http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6205.html (อัญเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์..เมื่อโสมส่องแสง..) ................. ในท่ามกลิ่นดอกไม้ไทยในราตรี.. ที่... จันทร์ดวงนวลลอยดวงเพียงครึ่งเดียวครึ่งเสี้ยวอย่างเดียวดาย พอกับ.. ใจดวงดายเดียวเดียวดายของหญิงหนึ่งในเตียงโบราณ ที่แสนสุขสงบงาม ในท่ามแสงเทียนทอ และนวลละออในโคมไฟลายผีเสื้อเชยเกสรดอกไม้ ให้พลังแสนอบอุ่นอ่อนหวานอ่อนโยน ดอกเล็บมือนางแกมลีลาวดีในโถแก้วยังสดฉ่ำ งามงด ให้กลิ่นระรินระร่ำรส... แสนสดชื่นหอมหอมหอมในหอมห้วงแห่งดวงใจพอกัน.. เธอ..คนนั้นคลี่ยิ้มหวาน หวาน.. รับรัศมีจันทร์ทรงกลดจากจันทร์เสี้ยวเกลียวทองดวงผ่องผุดพิลาส ที่ราวมหัศจรรย์รัก... ที่เธอเห็นว่าแสนแปลกดีนัก เพราะ ส่วนมากจะเห็นเพียง..*รัศมีในคืนเพ็ญ* *รัศมีเพ็ญ* น้ำตาเธอซึมซึ้ง ... ราวกับย้อนรำลึกนึกคะนึงถึง *ภาพในยามโพล้เพล้ของยามเย็นวันนี้ที่ผ่านมา* ที่เธอ อุตส่าห์เดินทางเข้าเมือง ที่มิเคยประเทืองประทับใจเอาเสียเลย ไปนั่งนิ่งเฉย..ไหวเพียงนัยน์ตาเศร้า ดูมากมายผู้คนที่วกวนเวียนว่าย ใช้ชีวิตกันอย่างปากกัดตืนถีบรีบร้อน ..ไปทั้งเมือง เธอ..ซื้อมาลัยจากหญิงชรา ที่แม้นดูไม่สดใสแสนงามแล้ว หากทว่า เธอ เพียงอยากอุดหนุนให้กลับบ้านได้เร็วขึ้น แล้ว...ละเมียด จูบกลีบกุหลาบแดง หวังแฝงฝากความดื่มด่ำเต็มตื้น...ด้วยพลังแห่งรัก..ในทุกกรายกลีบ ฝากหยาดน้ำทิพย์ใสในใจดวงงาม ให้หยาดหวานใส่ในกลางเกสร ฝากอ้อนคำรำพึงกระซิบ บอกถึงความรู้สึกแสนดีแสนงดงามนี้ ในท่ามความรักลึกซึ้ง..หวังดี..ล้นใจ และในท่ามท่วมท้นผู้คนทุกวันนี้ ที่ต่างตัวใครตัวมันเลิกฝันหวังหวาน เลิกมีนิยาม พึ่งพาพึงพิงเอนอิงไหล่โอบเอื้อ เผื่อ กมลโอบกอดยอดดวงหฤทัยอย่างไยดี มากผู้คนที่สับสนกับชีวิตเมือง จนสิ้นไร้เปล่าเปลืองเหือดหาย..ให้..น้ำใจรัก..แด่ผู้ใด ไม่มีนวลใจพอจะรำลึกนึกถึงความละมุนละไม ความห่วงใยห่วงหาหาอาทร ความอ่อนหวาน ดั่งดอกไม้ ที่จักบานประดับโลกย์ลบโศกสุขเร่าร้อน อย่างมิคลอนแคลนหวั่นไหว มิเคยหยุด ทำหน้าที่ ..มิมีวันท้อแท้แพ้พ่าย.. เธอ...จึงมีความสุข สงบใจ ในความวายวุ่นนั้น เมื่อในฝัน..ในใจ.. เธอ กำลังทำสิ่งแสนดี พลีแสดงให้คนที่เธอแสนรักได้ซึ้งประจักษ์ *ด้วยการกระทำ...