น้ำตาลหม่นหล่นร่วงควงลงพื้น ความสดชื่นพรากผลัดใบไปจนสิ้น ผลิใบอ่อนย้อนวงจรเป็นอาจิณ แล้วหมดสิ้นความขจีที่ความตาย มีอะไรให้ไขว่คว้าคราชีวิต ระดมแรงเร่งผลิตแล้วเร่ขาย เก็บกอบโกยกำไรไว้มากมาย ฉากสุดท้ายในโลงแคบแนบกายา กระซิบแผ่วแว่วคำนี้ที่ริมหู ให้เธอได้รับรู้ฉันห่วงหา พักผ่อนบ้างนะคนดีที่ไกลตา เพื่อผลิใบแตกค่าปัญญาชน
12 มิถุนายน 2546 21:24 น. - comment id 146794
ให้คติเตือนใจที่ดีมากค่ะ....คิดถึงพี่ดอกแก้วนะคะ....
13 มิถุนายน 2546 00:45 น. - comment id 146808
คนเราเกิดมาแล้วก็ตาย ฉากสุดท้ายโลงแคบแนบกายา ทิ้งสมบัติที่เคยแสวงหา แม้กายาเขายังเอาฝังดิน แต่ยังมีคำสอนที่สงสัย ชีวิตเกิดแก่ตายดับลงสิ้น ชาติก่อนชาตินี้ชาติหน้าเคยได้ยิน หรือเป็นช่องหากินให้ทำบุญ...
13 มิถุนายน 2546 10:04 น. - comment id 146834
เวลาที่ผมมีเรื่องไม่สบายใจ หรือรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับชีวิตประจำ นั้น กลับมานึกถึงธรรมะและความตายในเรื่องของมรณสิต ทำให้จิตเราปล่อยวางและก็เป็นอิสระจากพันธนาการทั้งปวง ครับ เพราะให้คิดว่า ชีวิตนี้สั้นนักและไม่มีอะไรเป็นของเราสักอย่างเดียว พี่ดอกแก้ว หยิบธรรมะมาประโลมใจ ซาบซึ้งจริงๆ ครับ
13 มิถุนายน 2546 11:31 น. - comment id 146852
ไม่มีใครคนไหน จะหนี้พ้นความตายไปได้สิ้น ฉะนั้นอยู่บนโลกหรือบนดิน จงทำชีวินให้มีชีวาค่าของคน ***เป็นการสอนใจได้ดีมากเลยค่ะ เพราะไม่มีใครหนีความตายไปได้จริง ๆ แวะมาทักทายนะค่ะ และจะติดตามผลงานไปเรื่อย ๆ ค่ะ
13 มิถุนายน 2546 19:45 น. - comment id 146943
อย่าหักโหมโถมชีวิตไม่คิดรัก โปรดตระหนักใจตรองมองคุณค่า ชีวิตอาจไม่นานราญชีวา ยังค้นหาสิ่งใดอยู่ให้รู้ตน ขอบคุณมากค่ะทุกท่านที่เข้ามาเพิ่มคุณค่าให้กับบทกลอน .....กระแสโลกสมัยนี้สอนให้คนแข่งขันกันตั้งแต่ยังไม่รู้ความ ....กว่าจะเติบโต กว่าจะพ้นวัยทำงาน ก็ต้องผ่านความเสี่ยงมากมายหลายอย่างเลยนะคะ ....กว่าจะหันมารำพึงถึงชีวิตตนก็พ้นวัยที่มีพลังวังชาไปแล้ว .....จึงกลายเป็นความเสียโอกาสที่ยากจะกลับตัวเสียใหม่ ..... ...คำว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนนั้น อีกมุมมองหนึ่งก็คือความพลาดพลั้งที่เคยประสบมาก่อน ..แม่จะบอกว่านั่นคือประสบการณ์ก็ตาม ...มีไม่มากนักเลยค่ะที่ได้พบแล้วจะรู้จักกับคำว่า มรณานุสติ... ขอบคุณอีกครั้งค่ะน้องราชิกา ...ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ...คุณลำน้ำน่าน และคุณผู้หญิงไร้เงาก็เช่นเดียวกัน ...ขอให้มีสุขภาพที่ดีเช่นกัน และสมบูรณ์ในความฝันและความหวังอย่างตั้งใจค่ะ
