้าวสารดำ แม้ว่าข้าวสารดำยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ที่ผ่านๆมาก็ได้มีคนนำไปปลุกเสก เป็นวัตถุมงคล อย่างเช่นพระรุ่นข้าวสารดำ และยังมีการปลุกเสกฝังในรูปปั้นของพ่อขุนผาเมือง ให้คนที่สนใจเช่าไปบูชา ส่วนชาวบ้านที่เจอข้าวสารดำ ส่วนมากก็จะเก็บเอาไว้บูชา แต่หากว่าใครที่เป็นคนนอกพื้นที่ เมื่อไปพบเห็นข้าวสารดำ แล้ว ต้องการนำกลับบ้านไปกราบไหว้บูชา ก็อาจจะต้องคิดหนักหน่อย เพราะชาวบ้านแถวนั้นต่างเล่ากันว่า เห็นมีหลายคนแล้วที่นำข้าวสารดำกลับบ้านไป แบบแอบหยิบไปจากในพื้นที่โดยไม่ปลุกเสก แต่แล้วก็ต้องนำกลับมาคืน โดยคนที่นำกลับมาคืนต่างเล่าว่า เมื่อเอาไปแล้วก็อยู่ไม่เป็นสุข มักมีเรื่องราวเสมอๆ กับเรื่องการนำข้าวสารดำออกนอกพื้นที่ ความจริงเป็นอย่างไรคงพิสูจน์ไม่ได้ แต่ที่แน่ๆเมื่อเร็วๆนี้ ทางจังหวัดเพชรบูรณ์มีโครงการอนุรักษ์ข้าวสารดำ เพื่อการท่องเที่ยว โดยเสวี เพชระบูรณิน นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์ได้เล่าว่า ตอนนี้ทางผู้ว่าฯเพชรบูรณ์ได้สั่งให้ระงับ การนำข้าวสารดำไปก่อน เพราะต้องการอนุรักษ์ไว้เพื่อการท่องเที่ยว ให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวชม พร้อมรับฟังตำนานข้าวสารดำ และขุดดูในบริเวณที่ค้นพบ ส่วนจะเอากลับไปได้หรือไม่นั้นเรื่องนี้ต้องดูกันอีกที เพราะถ้าเอากลับไปคงต้องปลุกเสก สำหรับเรื่องราวของข้าวสารดำ ณ วันนี้แม้ยังพิสูจน์ที่มาที่ไปไม่ได้ และยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครหยิบออกนอกพื้นที่ จะเป็นทุกข์ร้อนอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ก็คือ ในอนาคต หากมีคนมาเที่ยวชม ฟังตำนาน และขุดข้าวสารดำ ก็จะเป็นการสร้างรายได้ให้กลับชุมชนใน อ.หล่มสัก และก็ยังทำให้นักท่องเที่ยวเที่ยวเพชรบูรณ์นานขึ้นอีกด้วย.. http://www.sac.or.th/projects/research/new/detail9.htm http://www.stou.ac.th/Tourism/Acheive/QA/Display/Winners04.htm http://intranet.mculture.go.th/ayutthaya/tharaer.html
27 พฤศจิกายน 2548 09:52 น. - comment id 541720
มองลานข้าวเศร้าใจให้ย้อนกลับ ดุจจะนับเมล็ดข้าวเฝ้าค้นหา ก่อนเคยพะนอคลอเคียงบี่ยงกันมา ครั้นล่วงเวลาผ่านพ้นยากค้นเจอ เหมันต์เข้าเฝ้าเก็บเหน็บรวงข้าว ใจแสนเศร้าเร้าอารมณ์ฉันเสมอ น้ำตารินอาบลานปานละเมอ ฉันพร่ำเพ้อรอเธอกลับเฝ้านับคอย..แก้วประเสริฐ.
27 พฤศจิกายน 2548 10:10 น. - comment id 541727
สาวบ้านนาที่รัก ผมลืมไปครับ ว่าผมได้ข้าวสารดำมาจาก คุณป้าซึ่งท่านบอกว่าได้มาจากพระธุดงค์มอบให้ เป็นข้าวสารดำที่สมบูรณ์มากและมีหักก็มี ท่านบอกว่า เป็นของศักดิ์สิทธิ์ตามคำบอกของพระธุดงค์แก่ผม ผมนำมาบูชาไว้ก็เกิดความเจริญรุ่งเรืองนับแต่ได้มา จนกระทั่งบัดนี้ อ้อขอเล่าอีกหน่อย ตอนที่ผมตกอับมาก ผมไม่รู้จะพึ่งอะไรนึกได้ว่า มีข้าวสารดำอยู่ผมได้นำมาอธิษฐานจิตพร้อมนำข้าวสารดำ นี้ทานไปด้วย แปลกครับตั้งแต่นั้นมาทำอะไรก็รู้สึกว่า คล่องไม่มีการติดขัด ลักษณะข้าวสารดำเป็นเหมือนคุณแจ้งไว้คือคล้ายๆจะเป็นหิน หรือฟอสซิลนั่นแหละแตกหักง่าย คล้ายๆจะเป็นข้าวสารที่ใช้หุงทานกันไม่มีเปลือกครับ ขอบคุณที่ให้สาระความรู้แก่ผม ซึ่งผมไม่รู้จริงๆพึ่งทราบจากคุณนี่แหละครับ. แก้วประเสริฐ.
27 พฤศจิกายน 2548 15:35 น. - comment id 541833
เมื่อเด็ก ๆ แม่เล่าให้ฟังว่าคุณตาจะต้องทำพิธีอย่างที่กล่าวมาแทบทุกอย่างแต่ละครั้งก็มีของชูโรงก็คือเหล้า 1 ขวด เราก็นึกกันว่า ชาวนาหาวิธีกินเหล้าได้เป็นระยะ ๆ อิอิ
28 พฤศจิกายน 2548 12:34 น. - comment id 542057
สวัสดีค่ะ สาวบ้านนา มาส่งความคิดถึง...และสืบสานวัฒนธรรมพื้นบ้าน...
28 พฤศจิกายน 2548 17:48 น. - comment id 542149
บุญของคนไทยที่มีข้าวกิน จงสำนึกในคุณของชาวนากันบ้าง อย่ากินทิ้งขว้างอย่างไม่รู้คุณค่า นึกถึงคนที่เขาอดอยากบ้างก็ดีนะขอรับ
28 พฤศจิกายน 2548 20:15 น. - comment id 542286
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตอนที่เมกยังเรียนอยู่ เมกเคยไปดูพิธีสู่ขวัญข้าว ของชาวอุดรธานี แล้วเพื่อน ของเมกที่เป็นคนอุดรก็เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง น่าทึ่งมากครับ การกตัญญูกตเวทีของคนอีสาน น่าสนใจมาก +-*-+-*-+ +-*-+-*-+ YoU dOn\'t knOw +-*-+-*-+ +-*-+-*-+