>วันนี้ เราได้ทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าฉลาด แต่โง่มากอย่างหนึ่ง นั่นคือการโทรไป บอกลา คนที่เรารัก และเขาก็รักเรา เป็นการประชดประชันแบบเด็ก ๆ จริง ๆ นั่นแหละ เราชอบว่าเขาเด็ก จริง ๆ เราก็เด็กเหมือนกัน ต่อหน้าความรัก สิ่งที่ยังใหม่สำหรับเราทั้งสองคน เราก็เป็นเด็กด้วยกันทั้งคู่แหละหนอ >ตอนจบ เรายังวางสายไปโดยไม่บอกกล่าว ไม่รับโทรศัพท์ที่เขาโทรกลับมา ไม่รู้สิว่าทำไม แต่มันทำให้เรานอนไม่หลับเลย >เพราะจริง ๆ เรายังไม่อยากให้มันจบเลย >ขอให้มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องด้วยเถิด >นี่เราทำเพื่อเขาจริง ๆ ใช่ไหมหนอ >ยังติดหูอยู่เลย กับคำแรกที่เขาถามเราเมื่อตอนแรกคบ . . . พี่จริงจังไหม . . . . ยังคงยืนยัน จริงจังคับ ! >โถ! คนดี ขอยืมคำในหนังมาใช้หน่อยเถอะ >เราไม่ได้รักใครง่าย ๆ อย่างที่นายคิดหรอกนะ >รู้สึกดีเสมอ เมื่อรู้ตัวว่าเป็นที่รักของคนที่เรารัก รู้สึกเพลงรักมากมายรอบข้าง ฟังอยู่ทุกวี่ทุกวัน ทั้งเก่าและใหม่ มันช่างตรงใจเราดีแท้หนอ >แม้กระทั่งวันนี้ วันที่เราทำสิ่งโง่ ๆ สิ่งนี้ลงไป ก็รู้สึกเพลงเศร้าทั้งหลาย หนังเศร้าทั้งหลาย มันก็ช่างตรงใจอะไรเช่นนี้ เฮ้อ . . . เราอ่อนไหวแฮะ >ถึงแม้จะรู้ว่าเรา เลิก กันแล้ว แต่ก็รู้ดีว่า เขาก็ยังห่วงเราอยู่เสมอ เหมือนที่เรายังห่วงเขานั่นแหละ แต่ก็ขออนุญาต ใช้เวลาในครั้งนี้เป็นตัวตัดสิน เป็นแบบทดสอบเถิด ว่า รัก ของเรานี้ เป็น จริง ใช่ไหม . . . >แม้จะหักหาญหัวใจไปหน่อย แต่ถ้าไม่ทำเช่นนี้ แล้วจะตัดกันขาดได้อย่างไรเล่า แล้วทำไมต้องตัดให้ขาดด้วยละ ก็เพื่อต่างคนจะได้ไปเตรียมความพร้อม สำหรับความรักกันใหม่ ยังงัยละ >อุปสรรคเราอยู่ที่ไหน ? >ไม่รู้สิ หากจะอ้าง พ่อ ของเขา มันจะเป็นข้ออ้างที่ดีพอหรือเปล่า แต่ว่า ทำไมรักเของเราจึงได้บอบบาง ทนต่ออุปสรรคไม่ได้ถึงเพียงนี้เล่า >อุปสรรค น่าจะอยู่เราทั้งคู่เองมากกว่า >เรา ก็มีอดีตที่ไม่ขาดสะอาดนัก >เขา ก็ช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน . . . >ทำไมรักแล้วต้องเจ็บด้วยหนอ เขาต้องการสอนอะไรแก่เราหรือ สักวันคงรู้ >ว่าแต่จะขอยกเว้นไว้สักคน . . . แม้รักไม่ได้ ก็ไม่ขอเกลียด . . . ขอสักคนเถอะนะ. . . ใจ > > 13 . 06 . 