http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song183.html http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song196.html (คืนกระจ่างฟ้า..โปรดเถิดดวงใจ) ค่ำคืนนี้ลมสงัด เดือนและดาวชัดสวย...ลอยดวงเหนือราวฟ้า ดูใกล้แสนใกล้..ราวกับจะเอื้อมมือคว้าไขว่ได้ บนเรือนจำปี.. ที่.. ดวงดอกดกกำลังพลีกลิ่นหอมให้หวานกับร่างๆหนึ่ง ที่นอนนิ่งๆพิงหมอนขวานอย่างแสนงามเงียบสงบสุข ราวสาวโบราณย้อนยุค.. เธอ..คนดี... จุดเทียนหอมกลิ่นกุหลาบให้ยิ่งกำซาบซึ้ง และ.. หวังลอยลมไปแสนไกล*ถึงดินแดนฟ้าจรดทราย* ในดวงตา.. ที่คลับคล้ายจะแสนซึ้งเศร้าตามธรรมชาติ ราวกับ.. จะมีหยาดน้ำตาราวหยาดเพชรพราวรอพรายร่วง คอยคลอคลอง พร้อมหยดพลี ให้แด่ทุกเรื่องปิติ ใช่เพียง.. เรื่องรานร้าวเศร้าหมอง..หนาวเหน็บใจ ตรงหน้า.. มีพวงดอกเล็บมือนาง... กำลังกรายฟ้อนอ้อนนัยน์ตาเธอ เธอคิดถึง...*นางมโนราห์* ยามกรีดกรายร่ายรำ และ... แสนคิดถึง*คำใครบางคน*ลอยลมมาในยามนี้ *มันโกงเค้า มันโกงที่ดินเค้าที่เค้าอุตส่าห์จับจองไว้* น้ำเสียงแสนรานร้าว..และเค้าไม่สบายใจ จึงพาตัวเอง ไปนอนที่เทือกเขาหลวง มา ไปหาที่ให้ตัวเอง ตามคำมั่นสัญญาไง มี... ลำห้วยและน้ำตกด้วยนะ สวยเชียว แต่รู้ไหมเขาเสียใจจัง ประมูลไม่ทัน ติดต่อตัวเองไม่ได้ 22ไร่แค่เจ็ดแสนเอง รู้ไหม..เหมือนที่*ในฝัน*เลย ในทุกเรื่องที่ตัวเองรำพันไว้นะแหละนะ รับรู้นะว่าหากเขาตายไปก็เพราะเขาขาดสติ เขาทนคนโกงไม่ได้...อย่าปลอบเค้าเลย ตัวเองเป็นคนดี ที่ขอเค้าว่า *ทุกอย่างอย่ายึดมั่นถือมั่น กับทุกสิ่งที่คือวัตถุภายนอกนั้น ตราบใดที่..ยังมีสมองสองมือ มีดวงตาดวงใจที่ยังได้มองโลกสวยใส ก็..น่าจะขอบคุณฟ้าดินแล้ว แถมยังมี.. อัญมณีใจดั่งอัญมณีไพรมิรู้สิ้น สักวันฟ้าดินจะเมตตา..นะ* เค้าเชื่อ..คำตัวเองนะ แต่ว่า...ทำไมบางคราเค้าอยากทำลายมัน เค้าหมดหวังเลย* เค้า..ขอบคุณนะที่จะส่งพี่ที่ดินไปช่วยไกล่เกลี่ย พรุ่งนี้ผู้ใหญ่จะนัดเจราจากัน เค้าหวังทุกอย่างจะคลี่คลาย แล้ว ย้ำนะ หากเค้าไม่ตายหรือติดคุก..จะกลับมา* ........... หัวใจดวงเหว่ว้า.. ในนาทีนี้ที่แสนทุกข์เทวษ กับทุกเภทภัยในผองเพื่อนมนุษย์.. ทั้งคนไกลคนใกล้ ที่ราวกับ.. มิหยุดผลาญพร่าทำร้ายทำลายใจกันและกัน ไม่แม้จะเข้าถึงสัจจธรรม แห่งการพึ่งพาพึ่งพิง ทุกสรรพสิ่ง.. ในโลกหล้ารวมทั้งเมตตาธรรม กำลังจะล่มสลายกลายกลับแล้วละกระนั้นหรือ..! เธอ..นอนนิ่งๆทิ้งถอนใจทอดใจ ในดวงใจอ่อนล้า นาฬิกาโลก กำลังจะหมุนโศกสะเทือน กลับมาย้อนสอนสัจจะใจด้วยแสนพิโรธ แด่มวลมนุษย์มากหน้า.. ที่.. ไม่รู้คุณค่าแห่งการได้เกิดมา บนผืนพสุธาแสนงาม ในท่ามความสวยบริสุทธิ์ใสของ มวลดอกไม้ สายธาร หวานหอมแห่งธรรมชาติไพร ขอเพียงให้มีธรรมดาใจ..ที่รู้ค่าคำวางว่าง ก่อให้เกิดกระจ่างทิพยนิรมิต ที่จะเลือกรู้ใช้ชีวิต .. อย่างแสนสมถะพอเพียงพอใจ ให้ได้.. สนิทแนบแอบอิงไปกับความงามความดี ผสานชีวีไปกับดินน้ำลมไฟ อย่างไม่คิดทำลาย..แค่นั้น.. ในราตรี... ที่จันทร์กระจ่างฟ้า... เธอ.. อยากวอนฟ้าฝากดิน..ให้อภัยเพื่อนมนนุษย์ ทุกผู้คนบนโลกหล้า..ที่ยังหลงผิด ไร้ดวงตาเห็นธรรม ธรรมชาติชีวิต ยังมืดบอดหลงทาง.. ยังแสนอ้างว้างว่างใจ.... ยังไม่รู้ฝากฝันฝากใจเพียงกับพงไพรไร่นา กับฟ้าสวยดาวเจ่ม กับดวงดอกไม้ป่าคลี่แย้มบาน กับ.. ตระการแห่งดวงจิต ที่อยากเป็นเพียง*ผู้ให้* เธอหวัง.. พลีฝากบทเพลงแสนงาม มาพลีปลอบมอบกำนัลแด่ทุกดวงใจในหล้าโลก ลบโศกแสนเศร้าลบเลือนเหน็บหนาวในดวงใจ ให้ลอยลมไปไกลแสนไกล..ไกลแสน ถึง.... ทุกคนดีที่ชิดใกล้ในดวงใจ ในเรือนไทยเรือนทอง ร่มรักแห่งมิ่งมิตรน้องพี่ผองเรา แด่.. ทุกผู้คนที่เหงาใจไกลบ้าน แด่ทุกรานโศก แด่ทุกทุกข์เพื่อนร่วมโลกที่กำลังร้อนระอุปะทุเดือด ด้วยไฟสงคราม... แด่.. ทหารหาญ สุภาพบุรุษลูกผู้ชายผู้หาญกล้าแห่งแผ่นดิน ให้..ชีวินทุกฝ่ายได้เลิกบ้าอำนาจ ขาดสติ คิดเพียงทำลายกันและกัน แม้นกระทั่ง... ลืม..แผ่นดินที่ให้ข้าวให้น้ำ ให้สองเท้าได้หยัดยืน อย่างทรนงดำรงไท มาอย่างช้านาน .......................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song183.html คืนกระจ่างฟ้า.. ใน คืนกระจ่าง ฟ้า ดวงจันทราคือดวงทอง ส่องสวรรค์ เมฆปองฟ้า คือม่านทอง ต้องสีจันทร์ หรีดเรไรนั้นคือดนตรีจากเทวา เป็น คืนเสพสุขสันต์ ใจตรงกัน ฝันก็ตื่น ชื่นหรรษา สอดอ้อมแขนตรึงกายแนบสองกายา ในแววตา บอกภาษารักแก่ กัน การะเกดเป็นเหมือนเกศน้องแกล้วเกล้า ราตรีแย้ม เหมือนจันทร์เจ้าเฝ้าใฝ่ฝัน กระดังงาเหมือนผิวเจ้าเร้าแสงจันทร์ หอมพุ่มพวงทรวงเจ้านั้นซ่านดวงแด จวนอรุณ ใกล้ สาง อกพระพลางยามจะพรากจากอกแข ต่อแต่นี้คงเหงาใจ ใครจะแล เฝ้าชะแง้คอยคืนเพ็ญจะคืนทรวง จวนอรุณ ใกล้ สาง อกพระพลางยามจะพรากจากอกแข ต่อแต่นี้คงเหงาใจ ใครจะแล เฝ้าชะแง้คอยคืนเพ็ญจะคืนทรวง... ................ เธอ..หลับตาภาวนา... หยุด..ความคิดทุกข์ใจ ตามคำสอนแห่งพระอรหันต์ในแผ่นดิน หลวงพ่อชา.. ที่ตราจำไว้ในดวงใจไว้สอนสัจจะใจ ยามที่พบขยะใจขยะใด ที่มาแผ้วพานให้รานหมองแม้ชั่วครู่ ให้รู้อยู่รู้รักรู้เมตตาปรารถนาดี แล้วให้รู้ปล่อยไปดั่งสายน้ำไหล..อย่ากักเก็บไว้นาน.. ดวงชีวีก็จะเบิกบาน *ดั่งบัวพ้นน้ำ* ที่พร้อมรอ สายแสงทองราวสายแสงธรรมมาน้อมนำใจ ในทุกอรุณรุ่ง... ที่ทุกอุทัยโลกหมุนยังคงหมุนวนหมุนเวียนมา ให้สายแสงแห่งดวงชีวาชีวิต ส่องดวงจิตให้จักหอมกรุ่น ด้วยดวงดอกแห่งความละมุนละเมียด ไม่เบียดเบียนผู้ใด ให้รู้รักษาใจใส ให้เพียงเพียรใฝ่ทำความดี ที่.. พร้อมยอมพลี*ให้* แด่ทุกดวงใจเพื่อนผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย และ.. จงได้พิทักษ์ใจดวงงาม อย่าให้สิ่งร้ายใดมารานแวะเลย.. และ..กับค่ำคืนนี้..เมื่อเดือนต่ำดาวตก น้ำค้างยังหยดเยียบเย็น เธอ.. จะปลุกตัวเอง ราวแม่นกไพรราวนวลนางณ..กลางไพร ตื่นขึ้นฟังเสียงไก่ขัน ประชันกับเสียงขันคูกู่ร้องของนกเขา และ.. คงมิเหงาใจ ราวกับมีเสียงดนตรีไสวหวานรายรอบบ้าน พร้อม เปิดเพลงคุณ*ทูล ทองใจ* *โปรดเถิดดวงใจ*ให้หวามไหวไปด้วยกัน อย่างฝันพลี.. แล้ว.. รอที่จะหุงข้าวมะลิหอมๆใหม่ๆ ด้วยดวงใจแห่งศรัทธาปสาทะ แล้ว.. จะค่อยค่อยบรรจง พับกลีบบัวด้วยดวงใจละไมละมุน พร้อมใส่บาตร..แล้วยกขันข้าวทองจากครรลอง แห่งหอมงามใจ พลีจิตไสวอธิษฐาน ให้.. เพื่อนมนุษย์ทุกทั่วหล้า ทั่วฟ้าไทยและตัวข้าเอง อย่าได้..รานโศกอย่าให้โลกได้แล้งไร้.. ให้ทุกคนดี.. ได้พบพระพุทธศาสนาทุกภพทุกชาติไป..ด้วยเทอญ ...... ยามเช้าเจ้าพุดซ้อนจะไปไหน นกเป็นเสียงนาฬิกาว่าเช้าแล้ว พวงดอกแก้วร่วงพรูคู่ฟ้าสาง เสียงไก่ขันกระชั้นถี่บนลานกว้าง โลกสว่างดาวแขวนฟ้าราตรีนวล.. รับอรุณกับราตรีที่หอมเศร้า หอมข้าวเช้าตัดใบตองร่องท้ายสวน โรยมะลิในขันข้าวขาวใจนวล ผลไม้สวนเอื้อมเด็ดมาใส่ตะกร้างาม นุ่งผ้าซิ่นผืนสวยลายดอกไม้ ริมแก้มซ้ายทัดชวนชมให้วาบหวาม เด็ดดอกไม้รายรอบสวนผูกช่องาม อธิษฐานตามให้งามใจละไมละมุน.. พระ.พายเรือ มารอ รับบิณฑบาตร ขอทุกชาติสร้างผลบุญได้เกื้อหนุน เป็นสาวนารักสายธารหวานดอกไม้ลมละมุน ตราบโลกหมุนสร้างศรัทธาพาดวงใจพบสุขจริง...พบสุขใจ ........................... พับกลีบบัวน้ำตาปริ่มอิ่มปิติ ร้อยมาลัยพุดซ้อนและกลอนรัก แทนอ้อมตักอ้อมใจยามไกลแสน ร้อยมาลัยห่วงหารัดร้อยแทน อุ่นอ้อมแขนแทนอ้อมขวัญอันห่วงใย พับกลีบบัวน้ำตาปริ่มอิ่มปิติ ดอกมะลิลามะลิซ้อนงามอ่อนไหว อธิษฐานกราบพระพุทธพร้อมพลีใจ ยอดดวงใจพรากลาอีกคราแล้ว จิตเกษมหอมห่มธรรมย้ำรอท่า ทุกทิวาภาวนาใจใสดั่งดวงแก้ว น้ำค้างฝันจันทร์หวานทั่วถิ่นแนว กระซิบแผ่วน้องคนนี้พลีรักรอ.. มองดูจันทร์ฝันฝากใจนะยอดรัก จันทร์ใจภักดิ์คงมั่นฝันเฝ้าพ้อ จะเนิ่นนานสักปานไหนใจเฝ้ารอ จะมิท้อดอกธรรมหวานบานในใจ จะส่งจูบส่งใจไปคลายหนาว ห่มร่างร้าวเหนื่อยนักพักหวั่นไหว ให้เดือนดาวกระซิบพราวออดอ้อนใจ ยังมีใครคนนี้ที่รักนัก... ดอกพุดไพรฝากใจห่มหอมกว่าหอม หวังจิตหลอมสัญญามั่นขวัญรวมภักดิ์ น้ำค้างพรมลมลูบไล้มาทายทัก ดาราจักรหมุนวนรอคนดี.. น้ำค้างแก้วพราวใสจับใบไม้ น้ำตาพรายซึ้งเศร้าหนาวคืนนี้ นับวันรอยอดหฤทัยกี่ราตรี ใจดวงดีกราบขอพรวอนสวดมนต์ ฝากท้องฟ้าโอบกอดแทนห่วงหา ฝากดาราประจำเมืองทุกเวหน ฝากคำมั่นสัญญากลางกมล ฝากเทพดลบันดาลประทานพร ฝากใบไม้ร่ายฟ้อนแทนคำหวาน แทนร้าวรานรักรอขอออดอ้อน ฝากหมอนน้อยคอยเคลียแก้มก่อนจะนอน กระซิบอ้อนวอนว่านิทรารมย์..นะดวงใจ.. ...................... และนั่นคือ..*พลังปิติเกษม* ที่เธอ..รอไปวัดทำบุญในวันออกพรรษา วันเวลาแห่งงามบุญงามใจ สร้างความไสวให้ใจตัวเอง .. และ.... หวังสานธรรมทอง ให้พุทธศาสนา ได้ดำรงส่องผ่องพรายฉายฉายรัศมีแก้ว ให้แววประภัสส์ไปทั่วทั้งแผ่นดิน อย่าง..มิสิ้นสายน้ำแห่งรักนิรันดร์ ให้ยังมี.. เรือธรรมพร้อมพาผู้คนผู้พร้อมบำเพ็ญ เพียรพายรู้รักษาร่างกายให้หอมสะอาด ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา และ ได้พาพบฝั่งฝันอันแสนใกล้ ณ..ภายในจิตไสวแห่งเราเอง..ใช่ไกล หากมีดวงใจดวงตาเห็นธรรม... เสียงสายน้ำแห่งรักยังระรินร่ำ ฝากพร่ำหอมห่มบ่มงามแห่งห้วงอนันต์ใจ ในบึงกายเธอเสมอมาและตราบจักชั่วฟ้าดินสลาย...! ......................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song222.html ฉันรักเธอเสมอ หากตราบใด สายนที ยังรี่ไหล สู่มหา ชลาลัย กระแสสินธุ์ เกลียวคลื่นยัง กระทบฝั่ง เป็นอาจินต์ เป็นนิจสิน ตราบนั้น ฉันรักเธอ เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ ชั่วนิจนิรันดร์ เช่นตะวัน นั้นยังคง ตรงต่อเวลา แน่นอนนัก รักท้องฟ้า สม่ำเสมอ เช่นกับฉัน มั่นคง ตรงต่อเธอ ฉันรักเธอเสมอ ฉันรักเธอเสมอ ชั่วนิจนิรันดร์... ............... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song196.html โปรดเถิดดวงใจ ทูล ทองใจ โปรดเถิดดวงใจโปรดได้ฟังเพลง นี้ก่อน อย่าด่วนหลับนอนอย่าด่วนทอดถอน ฤทัย จำเสียงของพี่ ได้หรือเปล่า จำเพลงรักเก่า เราได้ไหม เคยฝากฝังไว้แนบในกลางใจนาง ดึกดื่นคืนนั้นเคยร่วมผูกพัน แน่นหนัก เคยฝากความรักว่าด้วยใจภักดิ์ ไม่จาง เสียงน้องออเซาะ ขอรักมั่น รำพึงเสียงสั่นเมื่อใกล้สาง ไม่อยากจากนาง ห่างรัก ที่เริ่มลอง แต่พออีกไม่นานนัก ความรักที่เคยหวานซึ้ง เปลี่ยนจากหนึ่งกลับกลายเป็นสอง ลืมรักลืมรส ลืมไปหมดที่เคยทดลอง อ้อมแขนที่เคยประคอง น้องอยู่ในอ้อมแขนใคร ดึกดื่นคืนนี้พี่คงเฝ้าคอย เหมือนก่อน มิได้หลับนอนเฝ้าแต่ทอดถอน ฤทัย พี่หลงบรรเลงเพลงรักเก่า ตัวเธอนั้นเล่าอยู่แห่งไหน ดูช่างโหดร้าย ให้เราเฝ้าคร่ำ ครวญ...
18 ตุลาคม 2548 10:25 น. - comment id 528489
วันออกพรรษา คือวันที่สิ้นสุดระยะการจำพรรษา(นับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งเป็นวันเข้าพรรษาจนถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ครบ ๓ เดือนพอดี) หรือออกจากการอยู่ประจำที่ในฤดูฝน พระสงฆ์จาริกไปแรมคืนที่อื่นได้ เพื่อเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตามความประสงค์ โดยไม่จำเป็นต้องกลับมาค้างแรม ณ วัดที่ตนสังกัด วันออกพรรษานี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันปวารณา หรือ วันมหาปวารณา หมายถึง การที่พระภิกษุสงฆ์เปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกันกล่าวตักเตือนได้ ปวารณา เป็นพิธีกรรมของสงฆ์ ที่ท่านทำปวารณาต่อกันในวันออกพรรษา ต่างรูปต่างกล่าวคำปวารณาตามลำดับอาวุโส ประวัติความเป็นมา เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสงฆ์ทำปวารณาด้วยสมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี มีภิกษุพวกหนึ่งจำนวนหลายรูปจำพรรษาอยู่ในวัดแห่งแคว้นโกศล ประสงค์จะป้องกันการวิวาทมิให้เกิดขึ้นแก่กันและกัน จึงตั้งกติกาไม่พูดกัน ใครมีกิจอย่างไรก็ทำไปตามหน้าที่ วิธีนี้เรียกว่า มูควัตร คือปฎิบัติเหมือนคนใบ้ ครั้นออกพรรษาแล้วพากันมาเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลมูควัตรที่ตนปฏิบัติให้ทรงทราบ พระพุทธองค์ทรงตำหนิว่า ความประพฤติเช่นนั้นเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ธรรมดาสัตว์แม้จะอยู่ด้วยกันก็ไม่ถามถึงทุกข์สุขกัน แล้วตรัสห้ามภิกษุมิให้ปฎิบัติดังนั้นต่อไป ถ้าปฎิบัติจะปรับโทษเป็นอาบัติทุกกฎ จากนั้นจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้จำพรรษาครบสามเดือนปวารณาแก่กัน คือว่ากล่าวตักเตือนข้อผิดพลั้งตามที่ได้เห็นหรือได้ยิน คำปวารณามีใจความว่า \"ท่านทั้งหลายข้าพเจ้าขอปวารณาต่อสงฆ์ด้วยได้เห็นเองก็ดี ด้วยได้ฟังมาก็ดี ด้วยสงสัยก็ดีขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสำนึกได้จัดทำการแก้ตัวเสีย\" ดังนั้นแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้ามิได้ทรงถือบุคคลเป็นใหญ่ แต่พระองค์ทรงถือพระธรรมคือ ความถูกความควรเป็นสำคัญ เมื่อรู้เห็น ความไม่ดีไม่งามของกันและกันแล้ว ก็ทรงอนุญาตให้ว่ากล่าวตักเตือนกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทั้งนี้ก็เพื่อความบริสุทธิ์ในหมู่สงฆ์และเป็นความบริสุทธิ ์ของพระพุทธศาสานา ด้วยเหตุนี้ วันอออกพรรษาเป็นวันสิ้นสุดระยะการจำพรรษาตามเวลาที่พระพุทธองค์ได้ทรงกำหนด จึงถือว่าเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาวันหนึ่งของไทย กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันออกพรรษา ๑. บำเพ็ญกุศล อาทิ ทำบุญใส่บาตร จัดดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชาพระที่วัด ถวายสังฆทาน ถวายภัตตาหาร ฟังพระธรรมเทศนา และมีการตักบาตรเทโวในวันรุ่งขึ้น ๒. ร่วมกุศลกรรม \"ตักบาตรเทโว\" ๓.จัดนิทรรศการ กิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการเผยแพร่เกี่ยวกับวันออกพรรษา ๔.ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด ประดับธงชาติ ประเพณีเกี่ยวข้องกับวันออกพรรษา ที่นิยมปฎิบัติกันมีอยู่ ๒ อย่าง คือ ๑. ประเพณีตักบาตรเทโว ๒. ประเพณีเทศน์มหาชาติ ๑.ประเพณีการตักบาตรเทโว จะกระทำกันในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ คือหลังจากวันออกพรรษา แล้ว ๑ วัน คำว่า \"เทโว\" ย่อมาจาก \"เทโวโรหณะ\" แปลว่าการเสด็จลงจากเทวโลก การตักบาตรเทโว จึงเป็นการระลึกถึงวันที่พระพุทธองค์ เสด็จกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาในเทวโลก โดยจำพรรษาอยู่ ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเวลา ๑ พรรษา และเมื่อออกพรรษาแล้วพระองค์ได้เสด็จกลับยังโลกมนุษย์ ณ เมืองสังกัสสคร ในครั้นนั้นบรรดาพุทธศานนิกชนผู้ที่มีความศรัทธาเลื่อมใส เมื่อทราบข่าวต่างพร้อมใจกันไปรอตักบาตรเพื่อรับเสด็จกันอย่างเนืองแน่น จนถือเป็นประเพณีตักบาตรเทโวปฏิบัติสืบทอดกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ พิธีที่จัดกันในวันออกพรรษานี้ บางวัดอาจทำกันเพียงธรรดาๆ แต่บางวัดอาจจัดใหญ่โต อัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานในบุษบก ซึ่งตั้งอยู่บนล้อเลื่อนมีบาตรใหญ่ตั้งไว้หน้าพระพุทธรูป มีคนลากล้อเลื่อนไปช้าๆ พระสงฆ์ สามเณรถือบาตรเดินตาม เพื่อให้ทายกทายิกาที่ยืนนั่งกันอยู่เป็นแถวได้ใส่บาตรของนิยมนำไปใส่บาตรในวันนั้น นอกจากข้าวกับข้าว ผลไม้ แล้วก็มีข้าวต้มมัดไต้ และ ข้าวต้มมัดโยน เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแต่ละท้องถิ่น ก็จะมีประเพณีตักบาตรเทโว ที่จัดใหญ่โตต่างกัน เช่น ภาคกลาง จ.อุทัยธานี เป็นงานประเพณีที่ชาวอุทัยธานียึดถือปฏิบัติกันมา ตั้งแต่ครั้ง บรรพบุรุษ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ชาวอุทัยธานีทุกคนภูมิใจกันมากเพราะเป็นการจัดงานตักบาตรเทโว ที่มีความสอดคล้องกับพุทธตำนานมากที่สุด พิธีกรรม โดยเริ่มงานตั้งแต่เช้าตรู่ จะมีภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูป เดินตามขบวนแห่ พระพุทธรูปปางเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาตามบันไดซึ่งภาพที่ปรากฏต่อสายตานั้นจะเหลืองอร่าม ไปด้วยสีผ้ากาสาวพัตรของพระภิกษุสงฆ์ทีทอดตัวลงมาอย่างช้า ๆ ส่วนสองข้างของบันไดจะปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีขาว พวยพุ่งออกมาจนทำให้เห็นสีเหลืองเด่นชัด เป็นสง่างามน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ครั้นพระภิกษุสงฆ์ ลงมาถึงลานวัดสังกัส รัตนคีรีแล้ว ภาคกลาง จ.สุโขทัย ที่ปรากฎและมีชื่อเสียงคือ งานตักบาตรเทโวของวัดราชธานี อ.เมืองสุโขทัย และวัดน้ำขุน อ.ศรีนคร จ.สุโขทัย มีการทำบุญตักบาตร ใส่ข้าวต้มมัด หรือข้าวต้มลูกโยน เพราความเชื่อที่ว่าพระพุทธองค์เสด็จลงมาจากเทวโลกมีผู้มาต้อนรับมากมายทำให้ไม่สามารถเข้าใกล้พระพุทธองค์ได้ ต้องโยนอาหารลงในบาตร มีกีฬาทางน้ำคือการแข่งเรือในแม่น้ำยม โดยเชิญเรือจากหลายแหล่งมาร่วมแข่งขันบางปีได้เชิญเรือจากหลายแหล่งมาร่วมแข่งขันบางปีได้เชิญเรือจากต่างจังหวัดมาร่วมแข่งด้วย การจัดงานที่วัดน้ำขุน อุปกรณ์จัดงานตักบาตรเทโว เป็นงานศิลปะที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน ช่วยกันประดิษฐ์ไปตามจินตนาการ แม้ในปัจจุบันรูปแบบก็ยังจัดในรูปแบบเดิม แต่อุปกรณ์เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม พิธีกรรม ก่อนจะถึงวันงานคณะกรรมการจะได้เชิญชาวบ้านส่งบุตรหลานมาเป็นเทวดา นางฟ้า และผู้เข้าร่วมขบวนแห่ ปัจจุบันขบวนแห่งานตักบาตรเทโวจะเริ่มที่หน้าวัดหนองแหนซึ่งอยู่ห่างจากที่จัดงานประมาณ ๒ กิโลเมตรเศษ ในขบวนจะประกอบด้วย กลองยาว บุษบกสำหรับประดิษฐาน พระพุทธรูป พระอินทร์ พระพรหม เทพบุตร นางฟ้า ฤาษี ขอทานและสัตว์นรกจำนวนมาก เมื่อเริ่มขบวนชาวบ้านจะพากันมาคอยร่วมทำบุญตักบาตร ซึ่งเป็นข้าวสารอาหารแห้ง การเคลื่อนขบวนจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ให้พระภิกษุรับบาตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.หนองบัวบำภู พิธีกรรม ๑. จัดเตรียมขบวนรถทรงหรือคานหามพระพุทธรูป เพื่อชักหรือหามนำหน้าพระสงฆ์ในการรับบาตร หรือจะให้อุบาสกอุบาสิกาเป็นผู้เชิญพระพุทธรูปก็ได้ ๒. พระพุทธรูปที่จะเชิญนิยมพระพุทธรูปปางอุ้มบาตร ถ้าไม่มีอาจใช้ปางอื่น ๆ แต่ให้เป็นพระพุทธรูปยืน ๓. พุทธศาสนิกชนเตรียมภัตตาหารใส่บาตร โดยเฉพาะข้าวต้มลูกโยนที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของพิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหณะ ๔. มีการแสดงพระธรรมเทศนา งานตักบาตรเทโวเป็นงานที่ช่วยสร้างความสมัครสมานสามัคคีให้แก่ชาวบ้านอย่างมาก เป็นเครื่องควบคุมสังคมให้ ละ ลด เลิกอบายมุข หันหน้าเข้าวัดเพื่อทำบุญ จึงมีส่วนช่วยให้สังคมเกิดสันติสุขเป็นอย่างดี ๒.ประเพณีงานเทศน์มหาชาติ งานเทศน์มหาชาตินี้ นิยมทำกันหลังออกพรรษาพ้นหน้ากฐินไปแล้ว อาจทำในวันขี้น ๘ ค่ำกลางเดือน ๑๒ หรือในวันแรม ๘ ค่ำก็ได้ ซึ่งในช่วงนี้น้ำเริ่มลดและข้าวปลาอาหารกำลังอุดมสมบูรณ์ จึงพร้อมใจกันทำบุญทำทานและเล่นสนุกสนานรื่นเริง แต่ในภาคอีสานนั้นนิยมทำกันในเดือน ๔ เรียกว่า \"งานบุญผะเหวด\" ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จจากการทำบุญลานเอาข้าวเข้ายุ้ง ในภาคกลาง บางท้องถิ่นทำกันในเดือน ๕ ต่อเดือน ๖ ก็มี งานเทศน์มหาชาตินั้นจะทำในกาลพิเศษจะทำในเดือนไหนก็ได้ไม่จำกัดฤดูกาล โดยมากเพื่อเป็นการหาเงินเข้าวัด บางแห่งนิยมทำในเดือน ๑๐ การเทศน์มหาชาตินั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๑๓ กัณฑ์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระเวสสันดรอันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระบรมโพธิสัตว์ ก่อนที่จะมาประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะและออกบวชจนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังตำนานต่อไปนี้ ตำนาน เทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ การเทศน์มหาชาติ คือการมหากุศลที่เตือนบุคคลให้น้อมรำลึกถึงการบำเพ็ญบุญ คือความดีที่ยิ่งยวด อันมีการสละความเห็นแก่ตัว เพื่อผลประโยชน์สูงอันไพศาลของมวลมนุษยชาติเป็นสำคัญเป็นเทศกาลที่คงความหมายอย่างแท้จริง การเทศน์ทุกกัณฑ์จะมีผู้เป็นเจ้าภาพจัดกัณฑ์เทศน์ถวาย เมื่อพระที่ตนรับกัณฑ์เทศน์ขึ้นเทศน์เจ้าภาพจะจุดเทียนบูชาคาถาหว่านข้าวตอกข้าวสาร การเทศน์ในสมัยก่อนพระเจ้าของกัณฑ์จะอ่านจากอักษรธรรม(อักษรลาว) ซึ่งจารลงบนใบลานเป็นแผ่นยาว คำว่า \"จาร\" มาจากภาษาเขมรแปลว่า การเขียนด้วยเหล็กแหลมบนใบลาน แต่ปัจจุบันจะนิยมพิมพ์ลงบนใบลานเป็นตัวหนังสือไทยปัจจุบัน เป็นเรื่องราวในแต่ละกัณฑ์ ทั้งนี้เพื่อความสะดวกสำหรับพระรุ่นใหม่ เมื่อจบกัณฑ์จะตีฆ้องเป็นสัญญาณ การเป็นเจ้าของกัณฑ์ในหมู่บ้านในชนบทอาจแบ่งเจ้าภาพเป็นคุ้ม เรื่องราวและประวัติความเป็นมาแต่ละกัณฑ์มีดังนี้ กัณฑ์ที่ ๑ ทศพร เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์ประสาทพรแก่พระนางผุสดี ก่อนที่จะจุติลงมาเป็นพระราชมารดาของพระเวสสันดร ภาคสวรรค์ พระนางผุสดีเทพอัปสรสิ้นบุญท้าวสักกะเทวราช สวามีทรงทราบจึงพาไปประทับยังสวนนันทวันในเทวโลก พร้อมให้พร ๑๐ ประการ คือให้ได้อยู่ในปราสาทของพระเจ้าสิริราชแห่งนครสีพี ขอให้มีจักษุดำดุจนัยน์ตาลูกเนื้อ ขอให้มีคิ้วดำสนิท ขอให้พระนามว่าผุสดี ขอให้มีโอรสที่ทรงเกียรติยศเหนือกษัตริย์ทังหลายและมีใจบุญ ขอให้มีครรภ์ที่ผิดไปจากสตรีสามัญคือแบนราบในเวลาทรงครรภ์ ขอให้มีถันงามอย่ารู้ดำและหย่อนยาน ขอให้มีเกศาดำสนิท ขอให้มีผิวงาม และข้อสุดท้ายขอให้มีอำนาจปลดปล่อยนักโทษได้ กัณฑ์ที่ ๒ หิมพานต์ เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรบริจาคทานช้างปัจจัยนาค ประชาชนสีพีโกรธแค้นจึงขับไล่ให้ไปอยู่เขาวงกต พระนางเทพผุสดีได้จุติลงมาเป็นราชธิดาของพระเจ้ามัททราช เมื่อเจริญชนม์ได้ ๑๖ ชันษา จึงได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งสีวิรัฐนคร ต่อมาได้ประสูติพระโอรสนามว่า \"เวสสันดร\" ในวันที่ประสูตินั้นได้มีนางช้างฉัททันต์ตกลูกเป็นช้างเผือกขาวบริสุทธิ์จึงนำมาไว้ในโรงช้างต้นคู่บารมี ให้นามว่า \"ปัจจัยนาค\" เมื่อพระเวสสันดรเจริญชนม์ ๑๖ พรรษา ราชบิดาก็ยกราชสมบัติให้ครอบครองและทรงอภิเษกกับนางมัทรีพระราชบิดาราชวงศ์มัททราช มีพระโอรส ๑ องค์ชื่อ ชาลี ราชธิดาชื่อ กัณหา พระองค์ได้สร้างโรงทาน บริจาคทานแก่ผู้เข็ญใจ ต่อมาพระเจ้ากาลิงคะแห่งนครกาลิงครัฐได้ส่งพราหมณ์มาขอพระราชทานช้างปัจจัยนาค พระองค์จึงพระราชทานช้างปัจจัยนาคแก่พระเจ้ากาลิงคะ ชาวกรุงสัญชัย จึงเนรเทศพระเวสสันดรออกนอกพระนคร กัณฑ์ที่ ๓ ทานกัณฑ์ เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงแจกมหาสัตสดกทาน คือ การแจกทานครั้งยิ่งใหญ่ ก่อนที่พระเวสสันดรพร้อมด้วยพระนางมัทรี ชาลีและกัณหาออกจากพระนคร จึงทูลขอพระราชทานโอกาสบำเพ็ญมหาสัตสดกทาน คือ การให้ทานครั้งยิ่งใหญ่ อันได้แก่ ช้าง ม้า โคนม นารี ทาสี ทาสา สรรพวัตถาภรณ์ต่างๆ รวมทั้งสุราบานอย่างละ ๗๐๐ กัณฑ์ที่ ๔ วนประเวศ เป็นกัณฑ์ที่สี่กษัตริย์เดินดงบ่ายพระพักตร์สู่เขาวงกต เมื่อเดินทางถึงนครเจตราชทั้งสี่กษัตริย์จึงแวะเข้าประทับพักหน้าศาลาพระนคร กษัตริย์ผู้ครองนครเจตราชจึงทูลเสด็จครองเมือง แต่พระเวสสันดรทรงปฎิเสธ และเมื่อเสด็จถึงเขาวงกตได้พบศาลาอาศรมซึ่งท้าววิษณุกรรมเนรมิตตามพระบัญชาของท้าวสักกะเทวราช กษัตริย์ทั้งสี่จึงทรงผนวชเป็นฤๅษีพำนักในอาศรมสืบมา กัณฑ์ที่ ๕ ชูชก เป็นกัณฑ์ที่ชูชกได้นางอมิตดามาเป็นภรรยา และหมายจะได้โอรสและธิดาพระเวสสันดรมาเป็นทาส ในแคว้นกาลิงคะมีพราหมณ์แก่ชื่อชูชก พำนักในบ้านทุนวิฐะ เที่ยวขอทานตามเมืองต่างๆ เมื่อได้เงินถึง ๑๐๐ กหาปณะ จึงนำไปฝากไว้กับพราหมณ์ผัวเมีย แต่ได้นำเงินไปใช้เป็นการส่วนตัว เมื่อชูชกมาทวงเงินคืนจึงยกนางอมิตดาลูกสาวให้แก่ชูชก นางอมิตดาเมื่อมาอยู่ร่วมกับชูชก ได้ทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี ทำให้ชายในหมู่บ้าน เปรียบเทียบกับภรรยาตน หญิงในหมู่บ้านจึงเกลียดชังและรุมทำร้ายทุบตี นางอมิตดา ชูชกจึงเดินทางไปทูลขอกัณหาชาลีเพื่อเป็นทาสรับใช้ เมื่อเดินทางมาถึงเขาวงกตก็ถูกขัดขวางจากพรามเจตบุตรผู้รักษาประตูป่า กัณฑ์ที่ ๖ จุลพน เป็นกัณฑ์ที่พรานเจตบุตรหลงกลชูชก และชี้ทางสู่อาศรมจุตดาบส ชูชกได้ชูกลักพริกขิงแก่พรานเจตบุตรอ้างว่าเป็นพระราชสาสน์ของพระเจ้ากรุงสญชัย จึงได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรมฤๅษี กัณฑ์ที่ ๗ มหาพน เป็นกัณฑ์ป่าใหญ่ ชูชกหลอกล่ออจุตฤๅษีให้บอกทางสู่อาศรมพระเวสสันดรแล้วก็รอนแรมเดินไพรไปหา เมื่อถึงอาศรมฤๅษี ชูชกได้พบกับอจุตฤๅษี ชูชกใช้คารมหลอกล่อจนอจุตฤๅษีจึงให้ที่พักหนึ่งคืนและบอกเส้นทางไปยังอาศรมพระเวสสันดร กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร เป็นกัณฑ์ที่พระเวสสันดรทรงให้ทางสองโอรสแก่เฒ่าชูชก พระนางมัทรีฝันร้ายเหมือนบอกเหตุแห่งการพลัดพราก รุ่งเช้าเมื่อนางมัทรีเข้าป่าหาอาหารแล้ว ชูชกจึงเข้าเฝ้าทูลขอสองกุมาร สองกุมารจึงพากันลงไปซ่อนตัวอยู่ที่สระ พระเวสสันดรจึงลงเสด็จติดตามสองกุมาร แล้วจึงมอบให้แก่ชูชก กัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี เป็นกัณฑ์ที่พระนางมัทรีทรงได้ตัดความห่วงหาอาลัยในสายเลือด อนุโมทนาทานโอรสทั้งสองแก่ชูชก พระนางมัทรีเดินเข้าไปหาผลไม้ในป่าลึก จนคล้อยเย็นจึงเดินทางกลับอาศรม แต่มีเทวดาแปลงกายเป็นเสือนอนขวางทาง จนค่ำเมื่อกลับถึงอาศรมไม่พบโอรส พระเวสสันดรได้กล่าวว่านางนอกใจ จึงออกเที่ยวหาโอรสและกลับมาสิ้นสติต่อเบื้องพระพักตร์ พระองค์ทรงตกพระทัยลืมตนว่าเป็นดาบสจึงทรงเข้าอุ้มพระนางมัทรีและทรงกันแสง เมื่อพระนางมัทรีฟื้นจึงถวายบังคมประทานโทษ พระเวสสันดรจึงบอกความจริงว่าได้ประทานโอรสแก่ชูชกแล้ว หากชีวิตไม่สิ้นคงจะได้พบ นางจึงได้ทรงอนุโมทนา กัณฑ์ที่ ๑๐ สักกบรรพ เป็นกัณฑ์ที่พระอินทร์จำแลงกายเป็นพราหมณ์มาขอพระนางมัทรี แล้วถวายคืนพร้อมถวายพระพร ๘ ประการ ท้าวสักกะเทวราชเสด็จแปลงเป็นพราหมณ์เพื่อทูลขอนางมัทรี พระเวสสันดรจึงพระราชทานให้ พระนางมัทรีก็ยินดีอนุโมทนาเพื่อร่วมทานบารมีให้สำเร็จพระสัมโพธิญาณ เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหวสะท้าน ท้าวสักกะเทวราชในร่างพราหมณ์จึงฝากนางมัทรีไว้ยังไม่รับไป ตรัสบอกความจริงและถวายคืนพร้อมถวายพระพร ๘ ประการ กัณฑ์ที่ ๑๑ มหาราช เป็นกัณฑ์ที่เทพเจ้าจำแลงองค์ทำนุบำรุงขวัญสองกุมารก่อนเสด็จนิวัติถึงมหานครสีพี เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่ชูชกจะผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ส่วนตนเองปีนขึ้นไปนอนต้นไม้ เหล่าเทพเทวดาจึงแปลงร่างลงมาปกป้องสองกุมาร จนเดินทางถึงกรุงสีพี พระเจ้ากรุงสีพีเกิดนิมิตฝันตามคำทำนายยังความปีติปราโมทย์ เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้าทอดพระเนตรเห็นชูชกพากุมารน้อยสององค์ ทรงทราบความจริงจึงพระราชทานค่าไถ่คืน ต่อมาชูชกก็ดับชีพตักษัยด้วยเพราะเดโชธาตุไม่ย่อย ชาลีจึงได้ทูลขอให้ไปรับพระบิดาพระมารดานิวัติพระนคร ในขณะเดียวกันเจ้านครลิงคะได้โปรดคืนช้างปัจจัยนาคแก่นครสีพี กัณฑ์ที่ ๑๒ ฉกษัตริย์ เป็นกัณฑ์ที่ทั้งหกกษัตริย์ถึงวิสัญญีภาพสลบลงเมื่อได้พบหน้า ณ อาศรมดาบสที่เขาวงกต พระเจ้ากรุงสญชัยใช้เวลา ๑ เดือน กับ ๒๓ วันจึงเดินทางถึงเขาวงกต เสียงโห่ร้องของทหารทั้ง ๔ เหล่า พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็นข้าศึกมารบนครสีพี จึงชวนพระนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขา พระนางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดาจึงได้ตรัสทูลพระเวสสันดร และเมื่อหกกษัตริย์ได้พบหน้ากันทรงกันแสงสุดประมาณ รวมทั้งทหารเหล่าทัพ ทำให้ป่าใหญ่สนั่นครั่นครืนท้าวสักกะเทวราชจึงได้ทรงบันดาลให้ฝนตกประพรมหกกษัตริย์และทวยหาญได้หายเศร้าโศก กัณฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์ เป็นกัณฑ์ที่หกกษัตริย์นำพยุหโยธาเสด็จนิวัติพระนคร พระเวสสันดรขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดา พระเจ้ากรุงสญชัยตรัสสารภาพผิด พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรี และเสด็จกลับสู่สีพีนคร เมื่อเสด็จถึงจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตกว่า รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน พระองค์จะประทานสิ่งใดแก่ประชาชน ท้าวโกสีห์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว ๗ ประการ ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนขนเอาไปตามปรารถนา ที่เหลือให้ขนเข้าพระคลังหลวง ในกาลต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรมบ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดพระชนมายุ ประเพณีงานบุญผะเหวด ฟังเทศน์มหาชาติ อันเป็นประเพณีอันเก่าแก่ที่มีเรื่องราวเล่าขาน และปฏิบัติสืบทอดมาแต่โบราณ ยังธำรงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมและประเพณีอันดีงามของชาวอีสาน อย่างเช่น จังหวัดร้อยเอ็ดหรือสาเกตนครอันยิ่งใหญ่ในอดีต ได้จัดงานบุญผะเหวดให้เป็นงานประเพณีประจำปีของจังหวัดทุกๆ ปี กินข้าวปุ้น บุญผะเหวด ที่สาเกตนคร งานบุญผะเหวดของจังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจุบัน มักจัดขึ้นบริเวณบึงผลาญชัย อันเป็นสวนสาธารณะ พักผ่อนย่อยใจกลางตัวเมือง รอบบึงผลาญชัยจะมีผ้าผะเหวดที่ยาวที่สุดในโลก มีภาพเรื่องราวในเวสสันดรชาดกตั้งแต่กัณฑ์แรกจนถึงกัณฑ์สุดท้ายกางรอบบริเวณ พร้อมทั้งประดับธงทิวทั่วบริเวณงานในวันแรกของงานมีพิธีเชิญพระอุปคุตรรอบเมือง เพื่อให้ชาวบ้านร้อยเอ็ดได้สักการบูชาอย่างทั่วถึง ในวันที่สองตอนเช้ามีพิธีทักษิณานุปทาน และเทศน์มาลัยหมื่นมาลัยแสน จากนั้นเป็นพิธีเปิดงาน ตามขบวนแห่คำขวัญประจำจังหวัด ขบวนแห่ ๑๓ กัณฑ์แต่ละขบวนจะมีการแสดงตามลักษณะเรื่องราวแต่ละกัณฑ์ การตกแต่งรถขบวนเป็นที่น่าสนใจและสวยงาม จนได้รับเสียงปรบมือจากผู้ชมสองข้างทาง อยู่มิขาดระยะ ภาพเรื่องราวในพระเวสสันดรชาดกตั้งแต่กัณฑ์แรกจนถึงกัณฑ์สุดท้าย ที่ดูยาวที่สุดในโลก จากนั้นได้มีการบริการข้างปุ้น ข้าวต้มมัด ข้าวโป่ง ให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวงาน ทุกคนได้รับการแจกฟรีและกินฟรีเหมือนหนึ่งพระเวสสันดรที่ทรงให้ทานแก่ทวยราษฎร์ ในงานบุญเทศกาลต่างๆ ชาวอีสานจัดเตรียมข้าวปลาอาหารไว้สำหรับเลี้ยงแขกที่มาจากต่างถิ่น โดยเฉพาะข้าวปุ้นหรืนขนมจีนนับเป็นอาหารยอดนิยมของชาวอีสาน การกินข้าวปุ้นอร่อย น้ำยาข้าวปุ้นที่นิยมกัน ๒ ชนิด คือ น้ำยาลาวหรือน้ำยาปลาต้มใช้ปลาดุกหรือปลาช่อนเป็นส่วนผสม และน้ำยาไทย ใช้ปลาทูหรือแกงไก่ใส่กะทิ หรืออาจทำแกงเขียวหวานแทน วันสุดท้ายของงานในตอนเช้าเวลาตีห้าจะมีพิธีแห่ข้าวพันก้อน การตักบาตรพระสงฆ์ ๑๐๑ รูป การเทศน์มหาชาติ ๑๓ กัณฑ์ การแห่กัณฑ์หลอน กัณฑ์จอบและแถมสมภาร เป็นอันเสร็จสิ้นพิธี ขบวนแห่พระเวสสันดร ในกัณฑ์นครกัณฑ์ เพื่อแห่พระเวสสันดรเข้าเมือง ส่วนหมู่บ้านในชนบทเมื่องานสิ้นสุด ลูกหลานที่มาเยี่ยมบ้านเกิดก็กลับคืนสู่เมืองหลวงอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าทำงาน ทิ้งให้พ่อแม่ คนแก่ และเด็กเฝ้าหมู่บ้านต่อไป สิ้นเดือนสี่ มาถึงเดือนห้า ต่อถึงเดือนหกฝนเริ่มตก ก็คงเป็นฤดูกาลแห่งการทำนาอีกวาระหนึ่ง ชาวอีสานต้องตรากตรำทำงานในท้องทุ่ง เริ่มจากหว่าน กล้า ปักดำ จนข้าวตั้งท้องผ่านการเก็บเกี่ยว นวดข้าว และขนขึ้นสู่ยุ้งฉาง วัฎจักรแห่งการดำเนินชีวิตแต่ละช่วงจึงมักจะเกี่ยวโยงกับคติความเชื่อวัฒนธรรมและประเพณีที่สืบทอดต่อกันมา แม้วันนี้ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ครอบคลุมไปทั่วทุกหมู่บ้านในชนบทอีสาน แต่ในด้านความเชื่อความศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนาประเพณีและวัฒนธรรมมิเคยเปลี่ยแปลง พราหมณ์ชูชก กัณหา และ ชาลี ในกัณฑ์มหาราช งานบุญผะเหวดจึงเป็นงานประเพณีที่ปฎิบัติสืบต่อกันมา หลายท้องถิ่นได้มีการปรับเปลี่ยนพิธการตามวิถีแห่งยุคสมัย แต่ยังคงยึดหลักและแนวทางการปฏิบัติตามประเพณีดั้งเดิม การทำบุญของชาวอีสานจึงเปรียบเสมือนการสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน และมีชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข นั้นคือปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตที่แท้จริงของชาวอีสาน สาวงามเมืองร้อยเอ็ดกับขบวนพิณ แคน โหวต ในงานบุญผะเหวดจังหวัดร้อยเอ็ด
18 ตุลาคม 2548 16:50 น. - comment id 528973
ฝนกำลังพรำสายพรายพลิ้วนะคะ ใจดวงรักงามสงบกำลังรอฝนหยุดค่ะ ทุกดวงใจ เลยลองนอนนิ่งๆค่ะ ฟังเสียงสายฝนพร่างในท่ามงามเงียบ แห่งสรรพสิ่งค่ะ นิ่งฟังเสียงสายฝนสายสวรรค์ค่ะ และ น้อมรำลึกนึกถึงภาพพระพุทธไสยาสน์ ในหอมห้วงแห่งดวงจิตค่ะ ให้.. เกิดทิพยนิรมิตไสว พร่างสว่างราวมีอัญมณีจรัสแจ่มสว่าง อยู่ณ..ภายใน ใจดวงใสดวงงาม ของเราเองค่ะ สุขในความงามเงียบ เรียบง่ายไร้วายวุ่นรับผัสสะใด ผัสสะอันร้อนรนใจค่ะ เพียงเพียรวางว่าง สร้างรอยบุญกรุ่นหอม แล้วน้อมพลีอธิษฐานจิต ภาวนาให้ทุกมิ่งมิตรในเรือนใจ ได้ค้นพบ ความงามใจแบบคนกวี ที่จักมีเพียงพลีน้ำใจรักแด่กัน อย่างฉันท์คนที่พากันมาเอื้อฝันโอบไหล่ ในถนนสายดอกไม้งาม ใช่.. หาเรื่องรานร้าวเศร้าหมอง ให้ครองใจนานนะคะ พุดรักคนดีทุกคนค่ะ ด้วยกมลปรารถนาดีอย่างจริงใจ หวังก่อเกื้อเมตตาอภัย และหันหน้ามาปรองดอง ครองสุขไปพร้อมกันนะคะ ทุกคนดีที่พุดไพรและใจสาวนา แสนใสชื่อแสนรักค่ะ
19 ตุลาคม 2548 01:02 น. - comment id 530273
มาเยี่ยมมาเยือนพี่พุดสุดรัก วันนี้พาย่าไปตักบาตรเทโวมาคับ เลยแวะเอาบุญมาฝากด้วย (ให้ด้วยใจรับด้วยใจ) ในนี้ทั้งสาระ ทั้งบันเทิง ด้วยงานงามเช่นกัน ด้วยรักสุดใจจ้ามาจ้ะทิงจา
19 ตุลาคม 2548 03:08 น. - comment id 530293
แวะมาหาพี่พุดเอาตอนตีสามกว่า ๆ อ่านยังไม่จบดีเจ้าค่ะ อ่านงานพี่พุดแล้วมันสบายใจนะคะ เย็น หัวเราะ ยิ้มกับตัวเอง บางครั้งก็นั่งฟังเพลงไปด้วย สบายอารมณ์เชียวค่ะพี่พุด บ้านบางบ้านมันร้อน ร้อนจากคำที่เขารจนาไว้ อยากเก็บเกี่ยวความหวาน คลายเครียดแต่ก็มาเจออะไรก็ม่ายรู้ พี่ทิกิจ๋า สวัสดีพี่ด้วยค่ะ ไปก่อนค่ะพี่พุด ฝากเพลงสนุกให้พี่พุดฟังนะคะ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem82539.html# คิดถึงพี่เสมอค่ะ
19 ตุลาคม 2548 09:41 น. - comment id 530345
ถึงดวงใจในดวงใจ อุษาฟ้าสาง ลีลาวดีพร่างหอมอวลมาปลุกถึงที่นอน คลี่ยิ้มอ่อนหวาน รับอรุณสราญกับผ้าช้างสีทองผืนงาม ที่พาดผ่านริมปลายเตียงโบราณ ราวม่านแห่งรักนิรันดร์ โลกหอมหวาน กับจันทร์ลอยดวงคืนฟ้าใหม่ ในราตรีที่ผ่านมา ในดวงวิญญาญ์แสนสงบนัก ไฟฝันที่จักใกล้มอดดับ ด้วยเบื่อโลกโศกสะเทือน กลับ.. ราวมีพลังหวังหวาน พร่างกระจ่างขึ้นมาอีกครา และค้นพบสัจจะบางสิ่ง ว่าแท้ที่จริงแล้วไซร้ ในโลกมายานั้น มาตรแม้นพบคนดีมีค่าสักคน ก็พอเพียง ที่จะเลี้ยงหล่อชีวิต..แล้ว มากล่าวคำสั้นสั้นซึ้งซาบ ถึง คนดีที่มีรายนาม งามใจ มอบน้ำใจให้แด่แม่ดวงดอกพุดไพรค่ะ น้องนางสาวใบไม้... คุณเศษทาน.. คุณทิกิ น้องกวีปกรณ์ และ น้องมัดหมี่.ค่ะ ขอบคุณค่ะทุกคนดี ที่มีน้ำใจ มาโอบเอื้อใจขวัญ ให้ยังได้มีพลังไฟฝันมาพลีปันแบ่งค่ะ
18 ตุลาคม 2548 18:40 น. - comment id 531515
งดงามล้ำค่าเกินกว่าจะบรรยายยิ่งอ่านยิ่งใหลหลง
18 ตุลาคม 2548 12:14 น. - comment id 532048
มาน้อมรับพร..ค่ะพี่พุด... ด้วยความระลึกถึงค่ะ
18 ตุลาคม 2548 22:50 น. - comment id 532133
พุดคะ จำได้ว่าเมื่อกลางวันทิกิ ตอบพุดแล้ว ว่าไม่ค่อยมีเวลาอ่าน แต่ชอชื่นชมงานพุดไว้ มันหายไปไหนคะ คำตอบทิกิ ใครนะ ทำกับเราเช่นนี้ ?
18 ตุลาคม 2548 16:41 น. - comment id 534795
ฝากไว้ในงานน้องมะกรูดค่ะ *ประเพณีออกพรรษา งานแห่ปราสาทผึ้ง+ ณ จังหวัดสกลนคร* ................ น้องรักแสนรัก พีพุดค่ะคนดี กำลังจะไปออกกำลังกายนะคะ รู้ไหมพี่พุดรจนางาน เรื่องนี้ให้นะ ไปอ่านให้ละเอียดนะคะ ให้น้องเป็นนางเอก เชียวนะคะhttp://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem82515.html ในทุ่งกว้างกลางเดือนแจ่มค่ะ* และ พีพุดมาดูภาพที่น้องบันทึกมาให้ ทุกดวงใจชม พีพุดน้ำตาซึมค่ะ ด้วยซึ้งซาบใจ อยากนำไปใส่งานพี่พุดมากค่ะ *พรพรรษา* พี่พุดล้าใจค่ะคนดี เลยรจนากบทกวีบทนี้ไว้นะคะ เรือนทองเรือนไทยเรือนใจเรือนในฝัน ฉันขยันปลูกดอกไม้ไว้หอมหอม แล้วทำไมไม่เห็นค่าพาดมดอม ไปตรมตรอมกับเรื่องรานร้าวน่าเศร้าใจน่าเศร้าจริง ................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song420.html พระพุทธองค์ ท่านทรงสอนเรื่องเวรกรรม คนไหนใครทำ กรรมเคยก่อเอาไว้อย่างไร ก่อน นั้น เคยทำกรรมไว้ชาติใด ชาตินี้ต้องได้ รับกรรมที่ทำก่อนนั้น ตัวฉันคงทำ แต่กรรมซ้ำอยู่เสมอ ชาตินี้จึงเจอ เวรกรรมเก่าเข้าย้อนผูกพัน ปวด ร้าว ตรอมตรมขื่นขมอนันต์ ทำดี สารพันรางวัลที่ได้ก็คือเคราะห์กรรม โธ่ เอ๋ย พระเจ้าไม่เคยปราณี ในชาตินี้ ทำดีไม่เคยก่อกรรม หวัง ให้ ผลบุญได้น้อมนำ ล้างเวรที่เคยทำ แต่ชาติ ปาง ก่อน สิบนิ้วประนม สวดมนต์พร่ำบ่นบูชา กุศลนำมา จงนำข้าสิ้นเวรดั่งวรณ์ หากแม้ ชีวีสิ้นลับดับมรณ์ เวรกรรม ทุกชาติก่อน บรรเทาผันผ่อน อย่าตามซ้ำเลย... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song72.html หนึ่งในร้อย นิตยา บุญสูงเนิน พราว แพรว อันดวงแก้วแวว-วาว สด สี งาม หลายหลากมากนาม นิยม นิล-กาฬ มุกดา บุษรา คัมคม น่า ชม ว่างาม เหมาะสม ดี เพชรน้ำหนึ่ง งามซึ้ง จึงเป็น ยอดมณี ผ่อง แผ้วสดสีเพชรดี มีหนึ่งในร้อยดวง ความ ดี คนเรานี่ ดีใด ดี น้ำ ใจที่ให้แก่คน ทั้งปวง อภัย รู้แต่ให้ไปไม่หวง เจ็บ ทรวง หน่วงใจให้รู้ ทัน รู้ กลืน กล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน ชื่น ชอบตอบ ผล ร้อยคน มีหนึ่งเท่านั้นเอย รู้ กลืนกล้ำ เลิศล้ำ ความเป็น ยอดคน ชื่น ชอบตอบผล ร้อยคน มีหนึ่ง เท่านั้นเอง...
26 ตุลาคม 2551 12:52 น. - comment id 907637
งดงามเหลือหลาย