http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=129 .......... หัวใจสาวนา.. กำลังโศกเศร้าดายเดียวเปลี่ยวเหงาไร้ร้างอย่างที่สุด ในวันนี้..นาทีนี้... ราวกับใบไม้ป่า... ที่ร่วงเกลื่อนกล่นรอรับสายลมร้อน ฟ้อนฟายพาปลิดปลิวลิ่วลอยเคว้งคว้าง...อย่างไร้จุดหมาย ทุกอย่าง..รายรอบตัว ดูแห้งแล้งหมองหม่น เทาทึม แสนปวดร้าวเศร้าหมองไปเสียหมดเสียสิ้น สาวนา... กำลังยืนถวิลน้ำตาซึมอยู่ริมคันนา แล..ไปยังบึงบัวเหว่ว้า..ที่น้ำเริ่มแห้งขอด บัวสาย...ที่เคยชูช่อสะพรั่งหลากสี มาบัดนี้...เหลือเพียงก้านกอหักงอ รอเวลาเหี่ยวเฉาคาบึง รับลมแล้ง... ดินที่แตกระแหงแห้งผาก พอกันกับแก้มเหี่ยวย่นของหญิงชายชราชาวนา ที่จำต้องรอรับโศกโลกหยิบยื่นชะตากรรมให้..อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง ลมหายใจของสาวนา.. กำลังขาดเป็นห้วงๆ เหมือนรวงเรียวซังข้าวแห้งผากตายซาก รอพรากลา รอวันตายไป พร้อมกับดวงชีวาชีวีนี้... ที่ช้ำฤดีตรอมตรมคงไม่นานแล้ว.. คูน...ยังคง..ทิ้งสายพรายพรมห่มราวไพรเหลืองพราว หากไยเล่า หัวใจสาวนาราวจะร่ำไห้ มองไม่งามไสวผ่องผุดเสมือนสายฝนสีทองดั่งเดิม ตะแบก..หม่น...ยืนต้นชูดอกสะพรั่งม่วง รวงดอกยังคงระย้าระยับ ระบัดไหวไปตามสายลมร้อน อ้อนให้หัวใจสาวนา..หมองม่วงหม่นพอกัน เหมือนสายฝนกำลังพรำพรมรินรดรวดร้าว ให้รานร้าวเศร้าหมองอยู่ในห้องหับหัวใจ อย่างยากที่จะกระซิบบอกใคร ภัยแล้ง...ภัยแล้ง ที่สวรรค์มิได้แกล้ง พระพรหมมิได้สั่ง หากทว่าเกิดจากน้ำมือมนุษย์นับพันล้าน ผู้มิได้เกิดมามีชีวาชีวิตเพื่อสร้างสรรค์ หากเกิดมาเพียงเพื่อทำลายทำลายและทำลายระบบนิเวศน์ อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์อย่างผลาญพร่าบ่าโหมรานรุก ให้เร่าร้อนไปทุกหย่อมหญ้า..ทั้งหล้าโลกทุกธุลี สาวนา... นั้นมาตรแม้นเกิดมา.. เป็นเพียงหญิงชาวป่าชาวไร่ชาวไพร หากหัวใจดวงทอง ก็แสนรักดินรักน้ำรักป่ารักธรรม ธรรมชาติ และ แสนจะเข้าใจวิถีไพร วิถีใจ ที่ควรจะรู้อยู่.. รู้คิดรู้ค่า รู้ว่าคนเรา เกิดมาเพื่อพึ่งพาพิงพึ่ง มิใช่มิเกรงกริ่งมหันตภัย หาญกล้าจะเอาชนะความยิ่งใหญ่แห่งธรรมชาติ จนได้ให้บทเรียนพิโรธโกรธเกรี้ยวสอนสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า มนุษย์ก็ยังหาได้หลาบจำไม่.. ยังคงคิดว่า โลกศิวิไลซ์ไฮเทคโนโลยี่ *คือเป้าหมายชีวีชีวิตที่สุดยอดแล้ว*ละกระมัง.. ช่างแสนน่าเศร้าโศกสะเทือนใจเสียนี่กระไร มาวันนี้... สาวนาอยากถามนัก ด้วยฤดีที่เหน็บหนาวร้าวรวดดวงใจเป็นยิ่งนัก ไปกับความแล้งไร้รายรอบ กอปรกับนวลเนื้อใจมนุษย์ ที่สุดแล้งไร้ราวทะเลทรายแห้งผากพอกัน ว่า... หากโลกกำลังเข้าขั้นวิกฤต ชีวิตมวลมนุษย์ ยังมิหยุดคิดทำลายกันและกัน แถม ยังหันไปห้ำหั่นทำลายธรรม ธรรมชาติ วัฏฏแห่งดินน้ำสะอาด...