เสียงขลุ่ยลอมฟางลูกควาย!

สาวบ้านนา


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=94
**************
ค่ำคืนนี้....
จันทร์ดวงสีไพลหวานแจ่มแฉล้มแช่มช้อย
อ้อยสร้อยสาดสายแสงแสนหวาน
หว่านโปรยปรายไล้ไปทั่วทุ่ง...
ราวสายรุ้งสีทองทาบอาบทารวงเรียว


สาวนา..ผู้ดายเดียวเดียวดาย
มานานวันฝันค้างมานานปี
ลูกผู้หญิงคนดีหัวใจไพรหัวใจทอง
หัวใจงามผ่องผุด
หอมละไมละมุนกรุ่นใสซื่อพอกันกับ
ข้าวหอมข้าวใหม่ข้าวในนา


ที่ยังรอท่าสายฝนพรำ
ยังหลงรอกมลมั่น
ยังพลีฝันพลีใจรอท่าอ้าย
สุภาพบุรุษชาติไพร
ไม่เคยแปรใจไปตามรอยใคร
เสมือนรอยไถในทุ่งกว้างเช่นเฉกกัน
ที่ยังคงสม่ำเสมอเฝ้ารักดิน
มิขายถิ่นขายทุ่งมุ่งไปเมืองลวง..ควงสาวนุ่งยีนส์


สาวนายืน..นิ่งนิ่งทิ้งใจทอดทัศนาดูทุ่งกว้าง
ที่ดูอ้างว้างร้างไร้พอกันกับใจสาวนา..
ที่ถูกอ้ายร้างลาทิ้งร้างห่างหายมาหลายฝนแล้ว


สาวนา.....ลุยดงดอกหญ้าเจ้าชู้ไปยังลอมฟาง
ท่ามกลางฟ้าสว่างเรือเรือง...
ด้วยแสงดาวเดือนพร่างกระพริบระยิบพราว
หากไยเล่าหัวใจสาวนา
จึงมีคลายหนาวเหน็บใจ


สาวนา..มองไปยังอ้ายทุย..เพื่อนยาก
แล้วน้ำตาสาวนาก็ปริ่มเต็มเรียวตา
เมื่อเห็นดวงตาใสซื่อ
แม่ควายสัตว์คู่ยากคู่ใจคู่ไถคู่ทำนาคู่ฟ้าคู่ดิน


ที่นะบัดนี้..
ให้กำเนิดลูกน้อยน่ารักน่าชังนัก
และ
หลังๆสาวนาสังเกตเห็น...
ยามมันร้องเรียก
เพรียกหาให้ลูกควายน้อยกลอยใจ
มากอดกลิ้งเกลือกกลั้วมิห่างกายราว
จะถ่ายทอดวิทยายุทธิ์อันใสซื่อถือกตัญญุตา
สอนให้กินหญ้าน้ำ
อย่างมิทิ้งทอดและให้รักเจ้าของอย่างภักดี


สาวนา..
อดคิดถึงอ้าย..เสียมิได้.
ที่เคยเมตตาเอ็นดูเจ้าทุยนักหนา
เพราะว่า
ได้ขี่หลังลุยทุ่งกับสาวนามาชั่วนาตาปี
ราวขวัญเรียม
และสาวนา..คิดถึงบทเพลง..นี้
เสียเป็นยิ่งนักแล้ว..ที่ครองกมลสาวนามานานปี
........


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=223
ขวัญเรียม 
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ ของเรียม
หวนคิดผิดแล้วขมขื่น ฝืน ใจเจียม 
เคยโลมเรียม เลียบฝั่ง มาแต่หลัง ยังจำ
คำ ที่ขวัญเคยพรอดเคยพร่ำ
ถ้วนทุกคำยังเรียกยังร่ำเร่าร้องก้องอยู่
แว่ว แว่ว แจ้ว หู ว่าขวัญชู้ เจ้ายังคอย
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง 
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม
เรียมเหลือทนแล้วนั่น ขวัญ คงหงอย
หวนคิดคิดแล้วยิ่งเศร้า เหงา ใจคอย
อกเรียมพลอย นึกหน่าย คิดถึงสาย น้ำนอง
คลอง ที่เรียมเคยเที่ยวเคยท่อง 
เมื่อเราสองต่างว่ายต่างว่องล่องไล่ไม่เว้น
เช้า สาย บ่าย เย็น ขวัญลงเล่น กับเรียม...
.................


