กรีดร้อง...เป็นเสียงลม
เสี้ยว
เมื่อโลกแยกเราออกห่างจากตัวเอง
และทุกสิ่งที่ทำไม่ได้มาจากความต้องการที่กรีดร้องภายใน
ซ้ำร้าย มันยังไม่เปิดโอกาสให้เราได้เงี่ยหูฟังเลยสักครั้ง
ว่าแท้จริงแล้ว หัวใจกำลังบอกเราว่าอะไร
ใจเอย... ใจเอย...
นานเท่าไหร่แล้วที่ต้องดิ้นรนอัดอั้น
เพราะความนึกคิดถูกวาทกรรมที่แข็งกระด้าง
เคลือบจิตวิญญาณด้วยสีดำราวช็อกโกแลตปีศาจ
จนไม่รู้ว่าภายใต้กระดองเหตุผลและความรู้ที่สร้างขึ้นนั้น
มีความอ่อนไหวบอบบางที่สวยงามซ่อนอยู่ในนั้น
อนิจจา...
ความอ่อนโยนที่เคยเริงระบำอยู่ในหัวใจ
...กำลังเดินทางสู่ความพ่ายแพ้... อย่างกะปลกกะเปลี้ย
ใช่ไหมเล่า ที่น้อยยิ่งกว่าน้อย
ดวงตาจะได้มองฟ้าจนอิ่มเมื่อยามสาง
และก็ใช่ไหมเล่า ที่ยากยิ่งกว่ายาก
จะได้สูดลมหายใจของดอกหญ้าเมื่อยามอาบแสงสุดท้ายของวัน
แล้วจะเอาแรงจากไหนมาเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งแรงบันดาลใจ
ที่ก็มีแต่จะเหี่ยวเฉาลงไปทุกขณะ
เวลาถูกจัดสรรมาให้แต่ละชีวิตไม่มากนัก
ก็เพียงแค่ยาวนานพอจะให้ได้เรียนรู้จักตนเอง
แต่กระนั้นเราก็ยังปล่อยให้อะไรสักอย่าง
มาฉุดกระชากโมงยามอันแสนสั้นของเราไป
แล้ววันหนึ่งก็จะหมดลง
โดยที่เรายังไม่ได้ใช้สิทธิแห่งชีวิตเลยแม้แต่น้อย
ช่างโง่เง่า น่าสงสาร และน่าหัวเราะเสียนี่กระไร
ได้แต่ก่นด่าไปในความเงียบ
เพราะลมหายใจที่ได้แค่ผ่านเข้าผ่านออกไปวันๆ นั้น
มันแผ่วเบาเกินไปจะเปลี่ยนแปลงโลกที่เป็นอยู่
ก็ใครหนอ ช่างสรรค์สร้างวาทกรรมเจ็บแสบ
อาบน้ำผึ้งให้ดูดกลืนอย่างเอร็ดอร่อย
รู้สึกไหมเล่า ถึงกลิ่นคาวเลือดของเนื้อหนังแห่งมวลมนุษยชาติ
อันถูกแล่หลุดออกเป็นชิ้นๆ
ชิ้นแล้ว ชิ้นเล่า
เจ็บบ้างไหม เจ็บไหม
หรือเพราะว่าใบมีดแห่งความมั่งคั่งนั้นช่างน่าขยอกกลืน
เราจึงเฉาะลึกลงไปในผิวกายของเราเรื่อยๆ
ลึกลงไปเรื่อยจนถึงจิตใจ
สุดท้ายน่ะหรือ...
มันเป็นเรื่องเศร้า
ก็นั่นไง เห็นไหม เห็นไหม
มนุษยชาติจบลงแล้ว ด้วยการกัดกินหัวใจของกันและกัน
ทางเลือกของชีวิตแบบอื่นๆ มีไหม
ไหนล่ะ อิสระเสรี
ไหนล่ะ อิสระในการเลือกเส้นทางของตัวเอง
ไหนล่ะ ชีวิตที่ปราศจากการคุมขัง
เราถูกขัง ใช่เราถูกขัง
ขังปิดตายอยู่ในวาทกรรมอันแข็งกระด้างและไร้ชีวิต
มืดบอดอยู่ในอารยธรรมแห่งการทำลายล้าง
ที่มันขยอกกลืนเราเข้าไปตอน 8 โมงเช้า
แล้วคายกลับออกมาเมื่อตะวันตกดินไปแล้ว
เหมือนชานอ้อยที่ถูกเคี้ยวจนแห้งผาก
เรากลายเป็นฟันเฟืองหนึ่งที่คอยหมุนระบบ
เพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ไปได้
เพื่อให้มันกลืนกินเราต่อไปได้
เพื่อให้มันมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ
เพื่อให้มันกลับมากดขี่ข่มเหงเรา
อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง
มันมุ่งหวังให้เราตกเป็นทาสมันไปตลอดกาล
โอ... เงินตรา
โอ... ทุนนิยมบัดซบ และเสรีประชาธิปไตยเลวทราม
นี่หรือ โลกใบใหม่ที่ทุกคนกินดีอยู่ดี
นี่หรือ สิ่งที่เรารอคอย
นี่หรือ
นี่ล่ะหรือ?
เสียงก่นด่าแปรเปลี่ยนเป็นเสียงกรีดร้อง
หากเป็นเสียงกรีดร้องที่ไม่เคยระคายไอ้ปีศาจทุนตัวนี้
มันไม่เคยฟังคำทวงสัญญาที่เคยให้ไว้ถึงชีวิตที่ดี
เสียงกรีดร้องจึงดังก้องในความเงียบงัน
สงัดดังพายุในแดนดงดิบอันห่างไกล
ไม่ได้ยิน แปลว่าไม่เคยเกิดขึ้น
เสียงร่ำไห้ของหัวใจอันดิ้นรน
ที่จะสลัดให้หลุดจากฤทธิ์น้ำกรดเงินตรานั้น
ในที่สุด ก็จะเลือนไปจากความรับรู้อันชินชา
ปลิวคว้าง
ลอยลมไป
แล้วนั่น
จางหายไปแล้วในม่านเมฆ
ความเงียบเป็นนิรันดร์เสมอ
อนิจจา...