ป่าดงพงไพรจนไม่เหลืออะไรแล้ว เราจะเจริญศิวิไลซ์ไปทำไมกันเล่า ...นะเจ้ายอดดวงใจ ให้โลกสิ้นเงียบงันว่างเปล่า พบแต่ความเหงาวิปโยคโศกครวญจากภัยพิบัติ แผ่นดินไหว พายุพัดถล่มให้น้ำทะเลห่มหล้า กวาดล้างมิเหลือหลอ รอวันตายไปถ้วนหน้าทั่วหล้าเท่าเทียม ไม่ว่ายากดีมีจน คนในโลกนี้ ที่จะพากันตายสลายหายวับลับไปในพริบตา...ราวฝัน..ดั่งฝัน ให้ฟ้าดินอินทร์พรหมสวรรค์ ต้องพากันหลั่งน้ำตาสังเวย กับสมองไร้ค่า หาคิดเป็นกันไม่.. โอ้ดวงใจมนุษย์มนามากหน้าทั่วหล้า ที่ยากหยั่งถึง ยากฝังความสำนึกลึกซึ้งลึกล้ำตอกย้ำตราตรึง ให้คะนึงถึงสัจจะธรรม .. ให้มีหัวใจดวงทองใสล้ำพิไลพิลาส รู้รักธรรมชาติเลอค่า ที่ฟ้าดินได้อุตส่าห์โปรดประทานพรให้มา อย่างน่าจะชื่นชมโสมนัสยินดีปรีเปรมย์เป็นที่สุดแล้ว.. อย่าหลงละเมอ ใช้ชีวาชีวิตไปในทิศทางประมาท ให้ ป่าเขาลำเนาไพร ห้วยละหารธารน้ำใสระริน สัตว์ป่าหายสาบสูญสิ้นแสนพูนเทวษอาดูร.. ดาวดวงคงร่ำไห้ สายหมอกคงร่ายโศลกพลี ให้ทุกดวงวิญญาญ์ในกาแลกซี่ได้เหน็บหนาว... ไร้ที่สถิตใดไปตราบชั่วนิจนิรันดร..... คิดคิดไปแสนเปลี่ยวเปล่าใจเป็นยิ่งนัก ในใจดวงดีดวงภักดีพลีดินดวงนี้ ที่... รักผืนป่า รักเพาะปลูกพืชพรรณ รักสายน้ำนิรันดร์ รักกระท่อมไพร หัวใจดวงที่คิดดีคิดได้ รู้ค่าความพอดีพอเพียง ไม่เบียดเบียนโลกให้พบวิปโยคเร็วไป สอนให้หัวใจเพียรรักพักอิงพิงพัก ในเงื้อมเงางาม อย่างผู้ซึ้งค่า ว่าเราทุกดวงใจทุกร่างมนุษย์นั้น...ก็แค่ธุลีหล้า แค่เกิดมายังประโยชน์ให้โลก และ รู้คืนกลับให้ผองชน มาเพียงใช้กมลละไมหอมกรุ่นละมุน มองโลกหมุนสวยใส มารักธรรม..ธรรมชาติมาตามรอยบาทพระศาสดา มารักยอดพระรัตนตรัย มารักษ์ดำรงสวยใสให้คงงามไว้ให้นานเท่านาน ตราบชั่วกาลกัปป์กัลป์เป็นนิรันดรรัก ได้พักพิงใจไปด้วยกัน และ เผื่อหัวใจได้มาสร้างสรรฝันดีฝันพลี ไว้ให้ผู้มาทีหลังได้มาเสพสุนทรีย์ ที่ดีไม่ดีก็คือเราเองนั่นแหละ ที่อาจต้องคืนหลังกลับมา ว่ายวงวนวิบากรรม น้อมนำมาอีกชาติและอีกชาติ..ใช่ใคร..เสียที่ไหนเล่าทุกทุกข์เจ้าจอมใจ ........ สาวนา..คิดไกล ด้วยดวงใจบอบช้ำ ไปกับลมคิมหันต์พัดใบไม้แห้ง ที่กำลังลิ่วลอยควะคว้างถลาขึ้นกลางฟ้า ให้เหงาใจเหว่ว้าอย่างสุดทน สาวนา... คิดถึงลำธารที่เคยหวานใส หอมอวลระคน ด้วยกลิ่นดงดอกไม้ป่าดอกข่าไพร ดอกกล้วยไม้ในดวงใจหลากสีสันที่พากันขึ้นตามคาคบ เห็ดที่รอหยาดวสันต์พรมพร่างใส่ดินสีบานเย็น ให้แทงงอกออกมา เพื่อเป็นอาหารชาวป่าชาวนาชาวไพร ให้เอร็ดอร่อยไปตามวิถีชนบท ที่แสนสดชื่นรื่นรมย์ในทุกโมงยาม แห่งงามไร้เงิน.. ให้ชีวิตได้ดำเนินดำรงไป ไร้ศิวิไลซ์หนี้...