13 มิถุนายน 2546 20:06 น. - comment id 146946
...สำหรับคุณฤกษ์ คำถามที่สงสัย จะตอบให้ได้ทราบว่า กำเนิดเกิดชีวา เติบโตมาแล้วลับชนม์ ไปตามกระแสกรรม ที่กระทำมาส่งผล ทำดีครั้งยังตน ก็นำผลสุคติพลัน ทำชั่วไม่กลัวบาป จิตเอิบอาบความชั่วนั้น เกิดในอบายบรรพ์ ทุคติภพจบคุณงาม ถามว่าถ้าอย่างนี้ ชาติก่อนมีให้เกรงขาม ชาตินี้จึงมีตาม ชาติหน้าต่อก่อความเกรง ใช่เป็นเช่นช่องทาง ให้คนอ้างชาติข่มเหง ใช้บุญเป็นบทเพลง มาหว่านล้อมกล่อมหากิน โปรดตรองและมองตาม ในถ้อยความมิเล่นลิ้น น้อมนำคำเพลงพิณ มาขับสายด้วยลายธรรม เมื่อครั้งอดีตกาล ผู้หนึ่งพานภิกษุล้ำ ปุจฉาหาแก่นธรรม ถามหัวใจในศาสดา ภิกษุผู้รู้รอบ เผยใจมอบซึ่งคาถา ขึ้นต้น ..เยธัมมา เหตุปปภวา..ธรรม
13 มิถุนายน 2546 20:21 น. - comment id 146950
ทั้งหลายที่เป็นผล ล้วนหลากล้นจากเหตุนำ เหตุดับก็สิ้นกรรม ทรงชี้ชอบมอบมรรคา สมุทัยคือตัวการ ให้เบิกบานด้วยตัณหา เป็นเหตุแห่งชีวา ให้เวียนว่ายในกงกรรม หลงผิดคิดอยากได้ จึงทำให้พลาดถลำ ทำดี-ชั่วเป็นกรรม เพราะอยากทำและอยากมี ทั้งบุญและทั้งบาป ก็เอิบอาบจิตย้อมสี ลุ่มหลงในโลกีย์ มีเหตุกรรมนำเหตุการณ์ ดุจดังผู้หว่านข้าว ทุกย่างก้าวหวังอาหาร คือข้าวเปลือกเต็มลาน มาขัดสีให้พีมัน เช่นเดียวกับเรื่องกรรม ที่น้อมนำข้าวเปลือกนั้น คือกล้าที่ปลูกกัน บนผืนนาหาผลพันธุ์
13 มิถุนายน 2546 20:37 น. - comment id 146953
เช่นเดียวกับเรื่องกรรม ที่น้อมนำข้าวเปลือกนั้น คือกล้าที่ปลูกกัน บนผืนนาหาผลพวง ทำบุญ...คือกล้าดี ทำให้มีผลใหญ่หลวง ทำชั่ว...คือกล้ากลวง ทำผลน้อยด้อยราคา อีกเปรียบกับภพชาติ การไถ่คราดและหว่านกล้า คือชาติก่อนเกิดมา เตรียมส่งต่อก่อปัจจุบัน ชาตินี้คือรวงข้าว ที่พร่างพราวผลพวงนั้น หุงกินแต่ละวัน เพื่อยังท้องไม่หมองทน ชาติหน้าคือกล้าใหม่ ที่หมายใจให้ส่งผล เพาะเพิ่มเติมกมล เก็บยุ้งฉางไว้พลางกาล
13 มิถุนายน 2546 20:51 น. - comment id 146954