* เป็นการย้ำสอนผ่าน บทเรียนจริง ว่า ในทุกสรรพสิ่งนี้นั้น จะพลันพ่าย ความดีความมีน้ำใจสวยใสงามเสมอไป... และ กับการฝากสอนบทเรียนเพียรเตือนตน ให้กมลรู้ค่า กาลเวลา แห่งลมหายใจ ที่จักไม่มีอะไรแน่นอน โลกมิอาจย้อนคืน ให้เรากลับมา ยื่นความรักใด... หากเราไม่ซึ้งค่า หากวันใดที่ลมหายใจได้ปรายปลิดปลิว ลิ่วลอยไม่หวนคืน..กลายร่างร่วงลงสู่พื้นพสุธา ให้ผืนดินกลบหน้า แม้นครางครวญไหววอนออดอ้อนขอ..ก็มิอาจทำได้ดั่งใจ ............. และ ในท่ามกลาง รัศมีเดือนเสี้ยวเกลียวทองพิลาส เธอ ได้ยินบทพิลาปจากบทเพลงแสนเศร้า เคล้ามากับสายลมหลังฝน ที่อบอวลระคนด้วยกลิ่นเกสรดอกไม้ ที่กำลังพรายพร่างลงห่มหอมในห้วงใจเธอ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song6205.html เมื่อโสมส่อง... บทเพลงพระราชนิพนธ์ อ้าโสม ทอแสงอำไพ ฉันสุขใจหมาย ชม เพลินหลง พร่ำเพ้อภิรมย์ โสมสาดส่องแสง มา ภาคพื้น เวหาพราวพราย เพราะก่องประกาย ดารา เพียงเพชรพลอยส่องฟ้า แวววับ จับใจ เมฆน้อย ลอยโลมลูบหาว เหมือนมืออันผ่องขาว ละไม ลูบโลม นภาสดใส นั้นพาให้หทัยฉัน สะเทือน โอ้ลมเอ๋ย เชยพัดเตือนมา มิให้อุราลืม เลือน เพียงเสียง เธอรำพันเตือน คำมั่นสัญญา อ้าโสม ชวนฉันคำนึง ครั้งหนึ่งกลางแสง จันทร์ เราสอง พลอดเพ้อรำพัน รักมั่นไม่ผัน แปร ตราบฟ้า ดินม้วยแลเรา สองดับสลาย ดวงแด วิญญาณไม่ห่างแห ลอยรัก ร่วมทาง ครั้นแล้ว เวรกรรมชาติไหน ระดมกันผลักไส เราห่าง เมื่อรัก ยังไม่หม่นหมาง รักยังสลักกลาง ดวงใจ แต่ยังหวัง ในผลบุญนำ ให้บาปกรรมแคล้ว ไป คืนพบ ความรักเดิมใน คืนหนึ่งวันเพ็ญ... ........... และกับ... ใจดวงดีดวงงาม ในท่ามแสงเทียนทอ ในละออของม่านเมฆหม่น ที่ลอยล่องว่องวนคอยพรายห่มเดือนดารา กับฟ้านวล ในคืนแรม... เธอ..ค่อยๆแย้มยิ้มรับคืนฝันราตรีอันแสนงาม แล้วคลี่หนังสือธรรมะมาอ่าน *อันคือสุขนิรันดร์* จากบทธรรมจาก จากยอดธรรมคาถา *ของหลวงพ่อดาบสสุมโน* ที่คุณดิลกโสภณ นำมาเรียบเรียง ที่นาทีนี้... เธอกำลังน้อมนำมาพลีบรรณาการ... แทนความสงบงามฝากถึง..ทุกดวงใจ ในร่มรักเรือนไทยเรือนทองมิ่งมิตรน้องพี่ คนดี แทนค่าคำรักปรารถนาดีล้นใจ และ สุดแต่ดวงใจใครจะไขว่คว้า มาประดับจิตวิญญาญ์... เพียรอ่านเพียรฝึกตรึกตรองเพื่อพ้นทุกข์ ให้รู้สึกสุขสงบงาม ในท่ามโลกย์นี้ ที่กำลังหมุนวนด้วยกิเลสร้ายมากมายมี จนโลกราวกำลังหมุนเร็วรี่ร้อนแทบขาดเกลียว..