ลีลาเมืองวัตถุ.. ที่ทุกผู้คนแม้นทารกน้อยในครรถ์มิทันได้เติบใหญ่ พอเกิดมาพลัน แค่ได้ร้องอุแว้หายใจในวันแรกนาทีแรก ก็จำต้องรับกงกรรมกงเกวียนเวียนหนี้สินจากบุพการี ที่ดีไม่ดีบางที เวียนว่ายยังอยู่ในระบบเงินผ่อน อ่อนล้าแรงพ่วงไปอีกสักยี่สิบปี เพื่อชีวีจะมีบ้านสักหลังรถสักคัน ฝันตามๆกันไปตามโลกย์ แบบอยู่ไปวันวันตามวัฎฎเมืองเรืองรุ่งกรุงกรง หลงทางห่างไกลคำว่าไพรพงเข้าไปทุกทีๆ.. ซึ่งเป็นวิถีเพื่อความอยู่รอดแบบสังคมอุตส่าห์หากรรม.. สาวนา... คนหัวใจรักไพรพงชนบทท้องนาป่าเขาลำเนาไพร จึงไม่เข้าใจยากเข้าใจยากทำใจ ว่าระบบเมืองระบบสังคมในทุกวันนี้ ที่พลีสร้างบ้านแปลงเมืองกันให้เรืองรุ่ง เพียงพุ่งทัศนคติลงเหวพากันทำลายเปลือกโลก ให้ยุบยู่อยู่ทุกวี่วันทำไมกันเล่า.. ฤาว่า..เรายังคงไม่เข้าใจ ว่าชีวิตที่แท้จริงเกิดมาเพื่ออะไร ทำไมหมุนไปในทิศทางทำลาย ทั้งๆที่รู้ว่า *หายนะ*กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกทีๆแล้ว สาวนา.. เพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์ในวันนี้ ถึงที่มาแห่งภัยแล้ง ที่คนเมืองลวงเมืองหลวงเอง จะแสร้งทำไม่รู้ไม่ห่วงคงไม่ได้อีกเช่นเฉกเดียวกัน เพราะ มิช้านาน หากยังตะบี้ตะบันพากันใช้น้ำสะอาดอย่างไม่บันยะบันยัง เมืองทั้งเมืองจะเกิดวิกฤตน้ำภายในสิบปีนี้ ไม่นานเกินรอ ขอเพียงอย่าเพิ่งลาตายไปเสียก่อนแล้วกัน คงพอทันได้เห็นอย่างแน่นอน หากทุกดวงใจไทยไท ยังไม่ไหว.. ไม่มีจิตสำนึก..ช่วยกันรณรงค์หาทางออกไว้ ก่อนวันจะสายเกิน.. อย่ามัวเพลินใช้น้ำกันโครมๆ ทุกโรงแรม ร้านอาบอบนวด และทุกครัวเรือน รัฐบาล ต้องมีมาตรการแก้ไขให้ทัน มิฉะนั้น มิใช่เพียงชาวไร่ชาวนา หากทุกลีลาชีวิตจะไร้สุข..ทุกข์ใหญ่หลวงตามมาเลยทีเดียว..เชียว หัวใจสาวนา. เลยพาให้คิดถึง..น้ำพระทัยมากเมตตาบารมี ที่มีโครงการหลวง*ทำฝนเทียม* ผ่านเลยล่วง มาช่วยชีวิตคนไทยชาวนาไทยไว้ราวห้าสิบปีแล้ว นะทุกเจ้าแก้วจอมใจ *ฝนที่หยาดรินรดรวงข้าวราวรวงเพชร จากหยดน้ำค้างกลางพระราชหฤทัยที่ทรงพร่างริน จากองค์พระประมุขไทย จอมราชันย์ขวัญหล้าแห่งทุกดวงใจผองชน.. ที่... ทรงมีสายพระเนตรยาวไกล และทรงความอัจฉริยะ ด้วยคุณลักษณะนักวิทยาสาสตร์ หลังจากทรงสังเกตวิเคราะห์ข้อมูล และ หลังจากได้เสด็จพระราชดำเนิน เพื่อทรงเยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ย่านบริเวณเทือกเขาภูพาน แล้วทรงสังเกตว่า มีปริมาณเมฆมาก ปกคลุมเหนือพื้นที่ระหว่างเส้นทางบิน แต่ไม่สามารถรวมตัวจนเกิดเป็นฝนตกได้ ............... และ..ณ..