http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html (คำมั่นสัญญา) แล้ว.. เธอ...ก็กลับมา กับวันที่...ฟ้าทอแดดสวย กับสายลมระรวยระริน แห่งวันเริ่มต้นวสันตฤดู กับพายุพร่างพาสายฝนมาผสานผสมกับกลิ่นกายเธอ ที่ราวกับแม่ดวงดอกไม้ไพรอันแสนสวยใสฉ่ำเย็น.. ผม....ยืนนิ่งงันฝันงามเงียบ รอเธอ อยู่ณ..ที่ตรงนี้ ที่กระท่อมริมทะเลฝัน ที่เคยเป็นดั่งฉากรักนิรันดร์ อันแสนดายเดียวเหว่ว้า เฉกเช่นอดีตรักลับลาแรมร้างพรากจากแห่งสองเรา ที่ซ่อนซุกสุขซึ้งเหงาเปลี่ยว ในเงาใจกันและกันมานานวัน มานานปี มาจนถึงวันนี้นาทีนี้ 15 ปีเข้าไปแล้วที่รอคอย และ... ที่เธอเคยรจนาบทกวีบทหนึ่ง อย่างแสนซึ้งใจเอาไว้ว่า กระท่อมไพรบนเนินผาท้าสรวงสวรรค์ มีทะเลฝันตรงหน้าให้คว้าไขว่ มีดาวสวยทรายขาวหาดยาวไกล มีน้ำใจมีความรักมีดวงตะวัน.... ยามเช้านอนดูดวงดอกไม้มาทายทัก หวังยอดรักคืนอ้อมใจในอ้อมฝัน ลมทะเลเห่ครวญรำพึงรำพัน ดุจสวรรค์บนดินถิ่นรักเรา รอเรือหาปลาลำน้อยค่อยคืนฝั่ง ฝากใจหวังพรานทะเลคงไม่เหงา ใครบางคนเฝ้ารอมานานเนา คืนว่างเปล่าเขากลับมาหาเสียที ใจดายเดียวดูตะวันผันเรี่ยน้ำ ฟ้าสีครามงามดั่งทองอาบแสงสี จุดตะเกียงเขียนกลอนฝันมอบวันดี กระท่อมไพรนี้มีใจภักดิ์เฝ้ารักรอ แสงพริบพราวราวไฟในทะเลกว้าง แสนอ้างว้างห่างแค่ไหนใจไม่ท้อ กี่คืนฝันกี่วันปีที่รักรอ กระท่อมซอมซ่อผุพังฝังร่างนี้ที่รอรัก ..รอพรานทะเล! .......... ที่พาให้ผมหวนคิดไปถึงยามหนึ่งในราตรี ที่จันทร์ลอยดวง ดึกดื่นดายเดียว.. นะกระท่อมแห่งนี้ ที่ฟ้าระดะดาวพราวพร่างสุกใสแสนใกล้ ราวกับจะเอื้อมคว้าไขว่มาประดับใจได้ ที่ผมชอบให้คลื่นเคลียไคล้ ฝากเศร้างาม ผม... กำลังนับนาที...รอ.... เรือเฟอรี่ลำใหญ่...มาถึงฝั่งฝัน ที่กำลังแลเห็นจากโค้งอ่าวนี้ ที่กำลังฝ่าฟองคลื่นสีขาวแตกพรายกระจายรายรอบ ลำเรือ ที่กำลังหันหน้าวิ่งตรงเข้ามาอย่างช้าช้า ช้าช้า ให้หัวใจ ผม..ได้มีเวลา ย้อนรอยถอยหลังรำลึก คิดถึง ค่ำคืนหนึ่งที่ผ่านมา... และ... กับความทรงจำที่แสนหอมหวาน ในทุกยามย้อน ........... ผม...... ถือเป็นโชค..ยิ่งนัก ที่ได้พบได้รัก ได้รอเธอ ได้มารับราชการเป็นที่ดินอำเภอที่นี่ ที่ผมคิดว่า... *นี่คือบุพเพสันนิวาสพรหมบันดาลสวรรค์เมตตา* ให้...ผมได้มาพบกับนางใจนางในฝัน ที่นับจากนาทีแรกแต่นั้นมา... ผมมิเคยชายตาปันใจ และฝันถึงหญิงใดอื่นอีกเลยนอกเสียจาก เธอ...คนดี....ที่ผมแสนรักภักดี... ผม... ได้ยินเสียงรถจอด พร้อมกับ... เจ้าลิเดย์สุนัขที่แสนรักพันธุ์ไซบีเรี่ยนของผมเห่าขรม หากทว่า..ไม่นาน ราวกับเจ้าสุนัขแสนรู้คู่ใจผม จะพลันรับรู้ถึงพลังแห่งรักนี้ที่รอคอย ให้หยุดเงียบเสียงสนิท พร้อมกันกับ ที่ผม...ค่อยๆหันหลังไปอย่างช้าช้า จากทะเลตรงหน้าสีมรกต ที่ผมมายืนนิ่งพิงต้นมะพร้าวเอนเฝ้านับนาทีรอเธอ เธอ..ยังงามไสวเช่นเดิม... แม้วัยวันจะผันแปรไปนานปีก็ตามที แม้น..ร่างระหงจะยิ่งผอมบาง อย่างแสนน่าทะนุถนอมกว่าเดิม ผมเธอยังยาวสยายพัดร่ายรุ่ย ขับวงหน้านวลให้หวานเเจ่ม ราวกับแก้มถูกกรายล้อมด้วยรัศมีจันทร์ เธอ..คลี่ยิ้มอย่างดีใจ ตามด้วยเสียงหัวเราะใสใส ที่ทำไมหนอ... ผมมักจะใจอ่อนโยนทุกครายามได้ยิน *เราสบตากันนิ่งนาน..* โลกที่เคยราน...ราวรอหยุดหมุนนานนาที พอที่ผมจะเห็นหยาดน้ำผึ้งในเรียวตาเธออีกคราแล้ว ราวกับวันเวลาในอดีตย้อนรอย ถอยหลังในทุกคราครั้งที่เราพบกัน ที่มักจะมีหยาดน้ำใสซึ้ง ไหลหลั่งถะถั่งริน มาจากบึ้งใจแห่งความซ่านซึ้งแสนปิติ..เกษม... *กลับมาแล้วค่ะ คนดี ว่าไง อ้าวไม่กอดรับขวัญหน่อยเหรอไรคะ* มาค่ะ .... อย่ามัวเขินอาย อย่างเรานี่ไฟคงไม่ช๊อตๆๆแล้วดอกนะคะ จะนับนะคะ หนึ่งสอง สาม หากยังไม่เข้ามา เสียท่าชายชาตรีหมดเลย* *คนอะไรให้ผู้หญิงโผเข้าใส่ ...* ใช้ม่ายด้ายเธอแกล้งลากเสียงตลก และ.. นี่ละคือเสน่หาลีลาเธอ ที่ผมคิดว่าใครจะเลียนแบบมิได้ ไม่ว่าจะกระบวนท่าใด ที่มีผมเพียงนั้นได้รับเกียรติ เป็นดั่งชายเดียวในดวงใจที่พึงได้รับรักได้รู้รส ให้เธอได้พลีแสดงทุกบทบาทหมดจดถึงใจ และ....... ไม่ว่าจะเนิ่นนานสักเพียงใด หวานนั้นก็มิพลันกราย แม้นจะใช้เวลาสักแสนกาลกัป์ปกัลป์ ที่ผมจักตราจำไว้ อย่างมิมีวันเลือนลืม..ลืมเลือนทุกภพชาติ ถึงพิสวาทหวามเสน่หา *นิยามรักเหว่ว้าหากฝังจำแด่สองเรา* ผม.....ก้าวเดินช้าช้า ไปชิดใกล้เธอ แล้ว... ใช้มือแข็งแรง แฝงด้วยความรักความคิดถึงคะนึงหาเต็มห้องหัวใจ ล้นใจดวงนี้ที่แสนอบอุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน ค่อยๆลูบไล้เรียวแก้มลูบผมเธออย่างเบามือ... ในท่ามสายลมทะเล ที่กำลังหยอกล้อพ้อคลื่นพัดพร่าง มาเคลียไคล้ดวงดอกลีลาวดีหอมกรุ่นในมือ ที่กำลังบรรจงเสียบริมแก้มรับขวัญ และ สองแขนอันรัดรึง ค่อยๆตรึงร่างเธอไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น อย่างแสนรักอย่างกับกลัวการพรากจาก อย่างกอดเด็กน้อย ผู้หลงทางกลับบ้าน ที่เพิ่งพานพบ เธอซบบ่าผมแล้วสะอื้นไห้อย่างเงียบๆ ระหว่างเรา มีเพียงเงาทางมะพร้าวที่ทอดโอบ มีเพียงสายลมโบกโบยมารับรู้ มีเพียงคลื่นคลอทรายซัดหาดเห่กล่อม ราวหลอมละลายใจให้เป็นหนึ่งเดียว ให้ผมรู้เพียงว่า.. ในชีวิตลูกผู้ชายหนึ่งนี้ ผมกำลังพลีชีวิตจิตวิญญาณ อย่างทะนุถนอมแม่จอมใจเทพีไพรของผม อย่างแสนอ่อนหวานแผ่วเบา อย่างมิเคยทำกับใครมาก่อนเลย ผม...