02 00:40 น. >และแล้ว ก็อดใจไม่ไหว ต้องหยิบปากกาขึ้นมาขีดเขียนความคิด ความรู้สึกอีกจนได้ เพราะหวังว่าสักวัน คงสามารถให้เธอได้อ่านมัน >อาทิตย์กว่าแล้วสิ กับการใช้ชีวิตแบบตัวใครตัวมัน หลากหลายความรู้สึก มีทั้งอารมณ์และเหตุผล พร่ำบอกว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แต่แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าเธอช่างใจแข็งเสียเหลือเกิน . . . >4-5 ครั้งที่เราโทรไปหา แต่ก็วางสายไป ก่อนจะได้เอ่ยอะไร โทรไปปลุกตอนเช้า ก็เพียงแค่อยากทำตัวให้เป็นประโยชน์ ดีใจที่เธอรู้ว่าเป็นเรา แต่แล้ว ก็โทรไม่ติดอีกเลย โทรไปกลางคืน ก็ใช้สายอยู่ แม้กระทั่งโทรไปกลางวัน ก็ใช้สายอยู่ . . . เธอคงมีใครแทนที่เราได้แล้วกระมัง คนที่คุยกับเธอจนหลับ ใครหนอที่ร้องเพลงให้เธอฟัง ให้เธออุ่นใจได้เพียงนี้ >หลงคิดว่าตัวเองสำคัญ คิดว่าเราคงสำคัญต่อเขา เท่าที่เขาสำคัญต่อเรา แต่สงสัยต้องคิดใหม่เสียแล้ว >พยายามจำคิดหาทางออก อยากเกลียดเสียให้รู้แล้วรู้รอด เหมือนที่เคยทำมาแล้วนักต่อนัก แต่ใจเอ๋ย . . . มันทำไม่ได้ ชักจะดื้อแฮะ ชักสั่งไม่ได้เหมือนเดิมเสียแล้ว >คิดนะ ว่ามันควรจะเป็นไปแบบนั้นแบบนี้ ทั้งเพื่อตัวเขา และเพื่อตัวเรา แต่ทุกครั้งที่เหลือบไปเห็นเขาคุยกับใคร เขาดูสนิทสนมกับใคร ก็รู้สึกเสียวแปล๊บทุกทีเลย มันคืออะไรหนอ ? >วันนั้น เห็นเธอดูเศร้า ๆ ไม่ยอมสบตา ไม่ยอมมองมา ดูเหมือนจะเลี่ยง ๆ เห็นแล้วก็เสียใจ นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย ไม่อยากทำให้เธอเจ็บ ให้เธอร้องไห้เลย แต่ก็ทำลงไปจนได้ >อยากขอโทษ . . . >ลึก ๆ ก็ยังสงสัยอยู่ บทเพลงที่เธอเปิดให้ฟัง รักเธอ เป็นเพลงประกอบละครสินะ มันมีความหมายอะไรหรือ ? เธอต้องการจะบอกเรา ในสิ่งที่เราคิดไว้ ใช่หรือเปล่า >รู้ดีอยู่หรอกว่า คบกับเราก็คงไม่มีอนาคตอะไรหรอก เรามันไม่ใช่คนดี แต่ก็ยังอยากได้รักคืนมา นี่เราเห็นแก่ตัวมากใช่ไหม >อาทิตย์กว่าแล้ว คิดว่ามันจะทำให้เลือนลาง จบหายไปบ้าง แต่ทำไมมันจึงเปล่าเลย สิ่งที่เราพร่ำหลอกความรู้สึกตัวเองทุกวันนั้น มันไม่ได้ผลบ้างเลยหรือ >อย่างน้อย เราจะพยายามโทรให้ติด อยากคุยกับเธออีก แม้จะไม่ได้เป็นดั่งที่ต้องการ แต่จะมีสักกี่คนเล่า ที่สมหวังดังที่ต้องการเสมอ >เมื่อวาน อ. โทรมาจากฝรั่งเศส บอกให้หาทางทำวีซ่า เข้าทางเยอรมัน วันนี้ แม่ก็บอกว่าให้เตรียมเอกสารไว้ เพราะจะติดต่อคนรู้สึกทางฝรั่งเศส ให้เขาทำเรื่องรับรองมาให้ >ส่วนวันก่อน อ.