วันนี้ ที่สาวนาได้อ่านจากหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ *ฝนหลวง* หรือ*ฝนเทียม*ว่า ***ได้แก้ปัญหาให้กับเกษตรกรที่เผชิญภัยแล้ง เพิ่มปริมาณน้ำให้กับพื้นที่ลุ่มน้ำของแม่น้ำสายต่างๆ แก้ปัญหาน้ำขาดแคลนเพื่อการอุปโภคบริโภค แก้ปัญหาเส้นทางคมนาคมทางน้ำที่ตื้นเขิน เพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังช่วยบรรเทาภาวะแวดล้อมเป็นพิษอันเกิดจากการระบายน้ำเสีย และขยะมูลฝอยลงสู่แหล่งน้ำ ช่วยให้มลพิษเจือจาง*** และ.. ทั้งสิ้นทั้งหมดนี้.. คือ.. หยาดน้ำทิพย์มาประโลมหล้าประโลมใจจากฟากฟ้า ที่ทรงหยาดน้ำพระทัยมากล้นเปี่ยมท้นพระมหากรุณา แห่งพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย... อีกครา... เพื่อทรงดับทุกข์ ที่จะหลั่งสายปรายโปรยลงทั่วหล้า จนกว่าทั่วฟ้าไทยไทและปวงประชาจะสิ้นทุกข์..... รู้รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และหันมาสร้างจิตสำนึก ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท รู้รักษ์ป่า รักน้ำ รักธรรมชาติ..ให้ดำรง เพื่อยังคงเป็นมรดกให้ลูกหลานไทย ได้ชื่นฉ่ำใจ ได้พบแผ่นดินไทยแผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ได้มาครองกมลแสนดีแสนงาม เพื่อรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไปตราบชั่วฟ้าดิน..สลาย! *************** http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=6197 สายฝน เพลงพระราชนิพนธ์ : : Key C เมื่อลมฝน บนฟ้ามาลิ่ว ต้นไม้พลิ้ว ลู่กิ่งใบ เหมือนจะเอน รากคลอนถอนไป แต่เหล่าไม้ ยิ่งกลับงาม พระพรหมท่าน บันดาลให้ฝนหลั่ง เพื่อประทัง ชีวิตมิทราม น้ำทิพย์สาด เป็นสาย พรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคาม ชื่นธารา สาดเป็นสาย พรายพลิ้วทิวทุ่ง แดดทอรุ้ง อร่ามตา รุ้งเลื่อมลาย พร่างพรายนภา ยาม เมื่อฝนมาแต่ไกล พระพรหมช่วย อำนวยให้ชื่นฉ่ำ เพื่อจะนำ ดับความร้อนใจ น้ำฝนหลั่ง ลงมาจากฟ้าแดนไกล พืชพันธุ์ไม้ ชื่นยืนยง... ******************** http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=129 หยาดน้ำฝน หยดน้ำตา หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์ หลั่งความขื่นขมที่ถมอยู่ใน ใจตน หยาดย้อยจากปรางสวรรค์เบื้องบน สู่กลางแก้มดินในฐานถิ่นคน นั้นคือหยาดฝน ฉ่ำใจ สาดสายพร่างพรายพรมผืนไร่นา แนวเนิน ป่าดอนโขดเขินคลองขลุงทุ่งหนอง นองไป หล่อเลี้ยงพืชพันธ์ มีผลดอกใบ โลกเคยหลับไหล พลันฝืนตื่นใจ สวยงามสดใส จริงเอย ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา พลันน้ำตานางฟ้าระเหย เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์ ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ ทอแสงทองอาทิตย์ทาบทา พลันน้ำตานางฟ้าระเหย เป็นละอองไอน้ำอย่างเคย ถูกลมรำเพย พัดเลยลอยวน หยาดน้ำจากตา นางฟ้าที่ตรมอารมณ์ ฝากมากับลมเป็นฝนพร่างพรม ใจคน แต่น้ำจากตาตอนช้ำกมล ที่เราหลั่งลอย ระเหยกี่หน ถึงกลายเป็นฝน ฉ่ำใจ...
21 มีนาคม 2548 16:15 น. - comment id 442316
อ่านแล้วทำให้นึกถึงภาพโฆษณาชิ้นหนึ่ง คุณลุงดาบ ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้า แต่อุทิศเวลาตลอดชีวิต ปลูกต้นไม้ ในพื้นที่ที่แห้งแล้งกันดาล คืนธรรมชาติ สู่ธรรมชาติ ผู้ชายชราคนเดียวปลูกไป 2 ล้านต้น หากเราช่วยกันปลูกคนละต้นละ คงมากมายน่าดูนะคะ แวะมาปลอบประโลมความแห้งแล้ง ส่งน้ำใจมาทดแทนก่อนนะคะ ^_^
21 มีนาคม 2548 16:17 น. - comment id 442318
ยิ้มให้นะคะ อืมมอ่านยังไม่จบแลยค่ะ แต่ประทับใจอะค่ะ
21 มีนาคม 2548 19:22 น. - comment id 442410
เขียนได้เห็นภัยแล้งจริงค่ะ
21 มีนาคม 2548 22:48 น. - comment id 442548
คิดถึงเรื่องเดียวกับน้องแอ็ปเปิ้ลเลย สงสัยเพราะเราสองคนเกิดวันเดือนเหมือนกัน ก็เลยใจตนกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ และที่สำคัญ ดูโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์แล้วสลดใจ เนื่องด้วยสัตว์น้อยใหญ่ต้องมาล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งที่จริงเดือนนี้ยังไม่ใช่หน้าที่บอกว่าแล้งที่สุดด้วยซ้ำ แค่เพิ่งเริ่ม ๆ จะเข้าหน้าแล้งเท่านั้น แล้วถ้าหน้าแล้งที่แล้งสุดจะเป็นยังไง หัวใจไม่อยากคิดเลย แต่ที่คิดได้ดีและคิดถึงทุกที คือคิดถึงพี่ที่สุดเลยนะค่ะ
21 มีนาคม 2548 22:52 น. - comment id 442550
คุณพุดถึงแม้จะเปลี่ยนชื่อแต่ก็ดำเนินตามแนวถนัดนะครับ แหมผมยังนึกชอบใจที่ไปตอบกลอนของคุณลำน้ำน่านและติดใจมาจนบัดนี้ช่างสดสวยอะไรเช่นนี้นะครับ คุณเคยบอกผมครั้งหนึ่งผมจำติดไว้คงไม่ผิดนะครับ แก้วประเสริฐ.
21 มีนาคม 2548 23:11 น. - comment id 442566
เส้นทางเดินของคนเราทุกคนนั้นย่อมมีผู้ร่วมเดินทางด้วยเสมอ แต่ไม่อาจมีใครเดินอยู่บนเส้นทางของคนอื่นได้ตลอดไป...ใบไม้ที่มันกำลังผลัดไบจ นแห้งโกร๋นอาจไม่ได้หมายความถึงต้นไม้ว่ากำลังยืนต้นตาย มันอาจจะกำลังสร้างสิ่งดีดีขึ้นมาใหม่ภายใต้ฤดูผลิบานของหมู่มวลแห่งสรรพชีวิตอ ีกครั้ง... ขอให้ทำปัจจุบันวันนี้ ทำให้เป็นอตีตที่ดีในอนาคต
22 มีนาคม 2548 20:19 น. - comment id 442928
ผืนดินแห้งแล้งทั่วถิ่นดินอีสาน ช่างกันดารไร้ฝนมาพาเหี่ยวเฉา ไร้น้องนางเคียงข้างแอบแนบเป็นเงา เพิ่มสองเท่าความแล้งเรี่ยวแรงลา
15 กรกฎาคม 2552 07:33 น. - comment id 1014538
เป็นเรื่องราว แนวคิดที่เหมือนกันกับผมมาก ความคิดเรื่องน้ำ คิดคล้ายๆ และใกล้เคียงกันมาก จนไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม หลายอย่างที่ผมคิดไว้ เช่น พืชสมุนไพร ที่คนไทยไม่คิดค้นให้ก้าวไกล และไม่ต้องปลูกเพื่อขายให้ต่างประเทศทำยา แล้วมาขายแพงๆให้กับพวกเรา เรื่องการพัฒนาอุตสาหกรรม หลายอย่างควรคิดเอง ทำเอง โดยไม่ต้องพึ่งพิงต่างชาติมากขนาดนี้ก็ได้ รักแลเคารพ พี่สาวแสนสวย น้ำใจงาม นามพี่พุดไพร ที่หนึ่งเสมอ