แล้ว .......... *แก้วในกองดิน* อยากได้แก้ว ก็ต้องขุดต้องคุ้ยเจาะเข้าไปในกองดินตามหมายบอก ขุดคุ้ยเอาดินทั้งสิ่งที่ปิดกั้นนั้นออกเสีย ตราบใด ที่ขุดเข้าไปยังไม่พบแก้ว ก็ต้องขุดเข้าไปเรื่อยๆจนกว่าจะพบนั้นแหละ ขอนำเรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ เรื่องมีว่าพราหมณ์ผู้ถึงเวท เรียกสุเมธะผู้เป็นสายโลหิตมา แล้วบอกว่า... *พ่อสุเมธะ ณ ที่ตำบลนี้มีจอมปลอวกคือกองดินอยู่กองหนึ่ง มีช่องทาง 6 ช่องทาง กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นลุกเปลว เจ้าจงเป็นผู้ฉลาดขุดลงไปตามช่องทางแห่งจอมปลวกนี้* สุเมธะผู้ฉลาดจึงเอาของมีคม ขุดลงไปตามร่องรอยช่องทางจอมปลวกนั้น ก็ได้พบสิ่งต่างๆ 6อย่าง สิ่งที่พบอันแรกคือ...ลิ่มสลัก จึงบอกท่านพราหมณ์ว่า *ท่านขอรับพบลิ่มสลัก* ท่านพราหมณ์จึงบอกว่า *เจ้าจงนำลิ่มสลักนั้นออกเสีย* แล้วสุเมธะขุดเข้าไปอีก ตามเส้นทาง ก็พบอึ่ง พบหม้อกรองน้ำด่าง พบเต่า พบเขียงหั่นเนื้อ แล้วพบเนื้อตามลำดับ แต่ละอย่างๆเมื่อพบ ท่านพราหมณ์ก็บอกให้นำออกเสียทั้งนั้น สุเมธะผู้ฉลาดก็ขุดเข้าไปอีกจนสุดท้ายทางก็พบ ..*นาค* สุเมธะก็บอกท่านพราหมณ์ว่า *นาคขอรับท่าน* ท่านพราหมณ์..ก็บอกสุเมธะว่า *เจ้าจงหยุดจงนอบน้อมบูชานาคเถิด..* สาระหรือสิ่งที่ประสงค์ในที่นี้ ก็ได้แก่นาค ...นาคคือ...*จิตเดิมหรือจิตของตัวเอง จะเรียกว่าพุทโธก็ใช่ อมตธรรม อมตะนิพพานก็ใช่ ..* จิตนี้ไม่มีรูปร่างที่จะจับต้องได้ เป็นธรรมชาติไม่ตายอาศัยกายเป็นคูหา ผู้ใดพบจิตของตน...ผู้นั้นก็จะหมดความหลง ไม่ต้องอาศัยกายอันน่ากลัวต่อไปอีก..จะมีอาสวะกิเลสสิ้นไปแล สิ่งต่างๆ...ที่สุเมธะผู้ฉลาดขุดพบ และท่านให้นำออกเสียทั้งหมดนั้น ก็เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นจำพวกหมายถึง สังขตะธรรม ส่วนนาคที่ขุดพบนั้นหมายถึงอสังขตะธรรม.. *เป็นแก้วประเสริฐ* คือแก้วมโนมัย เป็นจิตเดิมเป็นพุทโธ เป็นอมตธรรม ไม่เกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีการไปการมา การจุติ เป็นสิ่งประเสริฐเหนือโลก นาคที่พบในวาระสุดท้าย... ท่านจึงบอกให้นอบน้อมบูชา ผู้เข้าถึงนาค แล้วกิจทุกอย่างก็สิ้นสุดลง... ............................ และ... ด้วยงามดวงใจใครเล่ารู้นี้.. หวังคนดีทุกดวงใจได้เพียรขุดลงไปในกายตน ให้ได้พบ ...แก้วแววประเสริฐใสประภัสสร ได้พบ *แก้ววิเศษ* ที่พระเบื้องบนประทานพรให้มาทุกคน สุดแต่ว่าดวงกมลใครจักเพียรขุดค้นพบ แลจบด้วยสุดท้าย ได้พบอมตะนิพพานสุขนานเนาเป็น..นิรันดร์.. ............... ..................