ทำเหตุจึงมีผล กรรมเวียนวนในสังสาร หาใช่ใครกุกาล เรื่องภาพชาติให้ขลาดกลัว ที่ตายในชาตินี้ สิ้นชีวีคนรู้ทั่ว ที่ตายก็เพียงตัว เรียกมรณะภยกรรม แต่กรรมที่ทำไว้ ยังรอให้ผลหนุนนำ ตายดับและรับกรรม เกิดทันทีมิเว้นกาล เกิดขึ้นเป็นอะไร อยู่ตรงไหนในสังสาร ก็เพราะกรรมบันดาล ให้เป็นไปในเหตุเดิม ทำดีได้ผลดี เป็นเช่นนี้หาแต่งเติม ทำชั่วชั่วเหิมเกริม ได้ผลบาปย้อนอาบตน ผู้ที่ปัญญา จึงรู้ว่าทางมรรคผล ต้องเร่งกระทำตน เพื่อผลดีมีในทาง แม้นบุญจะให้ผล เวียนชีพตนในยุ้งฉาง แต่ยังใกล้หนทาง ที่จะสร้างวิวัฏฏ์กรรม ทำทานให้ผลเลิศ ได้กำเนิดในสวรรค์ พ้นจากความอธรรม ในอาชีพที่บีบครอง เป็นแหล่งโภคทรัพย์ ให้หยิบจับมิมีหมอง แจกจ่ายตามหมายปอง ละความโลภที่โฉบใจ ทาน ศีล ภาวนา จึงมีค่าเลิศพิไล ปรับตนให้พ้นภัย ที่ละขั้นอย่างมั่นคง เช่นนี้พระศาสนา จึงสอนว่าอย่าไหลหลง ยังชีพบนทางตรง บำเพ็ญธรรมกรรมกิริยา เพื่อละการเพาะเหตุ ให้อาเภทแก่ชีวา เจริญวิปัสสนา เพื่อถอนรากซากอธรรม
13 มิถุนายน 2546 20:51 น. - comment id 146955
งามกลอน ฉ่ำใจรสธรรม น้อมใจจดจำ สาธุ มีแจม โอ้ว่าฉัน เดินอยู่ อย่างเดียวดาย หาความหมาย ป่าช้า สุดเงียบเหงา อนิจจา อ่อนหัด จึ่งเกรงเงา เพ่งดูเขา ทิ้งร่าง นอนเรียงราย ในป่าช้า ซากเน่า เขาหน่ายหนี ตั้งสติดี ดูจิต ไม่ซัดส่าย ประจักแน่ แท้สิ้น ขันธ์มลาย ปลง สังเวช กายา สูรย์สู่ดิน ธุรกิจ กำไร หวังสูงสุด สงครามฉุด ฆ่าฟัน ไม่สุดสิ้น กอบวัตถุ ไว้มาก หวังเสพกิน ลืมถวิล ค่าคน ที่ควรมี น้อมเรียนธรรมจากพี่ดอกแก้วครับ สาธุ
13 มิถุนายน 2546 20:54 น. - comment id 146956
เป็นคำตอบที่พอใช้ได้ไหมคะคุณฤกษ์ ...ระหว่างที่ตอบนี้ มีกิจธุระมาพัวพันอยู่มิได้ขาด ขออภัยนะคะถ้าหากเนื้อความจะไม่ปะติดปะต่อกันนัก ... ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งค่ะที่มาเป็นแรงสนับสนุนให้มีโอกาสสร้างงานกุศลนี้ค่ะ.
13 มิถุนายน 2546 21:07 น. - comment id 146959
ขอบคุณมากค่ะ...น้ำ ..ที่ให้ความเย็นใจพี่ดอกแก้วเสมอที่พบกัน ...ขอบคุณมากค่ะ
16 มิถุนายน 2546 01:36 น. - comment id 147332
กราบขอบพระคุณพี่ดอกแก้วที่กรุณาหงายกะลาที่คว่ำไว้ให้เห็นกระจ่างซึ่งจะยังประโยชน์แก่สาธุชนทุกผู้ที่ได้อ่าน และต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่ทำให้พี่ดอกแก้วต้องเหน็ดเหนื่อยกับผู้โง่เขลาเบาปัญญามาถึงสองครั้งสองครา...