**..ฉันจึงเขียน กลอนรัก ไว้สักบท เพื่อประชด หัวใจ อันใสซื่อ ส่งเป็นสาส์น แทนช้ำ ต่อน้ำมือ ผู้ที่ถือ รักฉันไว้ ไม่ภักดี **..ในกระดาษ จารจัก สลักว่า ขอหนีหน้า คนที่ลวง ห้วงใจพี่ เป็นมลทิน กินใจ ในราคี จะแรมรอน หลีกลี้ หนีจากกัน **..แผ่นดินกว้าง สุดไกล แผ่ไพศาล อย่าได้พบ พ้องพาน แม้ในฝัน แม้นเธอเกิด บนสรวง เป็นดวงจันทร์ ฉันจะเป็น ตะวัน จากนั้นไป **..เป็นสัญญา ขาดเสียที สุดที่รัก เธอหาญหัก อกฉัน อย่างหวั่นไหว ความหมองหม่น เอ่อท้น ล้นดวงใจ ความหมองไหม้ กลับติด ประชิดตาม **..นี้คือบท สุดท้าย ในสาส์นรัก ฉันเจ็บหนัก หทัย ที่ไหวหวาม พิษความช้ำ ลุกไล่ ดั่งไฟลาม จนถึงยาม รักไร้ สิ้นไมตรี...
13 กุมภาพันธ์ 2546 15:09 น. - comment id 108762
If I could be a postman For just one single time, Id choose to carry valentines so lovely and so fine. I would not mind the heavy load, Or mind my tired feet. If I could scatter happiness up and down the street.
13 กุมภาพันธ์ 2546 17:31 น. - comment id 108777
....... อึก ..อึก อึก !! อึกๆๆๆๆ ...... (กลืนน้ำลายอึกใหญ่หลายๆอึก) .... เด็ด ขาดกลอนนี้ หนักแน่น + เศร้า ดีจังคะ ..... กลอนรัก ..หุหุ
14 กุมภาพันธ์ 2546 07:07 น. - comment id 108867
ขนาดกลอนรักยังไม่ทิ้งแนวปรัชญา แล้วมันจะเรียกว่ากลอนรักได้ไงล่ะ แต่มั่นคงในความหมายมากเลยนะ
14 กุมภาพันธ์ 2546 19:08 น. - comment id 108946
เห็นด้วยกับพี่ลมเลยครับ แต่ความหมายก็ยังดีเหมือนเดิม ไม่ทิ้งแนว
14 กุมภาพันธ์ 2546 22:35 น. - comment id 108982
ขอขอบคุณทุกๆความเห็นครับ