18 พฤษภาคม 2548 11:09 น. - comment id 468725
สงบงามค่ะ
18 พฤษภาคม 2548 12:25 น. - comment id 468759
งามล้ำซ้อนธรรมเอาไว้ด้วย พุดเธอช่างเขียนเอาไว้สวย งานเธองามล้ำด้วยคุณธรรม งานงามๆ.....เมื่อได้อ่านก็ชื่นใจทุกครั้งค่ะพี่พุด.....
18 พฤษภาคม 2548 12:42 น. - comment id 468774
.......มาอ่านภาษางามๆของคุณพุดนะคะ...
18 พฤษภาคม 2548 19:05 น. - comment id 468847
อัญมณีแห่งแผ่นดิน ลำน้ำน่าน โคลงสี่สุภาพ ............ เจียระไนก่องแก้ว............เก็จสยาม ปลุกเปล่งระเบงนาม......................นทฟ้า สยามศิลป์บ่มลายคราม..................ขจรรุ่ง เรืองแฮ เกียรติศักดิ์รัตน์ท้า........................ทบท้นอวสานฯ ............นพรัตน์แก่นเก้า................เกลียวทอง ค่ามั่นควรครรลอง...........................รากเหง้า อธิจิตลุปอง......................................พบเพชร กุศลนา นำเหนี่ยวภพอะคร้าว......................รัดร้อยส่งสวรรค์ฯ ..............เจียระไนแว่นแคว้น..........นาคร ยกย่องรัตน์บวร................................เก็จเก้า ยอยศเพชรอาภรณ์.......................... พู่แต่ง ชนแฮ ประดับเกียรติโคตรเหง้า...................เร่งเร้าชัยฉลองฯ กาพย์ยานี ๑๑ .......... เจียระไนสยาม.....................สมบัติงามรัตน์บุรี ก่อเกียรติโคตรราศี..........................อัญมณีวิจิตรา .......... ประกายเพชรไพฑูรย์............ทิพย์จำรูญจรัสตา เกียรติศักดิ์จักอยู่ท้า..........................ตราบสิ้นโลกนิรันดร์กาล .......... เจียระไนไขธาตุต้น...............รัตนะลนบนเพลิงพาล ห่อนเหี้ยนเพียรล้างผลาญ.................แกร่งตำนานเพชรมาณพ .............เจียระไนเนาวรัตน์.............ค่าพิพัฒน์แดนสงบ สยามพิรามรพ...................................ชั่วสยบทิพย์อาภรณ์ .............ประดับเกียรติบุปผา.............ระดาษฟ้าประภัสสร เหง้าเพชรเก็จบวร............................เลื่อมรอนรอนฉลองชัย กลอนตลาด เจียระไนธาตุแผ่นดินศิลปะ อารยะโบราณผ่านสมัย สารัตถะประโยชน์โคตรเหง้าไทย ก่อกำเนิดวันวัยอารยชน สืบจากศูนย์เป็นหนึ่งถึงล้านแปด ตากธาตุแดดจันทร์ดาวหนาวธาตุฝน บ่มวิญญาณแผ่นดินวิญญูสกนธ์ ดอกผลอารยธรรมล้ำถิ่นทอง บรรพชนใจเพชรจิตเด็ดเดี่ยว เข้าขับเคี่ยวศึกรบศพสยอง สุโขทัยอโยธยาเลือดตานอง พลีปกป้องกรุงศรีมิแหลกลาญ สีแดงดาษลิ่มเลือดปู่เชือดหลั่ง ไหลลงคั่งปฐวีศรีวิศาล เชือดด้วยดาบศัตรูผู้รุกราน บ่มไฟกาลแปรทัศน์สู่รัตมณี มรกตเขียวใบไม้พรายกิ่งทอง คือครรลองพืชป่าพนาสี แก้วมรกตปฏิมาวิลาสินี