ใหญ่ สั่งมาเรื่องกันยายนปีหน้าจัดงานร้องเพลง ให้เราเป็นผู้จัด อ. ก็จะให้เราทำ อาจารย์ที่เชียงใหม่ ก็อยากได้เราไปเป็นล่ามให้กับงานที่พวกเขาจะออกตะเวณ สถานธรรมทั่วประเทศไทย >เรายังไม่ตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่หรือเลือกไป แต่ถ้าทุกอย่างยังไม่เปลี่ยนไป ให้อยู่อย่างนี้ต่อไป เราต้องเป็นบ้าแน่ ๆ เพราะตอนนี้สังเกตได้ว่าเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว หงุดหงิดง่าย อารมณ์แปรปรวน ทำงานไม่มีสมาธิ ถ้าปล่อยอย่างนี้ต่อไป เสียคนแน่ ๆ ก็ต้องไป คิดว่าหายตัวไปสักพัก คงช่วยได้ กลับมาก็เริ่มต้นใหม่ ไม่งั้นเราก็อยากอยู่ >แต่เราคิดว่า เธอก็คงอยากให้เราไป ทำไมเราถึงเป็นคนไม่รักษาคำพูดเลย บอกว่าจะไป ทำไมไม่ไป ก็เราพยายามแล้วนี่นา วีซ่าไม่ออกจะให้ไปได้อย่างไร แต่ถึงยังงัย เราก็จะหาทางไป เพื่อไม่ให้เธอผิดหวัง ไม่ได้ไปไกล ๆ ไปแค่ใกล้ ๆ ก็ยังดี แต่ขอไปนาน ๆ >เคยรู้สึกไหม รู้สึกตัวเองไร้คุณค่า ตอนนี้รู้สึกแล้วจริง ๆ รู้สึกว่าทำอะไรก็ทำผิดไปหมด ไม่ถูกต้องไปหมด ทำเสียไปหมด มันขาดความมั่นใจ ไม่อยากพูดกับใคร ไม่อยากเจอใครเลย >อยากแต่ . . . . มันอยากได้อะไรก็ไม่รู้ อารมณ์กับเหตุผลมันตีกันให้ยุ่งไปหมด >สิ่งนึงที่ยังยืนยันได้เหมือนเดิม อยากยังรักเธออยู่ อยากได้เธอรักอยู่ ไม่เสียใจที่รักเธอ จะให้ทำยังงัยก็ได้ ขอให้ได้รักเธอคืนมา >หรืออย่างน้อย เธอยังยิ้มให้ก็ยังดี. . . > >22 . 06 . 02 คืนวันอบรม > (ไหนว่าจะมา ก็ไม่เห็นมา . . . ) >3 วันแล้วสินะ กับการพยายามโทร กระหน่ำเธอ แต่ก็ไม่ติดบ้างหละ ไม่รับบ้างหละ ขณะเดียวกัน ก็เริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นบ้างแล้ว นายหนึ่ง นายอีกคนจำชื่อไม่ได้ หรือนายหมู . . . เราจะเป็นหนึ่งในคนพวกนี้หรือนี่ >นาฬิกาข้อมือเหรอ ไม่ใส่นาน ๆ คงชิน . . . >เฮ้อ ที่ผ่านมาเราคิดไปเองทั้งนั้นแหละ ก็น่าจะถึงเวลาแล้วที่จะพิจารณาตัวเองให้ถ้วนถี่ เรามีค่ากับเขา เพียงแค่นาฬิกาข้อมือ เอาเถอะ มันก็น่าภูมิใจแล้วหละ จะขออะไรมากมายเล่า >นึก ๆ ดูมุมกลับ ก็เหมือนเป็นกรรม เราเคยทำอะไรกับเขาไว้ มันก็ย้อนกลับมาหมดเลย จะเรียกมันว่าการทดสอบเหรอ ? ไม่รู้สิ ถ้ามันเป็นการทดสอบ เราก็คงทนไม่ได้แล้วหละ >แต่ก่อน ยังมีสิทธิน้อยใจกัน ห่วงกันหวงกัน งอนกันได้ ตอนนี้ทำไม่ได้ แม้แต่จะคิด เพราะไม่มีสิทธิ์อีกแล้ว แต่ช่างเหอะ เรื่องนั้นจะพูดถึงมันทำไม >อยากรู้จริง ๆ ว่าใจเธอนั้นคิดอะไร น้ำตาและเสียงร้องไห้ของเธอนั้น มันหมายความว่าอะไร ถึงเวลาแล้วใช่ไหม ที่เราจะต้องตัดใจจริง ๆ เหตุผลนา ๆ ประการ เรื่องพ่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นเพียงข้ออ้าง หรือมิเช่นนั้น มันเป็นโอกาสหาทางออกพอดีใช่ไหม บอกกันไปเลย ว่าไม่รัก ยังจะเจ็บน้อยกว่า ยังหักห้ามใจได้ดีกว่านี้ >และแล้วก็เป็นบทเรียนอีกครั้งหนึ่ง กะแล้วเชียว อย่าไปรักคนน่ารัก แล้วก็อย่าไปรักคนที่ไม่รักเรา ขนาดคิดว่าตัวเองรอบคอบแล้ว คิดดีแล้ว ยังไม่วายต้องเจ็บตัวเจ็บใจ >อันที่จริง วันที่เราเลิกกัน ฟังดูเหมือน่าต่างฝ่ายต่างก็ไม่เต็มใจ ตอนนั้นอาจจะฝืนใจจริง ๆ นั่นแหละ แต่ก็คงเหมือนเรื่องนาฬิกา เขาชินได้ แต่ทำไมเราไม่ชินนะ เอาเถิด คงหมดเวลา และอย่าได้ต่อเวลา ขอเวลานอกกันอีกเลย ยอมรับความจริงดีกว่า >เราพยายามแล้ว >ถือเสียว่าเป็นบทเรียน คงทำให้เราเข้มแข็งขึ้นกว่านี้ ในวันข้างหน้า เข้มงวดต่อความรู้สึกตัวเองมากกว่านี้ ให้ตายสิ นี่ก็คิดว่าตัวเองเข้มแข็ง เข้มงวดแล้วนะเนี่ย ยังไม่พออีกหรือ >ขอต่อเวลา (จนได้) อีกอาทิตย์เดียว จนกว่าจะถึงวันอาทิตย์ ถ้ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เราจะคืนทุกอย่างที่เขาให้เรากลับไป รวมทั้งหัวใจที่เคยขอเอาไว้เมื่อวันเกิดด้วย เราคงไม่คู่ควรที่จะเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้ดูแลอีกต่อไป >เขาเหมาะสมกับคนอื่นที่ดีกว่านี้ และเขาเองก็รู้ดี > >23 . 06 . 02 เช้าวันพุธ ก่อนโทรติด แต่เมื่อหลังโทรติด ก็ยังเหมือนเดิม >
13 สิงหาคม 2546 23:08 น. - comment id 159892
แหม ความรู้สึกเหมือนแป๋มเลย แต่ว่าไม่เคยคบกันหรอก แค่รักข้างเดียวอ่ะ แล้วก็สิ่งที่พยายามให้ชินคือ ถอดแหวนที่ใส่มาประมาณปีนึงทิ้งไป (คือเป็นรักครั้งที่สามพอดี แล้วเลข3คือลัคกี้นัมเบอร์อ่ะจ้ะ) ตอนนี้ยังไม่ชินเท่าไรเลยย เหมือนหัวใจอ่ะนะ ถึงจะไม่นึกถึงแหวนในบางครั้ง แต่ว่า ที่นิ้วก็ยังมีรอยแหวนอ่ะ เหมือนหัวใจ... ที่ยังมีรอยเจ็บเลย (เขียนยาวไปป่าวเนี่ย)
14 สิงหาคม 2546 21:54 น. - comment id 160105
อืม ดีใจ ที่มีคนมีความรู้สึกเดียวกัน จริงๆแล้ว บทความนี้ เราไม่ได้เขียนหรอก แต่เป็นคนที่เราเคยรัก เค้าพิมพ์มาหาเรา ครั้งแรกที่เราได้อ่าน เราก็อึ้งไปเลย แต่มันก็จริงซะด้วยสิ