ที่...
ค่ำคืนนั้น...นานมา
ริมลอมฟางข้างกองไฟ
ยามที่สาวนานอนหนุนไหล่แข็งแรงของอ้าย
แล้ว
อ้าย....ได้เคยพรายพรมนิ้ว
พลิ้วร่ายมนต์เสียงขลุ่ยไพรขลุ่ยใจ
ให้ข้ามทุ่งลอยละลิ่วพริ้วไหวหวานไปตามฟากฟ้ากว้าง
ผ่านสายธารแมกไม้ขุนเขา
พาเหงางามใจราวกระซิบรำพันริมหูสาวนา


และ
ถึงทุกนางใจนางไพรสาวบ้านป่า
ที่พากันไปหลงแสงสีศิวิไลซ์
ให้กลับนามาเถอะนะ
อย่ามามัวหลงกรุงนุ่งสั้น
เปิดสะดือให้โหวเหวเหว่ว้าอยู่เลย
อย่ามัวเฉย..
กลับมานุ่งผ้าถุงเก่าลายดอกผืนสวย
ที่งามกว่างามในสายตาสายใจ
ในพันผูกระหว่างเรามานานเนามานานปี


สาวนา....แว่ว
ได้ยินเสียงระนาดเพลงลาวดวงเดือน
หวานพริ้งพราวกราวกลมกล่อมแทบหลอมละลายใจ
มากับ.....
สายลมในยามค่ำมาจากริมฝั่งฝันลำประโดง
บ้านครูสอนดนตรีไทยในละแวกนี้


ที่ช่างแสนงามบรรเจิดจิต
ให้นิรมิตทิพย์
ในหัวอกหัวใจสาวนา
ให้แสนแพร้วเพริศพริ้ง
หวานสะบิ้งสะบัดรัดร้อยใจ
ให้ละไมละมุนไหวหวั่นฝันหวานหวานตามเคย


ราวลอยเลยล่องท่องไป
ในแดนสรวงวิมานเมฆวิมานทิพย์
ไปหยิบรวงดาวมาร้อยเป็นสายสร้อยเพชรพราว
ให้เทพีข้าวเทพีพสุธา
ที่อ้ายเคยฝากคำมั่นสัญญาไว้
ว่าคือสาวนาคนดี
ที่อ้ายแสนรักนักรักหนาแล้วนะ


ให้หัวใจสาวนา
ไหวหวั่นฝันไกลในทุกยาม
ที่ได้ยินบทเพลงไทยดนตรีไทย
ที่หวานใสราวระฆังทิพย์
ราวมา..
สถิตหวานหว่านกอแตกช่อผลิพราว
กระจ่างนะกลางจิตกลางใจ
ดวงทองดวงผ่องผุดของสาวนาสาวไพร


ให้ใสพร่างพิสุทธิ์พราย
ราวดอกบัวชูช่อในบึงรัก
ที่รอรับสายแสงพุทธธรรม
มาพร่างพรม
ให้ลืมหมองตรมระทมทับ
พบวิมุตติผุดโผล่พ้นน้ำอย่างไรอย่างนั้น


สาวนา..
หูแว่วแผ่วเพลงพริ้วเพลงขลุ่ย
อีกเพลงและอีกเพลง
ที่...
อ้ายเคยพรมพ้อเพ้อถึงสาวนา
แทนใจเคยมั่นคงจงรักภักดี
ที่แสนใสซื่อถือมั่นในรักจริงรักแท้


ที่อ้ายเคยกระซิบบอกว่า..
รักสาวนารักทุยรักทุ่งรักถื่น
รักที่จะลุยกลิ่นโคลนสาบควาย
รักที่จะได้ดอมหอมหวาน
พวงพะยอมป่ายามมาบาน
เคลียแก้มสาวนาที่อ้ายเคยเด็ดมาเสียบแชมผมให้