แนบคางสากกับเรือนผมหอมกรุ่น กับร่างน้อยๆในวงแขน อ้อนแอ้นอวลด้วยพลังแห่งไฟฝัน กับวันนี้นาทีนี้ที่รอคอย... และ... ผมรู้ดีว่า ... นี่คือ... * จันทร์ ณ กลางใจ...อาทิตย์อุทัย ณ กลางจิต* ที่หวนคืนย้อนกลับมา ส่องสว่างนำทางใจนำทางชีวิตผมไปตราบนิรันดร์ *ดั่งคำมั่นสัญญา* http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html คำมั่นสัญญา ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง มหรรณพ พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง แม้ เป็นถ้ำ อำไพ ใคร่เป็นหงษ์ จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง ขอ ติดตาม ทรามสงวน นวลละออง เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป แม้ เป็นถ้ำ อำไพ ใคร่เป็นหงษ์ จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง ขอ ติดตาม ทรามสงวน นวลละออง เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป... ............. ที่เธอบอกว่า.... กลับมาเที่ยวนี้... จะมาฝังฝากร่างเคียงผืนพสุธามาตุภูมิบ้านเกิด อยากมาพัฒนา ปรารถนามาทำสิ่งแสนดีแสนงามฝากไว้ในโลกหล้า ก่อนจะถึงวันแห่งตะวันลา ที่ราวดวงดอกไม้แห่งชีวี จะพากันพลีปลิดปลิว ลิ่วลอยโรยร่วงควะคว้างลงกรายพื้นให้หอมงาม... ผม... ค่อยๆกระซิบริมเรียวแก้ม *เหนื่อยมั้ยพักก่อนนะ* ค่ำนี้ เราจะมานอนนับดาวริมทะเลฝันคุยกันนะครับ แล้ว.. จะมีบาบีคิว ที่ผมเตรียมไว้ต้อนรับ ที่ตั้งใจไว้ว่าจะเชิญแขกมานับพัน หากคุณไม่ห้ามไว้* *แต่.... เอาเท่าที่คุณต้องการนะครับ น้องปลัดอำเภอน้องชายคนดีที่คุณรัก กับพัฒนากร ที่คุณบอกว่าจะมีอะไรคุยด้วย เพราะนานแล้วมิได้พบเจอ* *คนดี... แล้ว...อย่ามัวตื่นเต้น จนไม่เป็นอันทำอะไรนะครับ นอนพักมากๆ เตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้ คืนนี้ผมอาจจะกวนคุณจนฟ้าสาง ไม่ให้หลับนอนนะครับ มีเรื่องเล่ามากมายจะเล่าให้ฟังนะครับ* ผม... ต้องกลับไปทำงานก่อน นะ เย็นๆจะกลับมา และเข้าไปดูบนหัวนอนนะครับ ผมมีอะไรฝากไว้ให้... แล้ว.... อย่าพานร้องไห้อีกนะครับ เพราะเที่ยวนี้ เราคงไม่พรายพลัดพรากจากกันอีกแล้วใช่ไหมยอดรัก มา..มะ ให้ผมหอมแก้มหน่อยนะ ผม...จะได้ไปทำงาน และวันนี้ใครๆคงประหลาดใจหากเห็นผมคนเศร้าใจซื่อ ทำงานไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปด้วยอิ่มใจเสียเหลือเกินแล้ว... และ ผมทราบดีว่า นาทีที่เธอเห็นที่นอนสีขาวนวลนุ่มน่านอน เห็น ดวงดอกพุดซ้อนอรชรอ่อนหวาน ที่บานพราวตระการเต็มโถดิน...เธอจะต้องยิ้มดีใจ จนอยากร้องไห้ .................. ............. นั่น............!!!! คือ....วันที่เธอกลับมา และ... กับราตรีนี้ เมื่อวันเวลาผันผ่านมานานเดือน.. คืนที่ฟ้าไร้สิ้นแสงดาว แม้นดุเหว่าก็เลิกครางครวญ ใบไม้หยุดโบกระบัด ลมหยุดพัดนิ่งสนิท ทุกสรรพชีวิตราวร่ำไห้ คืนที่เธอ... บอกกับผมว่า... เธอจะใช้รีสอรท์*ทะเลขวัญ* ปันพลีน้ำใจแด่มิ่งมิตรน้องพี่และผืนดินเกิด เพื่อให้ใจดวงงามดวงประเสริฐ ที่รอเวลาคิดคืนน้ำใจรัก จากดวงกมล ให้... แด่ทุกคนบนผืนดินถิ่นนี้ ที่นับวันจะเร่าร้อน ด้วยไฟกิเลส ตัณหา ถูกผลาญพร่าด้วยอารยธรรม ที่บ่าโหมมากับการท่องเที่ยว โดยมิยอมรับรู้ถึง มหันตภัยร้าย ที่กำลังย่างกรายหมายฝากมรณะแด่ทุกผองชน ให้ได้เตรียมกมลรับ ได้รู้จักทำความดี ได้พลีน้ำใจแด่ทุกใครทุกคนที่ชิดใกล้... ก่อนวันที่จะสายเกิน ........ ณ..ราตรี ใน รีสอร์ทแห่งนี้ ที่เธอกลับมาเทุ่มถอดใจเนรมิตร ตัดสินใจหันหลังลาเมืองกรุง ที่เธอชอบกระซิบบอกว่า เธอมีชีวีราวปลาผิดน้ำเสมอมา ที่ที่เธอมาบุกเบิก ที่ดินผืนงาม ที่ลาดเอียง ลดหลั่น อิงแอบภูเขา มีหินงาม ที่ธรรมชาติให้มา แยกกระจัดกระจายไป..... ราววิมานไพรวิมานวนา ราวสวรรค์หล้า อัญมณีสีรุ้งพุ่งพราวพราย ณ กลางเกาะ ที่เธอ..คนดี ใช้เวลาแค่ไม่นาน มาเนรมิตรผืนดินนี้ *ให้กลายกลับเป็นดั่งสวนสวรรค์ สรวงสวรรค์ * คืนที่เธอ จัดรีสอร์ทงามของเธอให้แสนคึกคัก และ.. ประดับประดา ด้วยแสงไฟพราวพร่างจากโคมรายรอบ ที่สาดส่องไปตามทิวมะพร้าวงาม ดอกไม้จากสวน...ถูกนำมา....ประดับประดา รัดร้อยเป็นช่องาม..ตามมุมต่างๆ..... ซุ้มไม้หอมเลื้อยสวย เป็นพวงพุ่ม มะลุลี มะลิพวง รสสุคนธ์ สายน้ำผึ้ง หวานบานฉ่ำราวกับนัดกันไว้ แล้วให้คนเฒ่า คนแก่ ใช้ภูมิปัญญา และฝีมือชาวบ้าน ที่สามารถใช้ใบมะพร้าวมาสานถักทอเป็นลวดลาย ละอองามล้ำ เป็นรูปดอกไม้ รูปสัตว์ต่างๆ และลูกตะกร้อแสนงาม แขวนเรียงราย ตามต้นไม้รายรอบ คืนที่เธอกระซิบบอกว่า ให้ผมเชิญแขกคนสำคัญ ที่มีพลังในการหยุดยั้งทำลายสิ่งแวดล้อม แห่งบ้านเกาะถิ่นเกิด ของเธอ...