คู่ปฐพีปัจเจกเอกอาราม เมื่ออรุณเรืองรองส่องเจิมหล้า ทอทิวนารวงทองครองสยาม สุกสีเหลืองธัญชาติดื่นดาษนาม ดั่งพลอยงามบุษราคัมร่ำมนต์รัก สยามภูมิภาคจากเหนือใต้ ถักทอสายสัมพันธ์อัศจรรย์นัก แดงโกเมทเดชไมตรีศรีจำหลัก เอกลักษณ์จตุรทิศสถิตเดียว อันดามันหมอกนทีคลี่เสน่ห์ ฝากจุมพิตทะเลสีครามเขียว ห่มอ้อมหาดทรายทองละอองเพรียว ครวญคลื่นเกรียวเกาะแก่งแหล่งมุกดา อาบผืนน้ำพลบนั้นวัยวันสิ้น รอนระรินสายัณห์ย่ำเคหา ก่ำเพทายสลายแสงสนธยา นวลนิศาสลัวจรโรยอ้อนรับ แว่วหนึ่งนั้นยินเสียงจำเรียงมนต์ เวิ้งมณฑลหีนยานวิหารหับ เทียนทอส่องพักตร์พุทธวิสุทธิ์วับ สะท้อนจับพัสตร์สงฆ์รงค์ไพฑูรย์ ใต้ร่มฉัตรนพแสงแห่งสยาม ราชนามวงศ์มณีตรีแสงสูรย์ ปลั่งชูเกียรติเผ่าไทยไท้จำรูญ ลบอาดูรนิลดำระกำกา เนาวรัตน์เลอค่ารัตนชาติ ใช่เกลื่อนกลาดเก็บได้กลางทรายผา แท้หัวใจแผ่นดินศิลป์เวลา เฉกสมบัติเลอฟ้าอารยธรรม เจียระไนเพชรอนันต์ศันสนีย์ ลบราคีฝูงชนปนสัตว์ส่ำ ร่ายกวีคล้องคลอพ้อลำนำ เพื่อตอกย้ำปึกชาติอย่าขลาดเกรง มิกลัวมารช่วงชิงไปทิ้งเหยียบ ทุรชนฤาอาจเทียบมาข่มเหง เว้นหน่อเชื้อฆ่าฟันหั่นชาติเอง จักเร้าเร่งหายนะมาครองเมือง -------------------------- นพรัตน์ คือ แก้วเก้าประการจากธรรมชาติที่มนุษยชาติยกย่องแย่งชิง เพชร ทับทิม มรกต บุษราคัม เพทาย ไพฑูรย์ มุกดา โกเมท นิล สยามนพรัตน์ ดินแดนผองเราจึงอุปมาเหมือนสิ่งล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง จากบรรพชน สงคราม ทรัพยากรธรรมชาติ สู่อารยธรรมร่วมสมัย.. มีความเด็ดดวงอ่อนหวานและอ่อนโยนอยู่ในจิตวิญญาณ ทั้งปวงนี้คืออัญมณีสยาม คือ นพรัตน์แห่งแดนแหลมทอง ที่ชนชาติตะวันตกตะลึงและยกย่องในความเป็นเอเชีย ในมุมมืดสยามวันนี้ เรามิกลัวทุรชนผองอื่นใดมาเหยียบย่ำทำลาย หากแต่กลัวเชื้อชาติทลายด้วยน้ำมือไทยด้วยกันเอง เขียนบทกวีแทนใจพี่น้องไทยทั้งหลายผู้โศกเศร้า อาดูร จากการกระทำของผู้อกตัญญูแผ่นดิน จุดไฟบรรลัยกัลป์ อารยชนคนดีต้องพลีวิญญาณปกป้อง
19 พฤษภาคม 2548 09:03 น. - comment id 469069
คุณ พุด งานเธอช่างประภัสสรเสียนี่กระไร ครับ ตามที่แถลงไว้ใครพบย่อมเปรียบเสมือนได้ดวงแก้วที่แวววาว สดใส กระจ่างหาที่ใดสว่างสดใสงามกว่านี้มิได้แล้ว แก้วที่จะได้นั้นแบ่งออกเป็น 5 ดวงแก้วด้วยกัน ความสุกใสกระจ่างเป็นไปตามขั้นตอนเสมอ คือ มรรค 4 ผล 4 (คือดวงแก้ว 4 ดวง) รวมอีก 1 ดวงคือพระนิพพานที่สุกใสกระจ่างกว่าหาสิ่งใดเปรียบเทียบมิได้ ดวงแรก คือโสดาบัน หากใครได้แล้วย่อมปิดอบายภูมิได้ ดวงต่อไปไม่พูดถึงนะครับ ขอกุศลนี้จงมีแด่คุณตราบนิพพานเทอญ. แก้วประเสริฐ.