ฤดีสาวนา...เหว้ว้าแห้งผาก..
ราวรวงรอฟ้าฝน
ราวสาวนาคนดี
ที่ยังหลงคอยกมลอ้ายคนดีให้หวนคืน
รอชื่นฉ่ำ
รอวสันต์ลีลา
มาพร่างโปรย
ให้ทั้งนาข้าว
ทั้งนาใจสาวนาไสวปานกันในไม่ช้านาน


ดั่งดอกจานบานรับสายฝนสายฝันสวรรค์สวาท
รอให้
ทิวาหวานราตรีแสนซ่านซึ้งจับใจ
คืนกลับมาคืนกลับนา


ในท่ามกลางแสงตะเกียงริบหรี่ไหว
คืนที่ไพรพนาเต็มไปด้วยสายฝนพรำ
เสียงกบเขียดร้องร่ำระงมลั่นทุ่ง
คืนที่มุ้งไสวเพยิบพยาบ
อาบไล้ไปด้วยมนต์รักเสน่หา
ที่อ้ายร่ายลีลารัดรึงซึ้งซ่านหวานสุขนัก

 
เสียงสายฝนกระทบหลังคาจากลงพร่างพื้น
กับเสียงฟ้าคำราม
ให้สาวนาโผร่าง
คอยตามมาซุกซบในอ้อมอกอุ่นอุ่น
พลางร้องละเมอเพ้อครางครวญให้อ้ายสุดแสนรัญจวนใจ
จนต้องบรรเลงเพลงรักจากใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเฝ้าประโลมร่างใจ
พร้อมเสียงเพลงไพร
ตราบฟ้าสางดุเหว่าแว่ว

และแล้ว
ก็นอนนิทรารมย์ไปด้วยกัน
กับฝันดีพลีภักดิ์ที่ช่างหวานแสนหวาน....
ที่สาวนาคิดว่า
ในหล้าโลกนี้
ชีวิตสาวนาช่างแสนโชคดีเป็นยิ่งนักแล้วกว่าใคร
ที่ได้ใช้ชีวีตติดดิน
และ
มีความรักภักดีที่พอเพียงพลีพร้อม
ให้กันและกัน
มิผันไปตามกระแสโลกย์มิโศกแปร
.....................


ยามนั้น..
เมื่อถึงเวลาฟ้าแจ่มกระจ่างทั่วนภางค์สว่างแล้ว
สาวนาจะปลุกอ้ายให้แจวเรือ
พาสาวนาไปเก็บบัวกลางบึง
ไปเคลียคลึงเคล้าคลอ
กลางกอบัวอาบน้ำด้วยกัน
ท่ามกลางกลิ่นเกสรอันแสนหวานตระการบึง
จนสุขซึ้งรับสายแสงแรกของดวงตะวันแย้มบาน


แล้วถึงจะค่อยๆพายเรือกลับ
มาเข้าครัว..
ก่อไฟหุงข้าว
จัดสำรับ
จัดทุกอย่างไว้รอท่าอ้ายไปวัดพร้อมกัน
แม้กระทั่ง..
พับกลีบบัวละมุนด้วยศรัทธา
วางกรุ่นกลีบเกสรหอมงามเคียงในถาดทองเหลือง
ด้วยหวังสืบทอดพุทธศาสนา
ให้ประเทืองเรืองรุ่งประดับใจไทยให้ใสสวย
ไปนานเนานิรันดร์จนกว่าวันฟ้าดินจะแตกดับลับลา
........


คืนและวันพรากไป
สาวนาไม่เคยคิดเลยว่า
โลกหล้ามาแปรไป
มาตรแม้นรอยไถยังไม่แปร
หากทว่าไยเล่า
อ้ายคนดีถึงมาแพ้พ่าย
ให้
หัวใจรักภักดีที่สาวนาเคยพลีให้
ได้กลายกลับมิหอมกรุ่นมิละมุนดั่งเดิม
******************************