มาสักสองสามร้อยคน เพราะเธอมีอะไรจะบอกกล่าว และจักร่ายบทกวีแสนตราตรึงซึ้งใจให้ฟัง พร้อมกับที่.. จะฝากความหวังกลับไป... *ให้ร่วมใจรวมใจสามัคคีกันสร้างพลังทำสิ่งดีงาม* เพื่อรู้รักษ์บ้านเกิดเมืองนอน และ จักมีผลกระทบสะท้อน ไปถึงระดับชาติระดับโลก ที่จะลบโศกแล้งไร้.. เธอ ... บอกว่าเธอจะขอใช้เวลาแค่ไม่นานนาทีเอง ที่จะพลีใจด้วยหยาดเลือดแห่งรักในผืนดินนี้ที่ก่อกายให้ชีวิต ได้ตามลิขิตฝันจนพลันเป็นจริง... ผม.. อดเป็นห่วงเธอไม่ได้เพราะมีสัญญาณ เตือนภัยถึงเธอ *บัตรสนเท่ห์*คำขู่ที่ได้รับหลายใบตั้งแต่เธอกลับมา และ มาเพียรทำหน้าที่อนุรักษ์ป่าไพร รวมทั้งการบุกรุกโค่นไม้ทำลายป่าต้นน้ำลำธาร ที่นับวันจะแห้งเหือดไป เพราะ... ความไม่เข้าใจถึงภัยแล้งไร้ตามมา... หากเกาะนี้สิ้นไร้แหล่งน้ำจืด เธอ..ที่ชอบหันมาเว้าวอน ให้ผมเพียรใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อรณรงค์ ช่วยกันพิทักษ์รักษาทั้งป่า ทั้งการแผ้วถางทำลายต้นมะพร้าว นับหมื่นนับพันต้นเพียงเพื่อมาสร้าง กระท่อมที่ไร้ชีวิต และจักพาให้คนในเกาะ และนักท่องเที่ยวราวสถิตทะเลทรายในไม่ช้า รวมทั้งไปขัดขาขัดผลประโยชน์ใครบางคนที่เราไม่รู้ตัว ที่กำลังเมามัวบุกรุกเขตวนอุทยานสร้างรีสอร์ทบนยอดภู ผม... ตามใจเธอ .. ทั้งๆที่ผมประหวั่นว่าภัยร้ายกำลังประชิดคืบใกล้มายังเราสอง อย่างมองไม่เห็นตัว เมื่อผมได้รับบัตรสนเท่ห์ แสนน่ากลัว เช่นกันให้ระวังตาย ระวังเงาหัวไว้ให้ดี.. หากยังทำตัวเป็นคนดีแสนมีอุดมการณ์อุดมคติสูงส่ง มิรู้ปลงรู้หยุดขวางทาง..ทำลาย และ...แล้ว... ในราตรีนี้ ที่ฟ้าไร้สิ้นแสงดาว... แม้นดุเหว่าก็เลิกครางครวญ ใบไม้หยุดโบกระบัด ลมหยุดพัดนิ่งสนิท ทุกสรรพชีวิตราวร่ำไห้ คืนที่เธอร่ายรำพัน.. ถึงบทความพร้อมแผนภูมิทั่วโลก ที่กางพร้อมชี้ให้เห็นจริงถึงสัจจธรรม ที่กำลังกรายกล้ำทำร้ายโลกทำลายเราทุกคน หากยังมิไหวกมลรู้บทเรียน... ที่เธอนำมากล่าว ให้รับทราบกันถ้วนหน้า พร้อมเน้นย้ำถึงความหวังอันแสนสว่างจ้า ที่จักร่วมด้วยช่วยกันเททุ่มพลังใจแห่งรักสามัคคี เยียวยาเกาะนี้...เกาะที่แสนงามราวสรวงสวรรค์ ราวภาพฝันของปอลโกแกง มาร่วมแรงรวมใจ มาพิทักษ์ไพร และเยาวชน มิให้หลงผิดติดยา หรือถูกมอมเมา ด้วยพลังแห่งกิเลสตัณหาแห่งความอยากได้ใคร่มี จนพาตัวไปหลงทำสิ่งมิดีมิชอบประกอบกรรมหลายทาง เพียงเพื่อสนองตามร่างไร้คิดจิตวิญญาณไร้สำนึก ไปตามกระแสโลกโศกมิรู้สิ้นรู้จบทบทวีทุนนิยม และ.... ในท่ามกลางแสงตะเกียง เทียนทอที่เธอจุดพร่างไสว เพื่อเพียรประหยัดน้ำมันจากพลังงานไฟฟ้า ตามนโยบายรัฐบาล เธอแย้มยิ้ม..หวานเศร้า หากให้งามเร้ารัดรึงตรึงใจผมเป็นยิ่งนัก ที่เห็นเธองามเกินงาม กว่าหญิงใด ตรงที่จิตดวงใสดวงทิพย์นี้ ที่คิดรู้ทันเท่าเฝ้านึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม ราวมีอัญมณีใจอันฉายฉานโชติช่วง ที่ผมอยากไขว่คว้ามาประดับใจ ที่ผมสงสัย ว่าสวรรคสรวงทิพยวิมานสถานใดประทานพรให้เธอมา เธอยิ้มหวาน.... กล่าวช้าช้าชัดชัดอย่างมีลูกล่อลูกชน ปนให้ฮาเฮไม่นึกเบื่อ.. ใช้เวลานานประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมง ที่แสนซึ้งตรึงตราใจไปกับบรรยากาศแสนงาม กับเสียงเร้าใจ เศร้าสะเทือน หากเต็มไปด้วยพลังแห่งความเชื่อมั่นศรัทธา *ในพลังแห่งธรรม ธรรมชาติ ดิน น้ำลมไฟ ไปกับ*ความฝันอันสูงสุด ที่ยินดีจะมอบโลกที่ดีกว่าให้แก่ผืนดินเกิด...มาตุภูมิแม่ .................!!!!!!!!!! ...................!!!!!! ก่อนที่เราทุกคน จะต่างตกตะลึง... ด้วยเสียงดังสนั่น ราวฟ้าผ่าเปรี้ยง... ด้วยเสียงกัมปนาทบาดใจ ใจแทบขาด ลงมาตรงหน้า เมื่อ.....!!!!!! กระสุนนัดหนึ่ง...วิ่งฝ่าความมืดทะลุทะลวงเข้ามา พร้อมเสียงกรีดร้องอย่างตกใจจากทั่วทิศทาง..! นัดแรก..! แทรกเข้าไปเจาะตะเกียงให้ดับวูบไป.... นัดที่สอง..!!! คงเจาะเข้าไปกลางหัวใจแสนงามของเธอ อย่างแม่นยำ.....!!!! ที่ณ..บัดนี้....! .....ร่างนั้น..! ยังอ่อนอุ่นอยู่ในอ้อมโอบผม ที่กำลังร่ำไห้อย่างมิอายฟ้าดิน...... พร้อมกับสายฝนพรมพรำหนักขึ้นๆ.......ราวรับรู้สะเทือน น้ำตาผมกับน้ำตาฟ้า... ไหลหลั่งรินมิสิ้นสาย ผสานกันไปกับหยาดเลือดรักและร่างเธอที่เริ่มหนาวเหน็บ! เธอ..... กำลังหลับตาพริ้ม... อย่างนิ่งงามอย่างเงียบงันราวฝันดี แสนดี..... ราวไม่รับรู้สิ่งใด..... ราวกับจะพลีวางทุกสิ่ง ให้จักตราจำตอกสลักไว้ณ..กลางใจ..ณ เบื้องหลัง ให้หัวใจผม ปานแหลกสลายยับ.... อยากดับดวงใจไปกับร่างรักอันแสนน่าเวทนาแห่งเธอ....! ................ ................. เสียง... เธอราวกระซิบแสนเศร้าหวานแว่วแผ่วมา.... กับฟ้าสีกำมะหยี่ ที่กำลังคลี่คลุมโอบกอด...รัดร้อย กับดาวสร้อยเดือนเสี้ยว ที่สลัวมัวหม่นในม่านหมอกแห่งสายฝนเย็นเยียบ... กับเสียงเพรียกแห่งพงไพร*วิมานวนา* ที่กำลังหยุดระบัดใบไหวกิ่ง.... ราวนิ่งงันขวัญหาย....รับรู้โศกสะเทือน....!!!
7 กรกฎาคม 2548 14:15 น. - comment id 489167
โลกกำลังแปรเปลี่ยน ในมือไพล มีแผ่นพับหน้ากว้างใหญ่พร้อมแผนที่โลก และบทความที่แสนน่าเศร้าสลดใจ ที่ชี้ให้เห็นภยันตรายของโลกนี้ที่กำลังแปรไป ที่แถมมากับจากหนังสือ NATIONNAL GEOGRAPHICC ตั้งแต่ปี45 ที่ยังไม่มีเหตุการณ์ โศกนาฎกรรมสะเทือนขวัญสะเทือนใจ*ซึนามิ ไพลจะสรุปสิ่งที่ไพลหวังว่า จะมีใครสักคนได้อ่านผ่านตา และนำมาขบคิดพินิจชอบ และ รอบคอบกับการใช้ชีวิต วางแผนชีวิต ว่าจักจะดำเนินไปในเส้นทางสายใด ก่อนที่ภัยโลกจะมาถึง ซึ่งอาจมิใช่นานวันให้เราฝันกระเด็นจิตวิญญาณ ปลิดปลิวอย่างไร้หนทางสู้ อย่างผู้ประมาทมิเตรียมพร้อมรับ... ............ *การกำเนิดของมนุษย์ในทวีปแอฟริกา เมื่อประมาณ 2ล้านปีก่อน ส่งผลกระทบค่อนข้างน้อยต่อดินแดนแห่งนี้ ซึ่งยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสรรพชีวิตในป่า มนุษย์ค่อยวิวัฒนาการ มาเรื่อยๆจนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ สมองมีขนาดใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันมนุษย์ ก็พัฒนาเครื่องไม่เครื่องมือเกษตรกรรมและอารยธรรม จนสามารถลุกขึ้นเเปลี่ยนแปลงดาวเคราะห์ดวงนี้ได้ ปัจจุบัน*โฮโมเซเปี้ยนส์*เป็นสิ่งมีชีวิต ที่แพร่ขยายไปอย่างกว้างขวาง ไกลที่สุดชนิดหนึ่งบนโลกใบนี้ คือมีจำนวนถึง 6,200ล้านคน และ.. ยังเพิ่มขึ้นอีกปีละ 80ล้านคน ผลกระทบของมนุษย์ต่อผืนแผ่นดินนั้น ใหญ่หลวงครอบคลุมทั่วโลก พอๆกันกับ ปรากฎการณ์ภูเขาไฟหรือกระบวนการแปรโครงสร้างของโลก ข้อมูลใหม่ๆ จากภาพถ่ายดาวเทียมรวมกับบันทึกทางประวัติศาสตร์ ทำให้เราทราบว่า มนุษย์ได้เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ถมหรือก่อสร้างบนพื้นผิวโลกส่วนที่เป็นดินแล้วราวร้อยละ 40 ซึ่งนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ทั้งในบรรยากาศ พื้นดิน และมหาสมุทร ไม่มีจุดใดบนพื้นผิวโลกที่รอดพ้นจากน้ำมือมนุษย์ ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก เห็นว่าจำนวนประชากร การบริโภคและเทคโนโลยี่ คือปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดผลกระทบของมนุษย์ต่อโลก แต่ขณะนี้ มีสัญญาณซึ่งให้ความหวังอย่างหนึ่ง นั่คืออัตราการเกิดในประเทศที่กำลังพัฒนาลดลงอย่างมาก (จากอัตราเฉลี่ยสตรี 1 คน ต่อบุตร 6 คน ในช่วงทศวรรษ 1960 เหลือประมาณ 3 คนในปัจจุบัน) สาเหตุมาจากผู้คนมีการศึกษามากขึ้น อัตราการเสียชีวิตของทารกต่ำลง และมีการคุมกำเนิดกันกว้างขวางขึ้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงปี 2050 ประชากรโลก จึงอาจเพิ่มขึ้นเป็น 9,000 พันล้านคนเท่านั้น มิใช่ 10,000ล้านคนตามที่คาดการณ์ไว้เมื่อปีก่อน 44 และ หลังจากนั้นไม่นานประชากรโลกยังอาจลดลงอีกด้วย แต่ข่าวร้ายก็คือ ประชากรในประเทศยากจน 48 ประเทศ อาจจเพิ่มขึ้น 3เท่าตัวในอีก 50ปีข้างหน้า ทุกวันนี้ ประชากรในประเทศพัฒนาครึ่งหนึ่ง ดำรงชีวิตด้วยเงินวันละไม่ถึง 100บาท แต่การบริโภคยังสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับความคาดหวังให้มีชีวิตที่ดีขึ้น สมองขนาดใหญ่ของมนุษย์พาเรามาถึงจุดนี้ ปัญหาคือ สมองเดียวกันนี้...จะพาเราไปพบทางออกหรือไม่ ........................... ปัญหาตึงเครียดที่เด่นชัด ..ประชากร ความก้าวหน้า แรงกดดัน ผลกระทบจากมนุษย์.... ข้อมูลบ่งชี้ว่า มนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของโลก จากป่าไม้และทุ่งหญ้าบริสุทธิ์ ไปเป็นพื้นที่เพาะปลูก ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ไร่นาขนาดใหญ่เมืองและเขตชานเมือง พลังงานของโลก... พลังงานที่โลกใช้อยู่ร้อยละ40 คือน้ำมัน แต่2ใน3 ของแหล่งน้ำมันอยู่ใน5ประเทศแถบอ่าวเปอร์เชียร์ แหล่งพลังงานทางเลือกมีมากมาย แต่ส่วนใหญ่ยังไม่นำมาใช้ประโยชน์ แหล่งที่อยู่ของธรรมชาติ... ที่ดินเกือบร้อยละ10ของโลก ได้รับการคุ้มครองในฐานะอุทยาน และพื้นที่อนุรักษ์ แต่ส่วนใหญ่ ยังคงถูกคุกคามจาการทำไม้ ล่าสัตว์หรือการทำเหมืองแร่ เขตชายฝั่งทะเล..... ประชากรโลกทุก 2 ใน 5คน พำนักอยุ่ห่างจากฝั่งทะเลไม่ถึง100กิโลเมตร ผลกระทบจากคนกลุ่นนี้ จึงมากมีมหาศาล ชายฝั่งทะเลกว่าครึ่ง ถูกคุกคามจากการพัฒนาในอนาคต ดินเสื่อมสภาพ..หากชั้นดินซึ่งหนาเพียง15-20 เซนติเมตรเสียแล้ว คนเราก็ต้องประสบความอดอยาก เพราะดินชั้นบนคือที่มาของอาหาร แต่ทุกๆปี พื้นที่เพาะปลูกอันกว้างใหญ่ต้องสูญเสียไป เนื่องจากการกัดกร่อน การเกิดดินเค็ม และการเสื่อมในลักษณะอื่น ยิ่งดินชั้นบนน้อยลงเพียงใด อาหารก็ยิ่งน้อยลงเพียงนั้น ดินที่เสื่อมสภาพ..... ทำให้ผลผลิตอาหารลดลงถึงร้อยละ 13 ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา *แฮรี่ เอสวอรัน* นักวิทยาศาสตร์ด้านดิน ประธานคณะทำงานนานาชาติ ว่าด้วยการเสื่อมของดินเรียกประสบการณ์นี้ว่า *รากเหง้าของปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ* ในประเทศกำลังพัฒนา มหาสมุทรในห้วงอันตราย.. มหาสมุทรซึ่งครอบคลุมพื้นที่ถึง 2 ใน 3 ของโลก เป็นระบบนิเวศที่เราเข้าใจน้อยที่สุด และ...... น่าจะตกอยู่ในอันตรายมากที่สุด ข้อมูลที่ได้มาชวนให้หดหู่ใจ เกือบร้อยละ 60 ของพืชปะการัง ซึ่งเป็นที่มาของความหลากหลายทางชีวภาพ และ ความอุดมสมบูรณ์แห่งท้องทะเล กำลังถูกคุกคามจากน้ำมือมนุษย์โดย 1 ใน 4 อยู่ในสภาพทรุดโทรมเกินเยียวยาราวร้อยละ70 ของแหล่งประมงพาณิชย์ที่สำคัญๆไม่มีปลาเหลือให้จับ มีการจับปลามากเกินไป หรือถูกใช้ประโยชน์มากเกินควร มลพิษในทะเลกำลังทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งจากกากอุตสาหกรรม ยาปราบศัตรูพืชและน้ำเสีย นอกจากนี้ดินและปุ๋ยที่ถูกน้ำพัดลงทะเลยังทำให้ *เกิดเขตมรณะ ซึ่งคือเขตที่น้ำขาดออกซิเจน เท่าที่ทราบมีอยู่ราว 50 แห่งทั่วโลก รวมทั้งเขตมรณะอันกว้างใหญ่ในอ่าวเมกซิโก ต้นไม้ไร้ป่า... ปอดของโลกคือป่าไม้ ซึ่งเก็บกักก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาล และปล่อยก๊าซออกซิเจนออกมา นอกจากนี้ยังช่วยรักษาดิน น้ำจืด รวมทั้งพรรณพืช และสัตว์บกอีกร้อยละ 90 แต่มนุษย์ยังคงตัดไม้ทำลายป่า ครึ่งหนึ่งของป่าไม้ที่เคยมีอยู่เมื่อ 8000 ก่อน ส่วนใหญ่ถูกทำลายไปแล้วในช่วง 400 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเหลือป่าไม้ในผืนป่าขนาดใหญ่ ที่ยังไม่ถูกรบกวนเพียง 1 ใน 5 ป่าไม้ทั่วโลกที่ถูกโค่นไปในแต่ละปี คิดเป็นพื้นที่ประมาณสามเท่าของประเทศไทย ภูมิภาคที่มีการตัดไม้มากที่สุดคืออเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ป่าไม้ เป็นแหล่งเก็บธาตุคาร์บอนปริมาณมหาศาล การสูญเสียป่าไม้เฉพาะในเขตร้อนเพียงแห่งเดียว จะทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ถูกปล่อยออกมามีปริมาณถึง1 ใน 5 ของก๊าซคาบอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ตลอด 10ปีที่ผ่านมา มีป่าดิบบนเกาะสุมาตราถูกโค่นจนเตียนโล่ง เพื่อนำไม้ไปใช้ประโยชน์ และ ปลูกปาล์มน้ำมัน ป่าดิบในอินโดนีเชียถูกโค่นปีละกว่า 8ล้านไร่ ไม้ซุงที่ผ่านการแปรรูปในอินโดนีเซียร้อยละ 70 เป็นไม้ผิดกฏหมาย อากาศที่เราหายใจ... สำหรับคนหลายล้านคนทั่วโลก แค่การหายใจเข้าไปก็เป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายเสียแล้ว แต่ละปีผู้คน ราว 3ล้านคน ต้องเสียชีวิตลงเนื่องจากสารก่อมลพิษ เช่นซัลเฟอร์ไดออกไซดื ไนโตรเจนออกไซด์ อนุภาคของสารและโอโซน ซึ่งเป็นผลจาการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์ เด็กๆตามเมืองใหญ่ในประเทศ กำลังพัฒนาได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมักจะสูดเอาสารก่อมลพิษเข้าไปเกินขีดความปลอดภัย ที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ 2 ถึง 8 เท่า ขยะร้อน สงครามเย็นทิ้งมรดกมรณะไว้ในอดีตสหภาพโซเวียต โรงงานพลูโทเนียมมักทิ้งกากกัมมันตรังสี ลงสู่แม่น้ำ ทะเลสาบ และมหาสมุทรอาร์กติกอยู่เป็นประจำ) ผลาญพลังงาน... ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด อารยธรรมยังคงดำเนินต่อไป โดยอาศัยเชื้อเพลิงจากซากดึกดำบรรพ์ ร้อยละ 85 ของการใช้พลังงานเพื่อการพาณิชย์ทั่วโลก และ ร้อยละ 80 ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ มาจากการเผาไหม้น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ความต้องการพลังงาน ได้เพิ่มขึ้นอีกร้อยะล 60 ภายในปี 2020 แต่การใช้พลังงานที่นำกลับมาหมุนเวียนใช้ได้ใหม่ ซึ่งสะอาดกว่าก็กำลังเพิ่มขึ้น ผลการศึกษาพบว่าแหล่งพลังงานทางเลือกต่างๆ คือกังหันลม เซลล์สุริยะ เชื้อเพลิงมวลชีวภาพ และ เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเกือบร้อยละ10ของทั้งหมด (ส่วนใหญ่คือพลังน้ำ) อาจเป็นแหล่งพลังงานถึงครึ่งหนึ่งที่ทั่วโลกต้องการใช้ภายในปี2050 เยอรมันมี เป็นผู้นำในการผลิตพลังงาน จากกังหันลมกังหันสมัยใหม่แบบที่สามารถผลิตไฟฟ้า ได้เพียงพอสำหรับประชาชนในยุโรป 5 ล้านครัวเรือน ...... ผู้บุกรุกต่างถิ่น... สัตว์และพืชหลายร้อยชนิด ที่ทั้งทนทรหด และดุร้ายแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ด้วยน้ำมือมนุษย์ เช่นพื้นที่ครึ่งหนึ่งของฮาวาย ปัจจุบันถูกพืชถูกพืชและสัตว์ต่างถิ่นครอบครอง ผู้บุกรุกเหล่านี้ ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเสียหายทั้งในภาคการเกษตร ป่าไม้และอื่นๆเป็นมูลค่าเกือบ 140,000ล้านดอลล่าร์ต่อปี การค้าทั่วโลกที่เพิ่มมากขึ้น มีส่วนกระตุ้นให้เกิดสถานการณ์ดังกล่าว ทุกๆวัน จะมีการขนส่งสัตว์น้ำประมาณ 3,000ชนิด ทางเรือสินค้า พืชและสัตว์ผู้บุกรุกหลายชนิด เช่นหอย ม้าลาย ที่แพร่พันธุ์ได้รวดเร็ว มีศักยภาพที่จะสร้างความเสียหายร้ายแรง ต่อระบบนิเวศที่เข้าไปอาศัยอยู่ ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า พืชและสัตว์ต่างถิ่น เป็นภัยคุกคามอันดับสองของพืชและสัตว์พื้นเมือง รองจาการทำลายถิ่นอาศัย เพราะ... จะกระตุ้นอัตราการสูญพันธุ์ให้สูงกว่าปกติ 100 ถึง 1,000เท่าเลยทีเดียว ปัจจุบันสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและปลาราว 1 ใน 4 กำลังถูกคุกคามเช่นเดียวกับสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 1 ใน 5 และนกอีก 1 ใน 10 1...มดอาเจนติน่า (Linepithema humile) นักสร้างอาณานิคมจอมก้าวร้าวที่มาแทนที่มดพื้นเมือง 2...พอสซั่ม หางพวง(Trichosurus vulpecula) มาซ์ซูเปียลจอมตะกละ ที่กินใบไม้ชนิดล้างผลาญ 3...คางคกต้นอ้อย(Bufo marinus) ทำให้สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกพื้นเมืองหมดไป 4...พังพอนดินเดีย(Herpestes auropunctatus) คุกคามประชากรนกพื้นเมือง 5...ผักตบชวา(Eichhornia crassiprs)ขวางการสัญจร 6...โรครากเน่า(Phytophthora cinnamomi) เป็นเชื้อราที่ทำให้พืชจำนวนมากตาย 7...เต่าแก้มแดง(Trachemys scripta) เต่าที่เลี้ยงไว้ดูเล่นนี้กินพืชสัตว์พื้นเมืองเป็นอาหาร 8...ฝรั่งสตรอเบอรี่(Psidium cattleianum) ไม้พุ่มที่บุกเข้ามากำจัดพืชพรรณท้องถิ่น 9...ปลากินยุง(Gambusia affinis) นำเข้ามาควบคุมยุง 10...หอยม้าลาย(Dreissena polymorpha) ปิดกั้นทางลำเลียงอาหารต้นอ้อ โลกร้อน.. นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ เห็นว่าโลกกำลังมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆโดยมี สาเหตุสำคัญมาจากมนุษย์ ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้า รถยนต์ และโรงงานต่างๆ ในช่วง 100ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ย ที่ผิวโลกสูงขึ้นอีกประมาณ 0.5 องศาเซลเซียส คาดว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้นอีกประมาณ1.4ถึง5.8องศาเซลเซียสภายในปี2100 ขณะที่ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ จะเพิ่มขึ้น2 เท่าราวช่วงกลางศตวรรษ ขณะที่อุณหภูมิสูงขึ้นแหล่งที่อยู่บนพื้นดิน ก็อาจสูญหายไปถึง1 ใน 3 รวมทั้งป่าโบเรียลครึ่งหนึ่ง ของที่มีอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ต้นเมเปิลน้ำตาลในนิวอิงแลนด์ก็อาจหมดไป และ.. อาจมีผู้ป่วยโรคมาเลเรียเพิ่มขึ้นปีละหลายล้านคน เนื่องจากอากาศร้อนเอื้อต่อการแพร่พันธุ์ของยุง ธารน้ำแข็งในที่สูงดูเหมือนจะเป็นเขตแรก ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ธารน้ำแข็งโกริคาลิสในเปรูหดตัวลงกว่า 800เมตร ในช่วงปี1983 -2001 และอาจหมดในปี2020 ******* คลื่นกระหน่ำ... คาดว่าชายฝั่งที่ถูกน้ำกัดเซาะ จะกลืนบ้านเรือนถึง 1 ใน 4 ที่ตั้งอยู่ในรัศมี 150 เมตรจากแนวชายฝั่งทะเลของสหรัฐภายในปี2060 โรคแบล็คแบนด์ ทำให้ส่วนบนของปะการังตายใกล้กับกูราเซา โรคซึ่งเกี่ยวข้องกับมลพิษกำลังทำให้พืดปะการังหมดไปเรื่อยๆ ดีดีทียังมีใช้ อินเดียและจีน เป็นเพียง2 ประเทศที่ยังผลิตดีดีที ซึ่งเป็นทางเลือกในการควบคุมโรคมาเลเรีย ที่ราคาถูกสำหรับประชาชนยากจนจำนวนมาก แม้จะเป็นภัยคุกคามสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้151 ประเทศได้ตกลง ที่จะควบคุมการใช้ดีดีที และจำกัดหรือห้มใช้สารเคมีอันตรายอื่นๆอีก 11ชนิดอย่าเข้มงวด คิลิมานจาโร ไร้หิมะ ยอดเขาสูง 5, 895 เมตร ในแทนซาเนียอาจจะไม่มีหิมะปกคลุมในปี2020 หากภาวะโลกร้อนยังดำเนินต่อไปในอัตราที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ....... เขตเลี้ยงสัตว์ล้นที่.. ในออสเตรเลีย กาเรลี้ยงสัตว์ล้นที่ ไม่ว่าจะเป็นวัวควายหรือแกะ ทำให้สูญเสียพืชพรรณต่างๆเกิดการกัดกร่อนของดิน และความหลากหลายทางชีวภาพลดลง ........ ฟาร์มเลี้ยงปลา.. ปลาที่มนุษย์รับประทานทุกวันนี้ 1 ใน 3 มาจากการเพาะเลี้ยง โดยมีจีนเป็นผู้ผลิตถึงร้อยละ90ของทั้งหมด แต่การขยายตัวอย่างรวดเร็วของการเพาะเลี้ยงสัตว์ น้ำก็ส่งผลเสีย เช่น กระชังเลี้ยงปลาแซลมอน ทำให้น้ำและบ่อปลาพื้นเมืองเกิดมลพิษ ในขณะที่ ป่าชายเลนและพื้นที่ชุ่มน้ำหลายล้านไร่ถูกทำลายไปเพื่อใช้ทำนากุ้ง วิกฤตปะการัง... พืดปะการังอันอุดมสมบูรณ์และหลากหลายของฟิลิปปินส์ กำลังถูกคุกคามจากการพัฒนา และการใช้ไซยาไนด์เบื่อปลา หรือใช้ระเบิดไดนาไมต์จับปลาเช่นเดียวกับที่อื่นๆทั่วโลก และ... ทุกสิ่งที่นำมาเล่าคือสิ่งที่กำลังจะ สรุปถึงมรณะภัยที่กำลังจะพรายผันผ่านมา และ บทเรียนจากซึนามิ คือพลังพิโรธอันยิ่งใหญ่จากธรรมชาติ และต่อไป จะให้คนมาเล่าถึงความย่อยยับแห่งเกาะเรา ที่กำลังคืบคลานรับมรณะ เฉกเช่นกัน หากยังไม่ช่วยกันคนละไม้ละมือ อย่าเพียงยึดถือแค่เงินงาม จนตามใจนายทุนผู้บุกรุก จนป่าไพรถูกทำลาย และที่ร้ายสุดคือเยาวชนของเรา ที่ถูกรานรุกมอมเมาด้วยยาเสพติด และผู้คนจากทั่วโลก ที่มาฝากขยะโรคภัยพร้อมค่านิยมผิดๆ ทำลายประเพณีวัฒนธรรม ให้เราอาจจะร่ำไห้อย่างน่าเศร้าสะเทือนใจ หากทุกดวงใจนั้น*คือผู้ที่เรารัก* หรือคนในครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง ที่เราจักคิดว่า *ไยปล่อยไว้ให้ทุกสิ่งและชีวิตนิดหนึ่งน้อยนี้ไร้ค่าแสนสายเกิน...*
7 กรกฎาคม 2548 15:00 น. - comment id 489194
เศร้าใจไปกับการทำลายของคนบนโลกที่ไม่เคยมองเห็นคุณค่าของธรรมชาติที่สร้างโลกใบนี้มาให้ได้อยู่อาศัย.......เศร้าใจจังค่ะพี่พุด
7 กรกฎาคม 2548 15:43 น. - comment id 489201
เสียดายธรรมชาติที่ต้องสูญเสียไป ซึ่งมีคนเพียงไม่กี่คนได้รับประโยชน์จากจุดนั้น ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ ต้นน้ำ ลำธาร ต้องมาสูญเสีย น่าเศร้าใจยิ่งนักนะค่ะพี่
7 กรกฎาคม 2548 16:48 น. - comment id 489249
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song401.html สนธยาฟ้าแดง สุรีย์ร้อนแรงโรยอ่อนรอนแสงหม่นมัว สกุณาเรียกหารังตัว ชะนีเรียกผัว รัวเร้าร่ำกำสรวล โอ้ชีวิตชีวิตจิตใจ มันหนาวเย็นเป็นไข้ พิไลพิลาศครวญ สิ้นตะวันสรวลสันต์จาบัลย์รัญจวน เห็นลางพบพรางร่างนวล ให้โหยหวนชวนเศร้า สิ้นแสง สิ้นสีโศลกแดงแฝงแทงใจเรา สายัณห์เงื้อมเงา ลบล้างสล้างเสลา จางห้วงหาวพราวใจ ฟ้าแดง ฟ้าแดงผันแปรเปลี่ยนแปลงแผลงไป ตราบอาสัญฉันยังฝันใฝ่ จูบแดนฟ้าอาลัย ฝังรอยรักใคร่ฝากเธอ สิ้นแสง สิ้นสีโศลกแดงแฝงแทงใจเรา สายัณห์เงื้อมเงา ลบล้างสล้างเสลา จางห้วงหาวพราวใจ ฟ้าแดง ฟ้าแดงผันแปรเปลี่ยนแปลงแผลงไป ตราบอาสัญฉันยังฝันใฝ่ จูบแดนฟ้าอาลัย ฝังรอยรักใคร่ฝากเธอ...
7 กรกฎาคม 2548 16:49 น. - comment id 489250
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song485.html
7 กรกฎาคม 2548 16:56 น. - comment id 489253
น้ำตาของเขา..น้ำตาฟ้า... รวมกับเลือดที่หลั่งริน รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวนองหล้า... เศร้าจังค่ะ... คิดถึงครั้งหนึ่งที่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน .. แต่เขาคนนั้นตายในอ้อมแขนนี้ ณ ราตรีที่มืดสงัด แต่มิมีฝน... สะเทือนอารมณ์มากๆ มากเหลือเกิน งานคุณพี่พุดยังละเมียดละไมในความรู้สึก ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหนๆ นะคะ สวัสดีค่ะ
7 กรกฎาคม 2548 16:57 น. - comment id 489255
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song485.html อย่าโศกไปเลย อย่าเศร้าไปเลยเมื่อเคยรักกัน ความรักต้องแปรเปลี่ยนผัน เหมือนความฝันที่แปรเปลี่ยนไป ร่วมคู่ครองกัน ไม่เนิ่นนานวันต้องพลันช้ำใจ ถึงรักมากแท้แค่ไหน อย่าฝันใฝ่ยั่งยืนจีรัง เกิดจากกรรมเวร สุดแต่กฏเกณฑ์ลิขิตชะตา เป็นคู่สู่สมสร้างมา สูงสุดฟ้าต่ำจนหญ้าบัง เมื่อรักมั่นจริง ผ่านสิ่งลวงใจหากใครคิดชัง รักแท้จะจูงมุ่งหวัง ถึงจนก็ยังหวังความรื่นรมย์ เด็ดดอกรัก ร่วมต้นคนละกิ่ง ไม่รักจริงจึงจืดจางเมินหมางคู่ชม แรกรักกันมิเคยไหวหวั่นพลั่นคำติชม เบื่อรักเหลือข่ม อ้างดินฟ้าห่างไกล ตัดขาดไมตรี สุดสิ้นกันทีเถิดความระทม เมื่อคิดมีคู่สู่สม ขอเด็ดดมดอกรักร่วมใจ จับกิ่งเดียวกัน เก็บดอกเดียวกันมั่นในฤทัย ถึงทุกข์สุขแท้แค่ไหน ขอฝากใจแก่คนรักจริง เด็ดดอกรัก ร่วมต้นคนละกิ่ง ไม่รักจริงจึงจืดจางเมินหมางคู่ชม แรกรักกันมิเคยไหวหวั่นพลั่นคำติชม เบื่อรักเหลือข่ม อ้างดินฟ้าห่างไกล ตัดขาดไมตรี สุดสิ้นกันทีเถิดความระทม เมื่อคิดมีคู่สู่สม ขอเด็ดดมดอกรักร่วมใจ จับกิ่งเดียวกัน เก็บดอกเดียวกันมั่นในฤทัย ถึงทุกข์สุขแท้แค่ไหน ขอฝากใจแก่คนรักจริง...
7 กรกฎาคม 2548 20:28 น. - comment id 489329
แวะอ่านครับ.... สิ่งที่พร่ำบอกมา คือกระบอกเสียงแห่งกาลเวลา คนจะรู้ค่าความหมายก็ปลายมือแล้ว ยิ่งสังคมไทย แต่ไหนแต่ไร ไม่เคยจดจำ ความเจ็บปวดแท้จริงหรอก.... สงสารตัวละครที่สมมุติขึ้น สงสารคนอยู่ข้างหลังโดยเฉพาะคนเป็นความหวังของบ้านเมือง...ยุวชนและเยาวชนลูกหลานของเราแท้ๆเทียว...ทุกวันนี้พบเจอแต่พวกพ่นพิษสำรากสิ่งโสมมไปวัน ๆในสภาแก้ปัญหาที่ไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้จริงจังสักอย่าง แท้จริงแล้วหาประโยชน์อันใดมิได้สักอย่าง..... อนิจจา ประเทศไทย ....
7 กรกฎาคม 2548 22:41 น. - comment id 489381
ทุกดวงในในรามรักเรือนไทยเรือนทอง พุดไพร เพิ่งดูรายการ *บันทึกโลก*จบลงค่ะ ที่กล่าวถึง *7สิ่งมหัศจรรย์แห่งอียิปต์* ที่เป็นสถาปัตยกรรม อลังการที่แสนยิ่งใหญ่มากค่ะ จนไม่น่าเชื่อว่า มนุษย์เรานี้ จักเป็นได้ *ทั้งผู้สร้างและผู้ทำลาย* ในเวลาเดียวกันนะคะ ตามมาด้วย ฟังคุณสรยุทธิ์และหลายสถานีรายงานข่าวระเบิดที่ลอนดอน ที่หัวใจสะออนของพุดพัดชาแทบแย่ค่ะ เพราะคนที่พุดรักมาก ต้องไปๆมาๆลอนดอนเป็นว่าเล่น และ วันนี้เพิ่งบินกลับมาค่ะ อีกสี่วันต้องบินไปอีกค่ะ ราวนกไพร ในขณะที่โลกนี้น่ากลัวมาก น้องแก้วนิดา..... โลกนี้นับวันมีแต่จะ เต็มไปด้วยความวายวุ่นวุ่นวายค่ะ และ ทรัพยากรธรรมชาติที่นับวันจะหมดไป และ โลกกำลังแปรไปในทิศทาง ที่แสนน่าห่วงใยมาก หากเราแค่ธุลีหล้า ได้แต่ทำความดีที่สุดเพื่อผืนดินค่ะ น้องผู้หญิงไร้เงา.... แค่สังคมเล็กๆที่เรามองเห็น และภาพรวมของประเทสและโลกเล่า ผู้นำโลกถึงต้องไปประชุมกันไงคะ เพื่อทำอย่างไร ที่จะรักษาสิ่งแวดล้อมโลก และคงหลายปัญหา ที่กำลังรุมเร้าเข้ามาทุกทิศทาง ไม่ว่าสงครามหรือเศรษฐกิจ พี่พุดขอบคุณที่น้องมาอ่านนะคะ ถึง...คุณคนดี ที่มาฝากเพลงไว้ในงานพุดสองเพลงแล้ว ให้พุดซึ้งใจจนน้ำตาร่วงรินเลยค่ะ โดยเฉพาะเพลง http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song48.html รู้รู้อยู่ มิควรคู่ กับจอมใจ วาสนาเราแสนไกล หนักหนา เพลงนี้พุดเดาไม่ผิดว่าใครฝากไว้ และหวังเดาไม่ผิดค่ะ และ สำหรับอีกเพลง วันนี้ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song485.html อย่าโศกไปเลย อย่าเศร้าไปเลยเมื่อเคยรักกัน ความรักต้องแปรเปลี่ยนผัน เหมือนความฝันที่แปรเปลี่ยนไป คุณกอกก... พุดชื่นใจค่ะ มากกกกค่ะ สำหรับงานที่เหนื่อยนะคะ ที่จักรจนาออกมาได้ แค่ให้ทุกดวงใจที่พี่พุดรักได้อ่าน และได้นำสาระไปสักเพียงแค่นิดน้อยค่ะ ไปใช้ในชีวิตค่ะ น้องplaing_piu .. เศร้าค่ะ ที่คุณครูไทยในสามจังหวัดภาคใต้ ต้องพกปืนแล้วค่ะ แม่พิมพ์พ่อพิมพืของชาติต้องพกปืนไปสอนนักเรียน นี่คือประเทศไทยค่ะคนดี จะทำอย่างไรดีเล่า เฝ้าถามตัวเองและผู้นำรัฐบาล ผู้บริหารประเทศค่ะ สักพักจะนำบทเพลง แม่พิมพ์มาลงค่ะ ไพเราะและสะท้อนสะเทือนใจมากค่ะ รักนะคะ
8 กรกฎาคม 2548 08:10 น. - comment id 489409
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song490.html แม่พิมพ์ของชาติ แสงเรืองๆที่ส่องประเทือง ไปทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่ โอ้ครูไทยในแดนแหลมทอง เหนื่อยยากอย่างไร ไม่เคยบ่นไปให้ใครเขามอง ครูนั้นยังลำพอง ในเกียรติของตนเสมอมา ที่ทำงานช่างสุดกันดาร ในป่าพงไพร ถึงจะไกลก็เหมือนใกล้ เร่งรุดไปให้ทันเวลา กลับบ้านไม่ทันบางวันต้องไป อาศัยหลวงตา ครอบครัวคอยท่าไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน ถึงโรงเรียนก็เจียนจะสาย จวนได้เวลา เห็นศิษย์รออยู่พร้อมหน้า ต้องรีบมาทำการสอน ไม่มีเวลาที่จะได้มาหยุดพอพักผ่อน โรงเรียนในดงป่าดอน ให้โหยอ่อนสะท้อนอุรา ชื่อของครูฟังดูก็รู้ชวนชื่นใจ งานที่ทำก็ยิ่งใหญ่ สร้างชาติไทยให้วัฒนา ฐานะของครูใครๆก็รู้ ว่าด้อยหนักหนา ยังสู้ทนอุตส่าห์ สั่งสอนศิษย์มาเป็นหลายปี นี่แหละครูที่ให้ความรู้ อยู่รอบเมืองไทย หวังสิ่งเดียวคือขอให้ เด็กของไทยในผืนธานี ได้มีความรู้เพื่อช่วยเชิดชู ไทยให้ผ่องศรี ครูก็ภูมิใจที่ สมความเหนื่อยยาก ตรากตรำมา... พี่พุดว่าจะรจนาเกี่ยวกับสถานการณ์ แม่พิมพ์พ่อพิมพ์ของชาติค่ะ ที่แม้นกระทั่งท่านผู้อำนวยการ ที่ท่านเป็นผู้หญิงก็ยัง ถูกฆ่าตาย ในขณะกลับบ้านไปป้อนข้าวให้คุณแม่ที่เป็นอัมพาต ในตอนเที่ยงค่ะ ที่พุดร้าวในดวงใจเศร้าสะเทือนใจอย่างเหลือแสนแล้วค่ะประเทศไทย..
8 กรกฎาคม 2548 10:53 น. - comment id 489443
รอพรานทะเล ก็น่าจะมีเพลงพรานทะเลอีกสักเพลง อิอิ
8 กรกฎาคม 2548 14:04 น. - comment id 489545
ไม่ค่อยได้ตอบครับ แต่ติดตามอ่านไม่ขาดหายไปไหน สถานีนี้สถานีโปรด งานงาม งาม งาม
8 กรกฎาคม 2548 15:14 น. - comment id 489562
เพราะดี
8 กรกฎาคม 2548 19:37 น. - comment id 489658
กระท่อมไพรที่สวยงาม ..ฟ้าสีคราม และพรานทะเล กับเสียงกระซิบที่สวนเสียงปืน..ช่างแตกต่างกันมากเหลือเกิน ความสมดุลคงมียากในสังคมที่ไม่สมบูรณ์ มาอ่านงานที่น้องพุดตั้งใจเขียนค่ะ ..
8 กรกฎาคม 2548 19:52 น. - comment id 489663
สวัสดีครับ.. บังเอิญอ่านตั้งแต่หน้าแรกแล้วหน่ะครับ... สายตาต้องไล่ตามเร็วๆ ไม่ทันได้จับรายละเอียอดอะไรมากมายเลยครับ... และมากับคำทักทายสั้นๆ แล้วกันนะครับ - - - - - - - - - - ธรณีกรรแสงสำแดงสำเนียงเสียงนางหงส์ กล่อมเน่งอนงค์นวลไพรนวลพฤกษ์พฤกษาสยาม สถิตสรวงสวรรค์สู่เทวันฟ้าแห่งพิรุณาราม พรมมาตุคามเขตแคว้นดินแดนรัตนไพรี - - - - - - - - - - รักษ์รัก..ลักจ๊วบ
9 กรกฎาคม 2548 02:10 น. - comment id 489736
ชอบอ่านกลอนที่พี่พุดเขียนจังค่ะ ละมุนละไม...ทุกครั้งที่ได้อ่าน คิดถึงพี่พุดนะคะ ......................................................... ลี่...ผู้มาเยือน .
16 มกราคม 2550 10:25 น. - comment id 646542
เธอคนนั้น คือใคร แล้วสรุปว่า ถูกยิง เสียชีวิตแล้วใช่ไหมครับ
6 มีนาคม 2550 11:46 น. - comment id 666255
เย้ๆๆๆ คนที่2000 อิอิอิ สุดยอดจริงๆ