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=94
ขวัญใจเจ้าทุย 
เจ้าทุยอยู่ไหน ได้ยินไหมใครมากู่ กู่
เรียก หาเจ้าอยู่ อยู่ หนใดรีบมา
เจ้าทุยเพื่อนฉัน ออกมาหากันดีกว่า อย่า 
เฉยเลยอย่าอย่า มะมา เร็วไว
เกิด มามีแต่ทุย เป็นเพื่อนกัน
ค่ำเช้า ทำงาน ไม่ทิ้งกัน ไม่หายไป
ข้า มีข้าวและน้ำ นำมาให้
อีกทั้ง ฟางกองใหญ่ อย่าช้าไย อย่าช้าไย
เจ้าทุยเพื่อนจ๋า ออกไปไถนาคงเหนื่อย อ่อน
เหนื่อย นักพักผ่อนก่อน หนาวจนอ่อนใจ
ข้าจะอาบน้ำ ป้อนฟางทั้งกำคำใหญ่ ใหญ่
จะสุมไฟกองใหม่ ใหม่ ไว้กันยุงมา
เจ้ามีคุณแก่เรามามาก มาย 
ถึงแม้ เป็นควาย เจ้าเหนือกว่า ดีเสียกว่า
ผู้ คน ที่เกียจคร้าน ไม่เข้าท่า
ทุยเอ๋ยเจ้าดีกว่า ช่วยไถนา ได้ทุกวัน
เจ้าทุยนี่เอ๋ย ข้าเคยเลี้ยงดูมาก่อน เก่า
เมื่อ ครั้งยังเยาว์เยาว์ ทั้งทุยและฉัน
ข้าเคยขี่หลัง นั่งไปไหนไป ไม่หวาด หวั่น
จะสุขทุกข์เคยบุก บั่น รู้กันด้วยใจ
เติบ โตมาด้วยกันในไร่ นา เคยหา กินมา 
ข้าเห็นใจ ข้าเห็นใจ 
เจ้า ทุย ยากจะหา ใครเทียมได้
ข้ารักดัง ดวงใจ ไม่รักใคร ข้ารักทุย...
...........
				
comments powered by Disqus
  • แอ็ปเปิ้ล

    9 มีนาคม 2548 16:56 น. - comment id 436602

    อืม...ไงดีล่ะคะ...มันเป็นความรู้สึกที่เรียบง่าย
    บริสุทธิ์ในความใสซื่อ และน่ารักของภาพประกอบ
    และถ้อยคำจริงจัง จริงใจ ที่งดงามเวลาได้อ่าน
    และสัมผัสสิ่งนั้น ด้วยความรู้สึกดีดีคะ
    
    น่ารักจังคะ ^_^
  • มนต์กวี

    9 มีนาคม 2548 16:58 น. - comment id 436606

    แวะมาอ่านและเป็นกำลังใจครับ.......
  • dark side of mind

    9 มีนาคม 2548 22:04 น. - comment id 436725

    ...ลอมฟาง คืออะไรครับ 
    ใช่กองฟางสูงๆ ป่าวครับ?
    
  • ชัยชนะ

    9 มีนาคม 2548 22:10 น. - comment id 436732

    ไม่เจอกันนาน ฝีมือยังไม่ตก ยังเนียบเหมือนเดิมครับ
    บรรยากาศเรียบง่ายในชีวิตท้องทุ่งนา
    พร้อมมีเพลงมาบรรเลงประกอบ
    ได้รสชาติกลมกล่อมดีครับ
    
  • ผู้หญิงไร้เงา

    9 มีนาคม 2548 22:57 น. - comment id 436782

    อ่านแล้วคิดถึงมนต์รักลูกทุ่งเลย  คิดถึงพี่พุดนะค่ะ
  • ม.ปณิธาน

    10 มีนาคม 2548 01:51 น. - comment id 436851

    ทำไมควายตัวโตมันสีแปลกๆละครับ ;)
  • กวีน้อยเจ้าสำราญ

    14 กรกฎาคม 2552 12:07 น. - comment id 1014184

    เสียงขลุ่ยกับกองฟาง อีกทั้ง มีลูกควาย ตัวน้อยๆ  
    อ่านแล้ว ก็สุขดีนะครับ  หากทว่า จะมีใครล่ะยอมทนได้ เมื่อ ฝ่ายชายไร้แม้แต่ เงินทอง เป็นสิ่งที่ยากเกินไปน่ะครับ
    
    รักแลเคารพ พี่สาวแสนสวย น้ำใจงาม นามพี่พุดไพร ที่หนึ่งเสมอ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน