ปีเก่าผ่านไปแล้ว แก้วหน้าบ้านปลิดกลีบร่วง จำปีรอรับเจ้าขวัญดวง กี่ปีล่วงกี่วันลาตั้งตารอ... .......................... ปีใหม่ปีนี้ คงเป็นปีที่...ทุกดวงใจคงหวังตั้งใจ กราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมอธิษฐานจิตขอพร ให้แผ่นดินธรรมแผ่นดินทองของเรา ได้ผ่านพ้นความหมองเศร้า ให้เรืองรองด้วยพลังรัศมีบุญ แห่งการรู้รักสามัคคี มีเมตตา ลดมิจฉาทิฏฐิ เพื่อสร้างศานติสุขสงบเย็น รู้ทำใจให้เป็นสุข เลิกรานรุกกันด้วยถ้อยคำ ที่นับวันจะยิ่งกระพือโหมเพลิงกิเลส ให้มีแต่การแตกแยก ที่ท้ายสุดแล้วหมายถึงการ*สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน* สิ้นสุขไปทุกหย่อมหญ้า... และกว่าจะซึ้งค่าคำ *เราต่างก็เกิดมาร่วมแผ่นดินแม่มาตุภูมิเดียวกัน* ก็สายเกิน.. หยุดคิดร้าย หยุดทำลายชาติด้วยน้ำลาย หยุดการใช้กำลังเข่นฆ่า ใช้สติมีปัญญา เพียรเจริญสติภาวนา เพื่อพัฒนาจิตตัวเอง ให้รู้ผิดชอบชั่วดี รู้พลีเสียสละ ลดละอัตตา อันคือกิเลสตัณหาที่พาลพามวลมนุษย์ ให้รบรากันมิสุดสิ้น เพราะ.. ความอยากมีอยากเป็น... ปีใหม่นี้... เป็นปีที่ดวงหวังตั้งใจ จะเจริญสติให้มากขึ้นมากเข้า ตราบเท่าที่ลมหายใจยังมี และ.. ตั้งใจว่าจะตัดสินใจทำโครงการบางสิ่ง ที่ประวิงเวลาไว้นานมากแล้ว.... ให้ฝันอันแสนสงบงามนั้นพลันเป็นจริงเสียที หลายวันมานี้ ตั้งใจอ่านหนังสือธรรมะ ประดับสติปัญญา สร้างอัญมณีใจ ชื่อ*Snow in the Summer* *หิมะกลางฤดูร้อน* เป็นหนังสือธรรมะที่ทำลายทุกสถิติ ด้วยยอดพิมพ์กว่าหนึ่งล้านเล่ม ในสิบภาษาทั่วโลก รวบรวมจากการเขียนจดหมาย ของท่านสยาดอ อู โชติกะ พระอาจารย์พม่ากับลูกศิษย์ของท่าน ที่สำหรับดวงแล้วช่างงดงามและให้ความล้ำค่า ทางจิตวิญญาณเสียเหลือเกิน น่าแปลกใจ.. ที่ท่านเลือกวิถีศึกษาธรรมจาก การปลีกวิเวก เป็นพระป่าคล้ายกับท่านเรียวกัน ที่ดวงเคยอ่านบทกวีที่แสนละไมละมุนใจ ตรึงตราประทับใจในความเดียวดายล้ำลึก มานานหลายปีแล้ว ใจดวงจึ่งประดุจดั่ง กำลังได้รับละออละอองหยาดน้ำค้าง ที่ใสเย็นดังเช่นหยาดฝนที่พรมพร่าง ให้ได้พบทางสว่าง ได้สัมผัสตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ผ่านธรรมชาติชีวิตของพระป่า องค์นี้ ที่ท่านน้อมนำคำสอนสัจจธรรม ด้วยการบ่มร่ำ ให้เราเพียรเจริญสติ โดยการเลือกมีวิถีชีวี อย่างสงบสมถะ มีอิสระดั่งพญาราชสีห์แห่งขุนเขา..เช่นฉะนั้น .............. *คัดความบางตอน จากประวัติพระโชติกะที่แนะนำตัว* *อาตมาจบวิศวกรรมไฟฟ้า อ่านทฤษฏีวิทยาศาสตร์ที่ล้ำยุคมามากมาย รวมทั้งเรื่องหลุมดำ จึงเข้าใจแจ่มแจ้งเลยทีเดียวว่า คนเรามั่นใจในทุกๆอย่างน้อยนิดเพียงใด ใช่อาตมาต้องการอิสรภาพมาก เรื่องนี้เราต้องเข้าใจกันตั้งแต่เริ่มต้น อิสรภาพของอาตมามิได้มีไว้ซื้อขาย การต้องใช้ชีวิตที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ทำให้รู้สึกเหมือนถูกจองจำ อาตมาก็คือราชสีห์ตามประเพณีของพม่า ชอบที่จะท่องไปบนขุนเขาที่กว้างใหญ่ เยี่ยงสิงโตภูเขา อา อิสรภาพ อาตมาทนข้อจำกัด ความผูกพันหรือการผูกมัดใดใด ไม่ได้ทั้งสิ้น แม้แต่การยึดติดก็เป็นสิ่งที่ไม่เคยชื่นชอบ เพราะมันจำกัดอิสรภาพ ผู้คนมักยึดติดกับอาตมา จึงเป็นอันตรายต่ออิสรภาพของอาตมาอย่างยิ่ง อาตมาไม่คิด จะยอมแลกเปลี่ยนอิสรภาพกับอะไรได้ ตอนนี้อาตมา*ตามรู้* สิ่งที่เป็นคุกจองจำจิตใจของตัวเองได้มากขึ้นทุกทีๆ แม้จะศึกษาพระไตรปิฎกมามาก แต่ทุกครั้งที่เข้าไปหยั่งรู้ หรือ เข้าใจสิ่งใดในใจได้กระจ่างแจ้ง อาตมาก็ยังรู้สึกตื่นเต้น เหมือนนักสำรวจที่ค้นพบอะไรใหม่ๆอยู่นั่นเอง การค้นพบสัจจธรรมอันเรียบง่ายเหล่านี้ ด้วยตนเองช่างเป็นความสุขล้น ยูเรก้า (ภาษากรีกแปลว่าฉันพบแล้ว) อาตมาพบแล้ว อาตมาแทบจะทนผู้คนที่พูดราวกับว่า รู้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งๆที่แค่อ่านมาจากตำรับตำรา ไม่ได้เลย แต่บางครั้งก็จับได้ว่าตัวเอง ก็ยังทำอย่างนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ทำน้อยลงเรื่อยๆ อาตมาคือราชสีห์แห่งขุนเขา เดียวดายแต่ไม่เหงาอีกต่อไป เพราะเรียนรู้แล้วที่จะอยู่ตามลำพัง บางครั้ง อาตมาเคยอยากเล่า ความเข้าใจอันลึกซึ้งให้คนอื่นฟัง แต่ยากจะพบใคร ที่ฟังแล้วรู้เรื่องในสิ่งที่อาตมาเล่า ว่าควรจะเข้าใจและเห็นคุณค่ามันอย่างไร ส่วนใหญ่อาตมาเป็นฝ่ายฟัง เพราะคนชอบมาคุยด้วย ความต้องการอิสระและเป็นตัวของตัวเอง โดยไม่พึ่งพิงใคร คือความปรารถนารุนแรงที่สุดของอาตมา อิสรภาพมีมีหลากหลายรูปแบบและระดับ อาตมาคงต้องยอมเดินไปตามทาง ที่ธรรมชาติของตัวเองนำไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม อาจต้องยอมให้หมู่มิตรผิดหวัง มีคนคาดหวังในตัวอาตมามากมายเหลือเกิน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะช่วยให้ความคาดหวัง ของเขาสัมฤทธ์ผล อาตมากำลังมุ่งหน้าไปสู่อิสรภาพของตัวเอง มิใช่หันย้อนกลับไปหาการอยู่ร่วมในกรอบ ของสังคมอีก อาตมาเคยอ่าน *Memories, Dreams, Reflections ของ คาร์ล จุง * ความคิดของเขาน่าสนใจดี บางอย่างที่เขาพูดเกี่ยวกับตัวเอง ช่างเหมือนกับตัวอาตมา นี่คือข้อความบางตอนของเขา *เมื่อตอนเป็นเด็กฉันรู้สึกเดียวดาย แม้ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ เพราะฉันรู้แจ้งในสิ่งที่เห็นได้ชัดว่าคนอื่นไม่รู้ และคนส่วนมากก็ไม่ได้อยากรู้ ความเปล่าเปลี่ยว ไม่ได้มาจากการไม่มีผู้คนรายล้อม แต่หมายถึง การสื่อสารสิ่งที่ตนเห็นว่าสำคัญยิ่งกับผู้อื่นไม่ได้ หรือหมายถึง การยึดมั่นในความเห็นที่ผู้อื่นไม่ยอมรับ ดังนั้นใครก็ตามที่*หยั่งรู้*มากกว่าผู้อื่น ย่อมต้องเปล่าเปลี่ยวเดียวดายกันทุกคน แต่ความเปล่าเปลี่ยวนี้ ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับการสร้างมิตรภาพแต่อย่างได เพราะไม่มีใครอ่อนไหวกับมิตรภาพ เกินกว่าคนเปล่าเปลี่ยวหรอก อีกทั้งมิตรภาพ จะเติบโตงอกงามได้ต่อเมื่อแต่ละฝ่าย ระลึกว่าต้องจดจำความเป็นตัวของตัวเองไว้ให้ได้ โดยไม่พลั้งเผลอคิดว่าตนเป็นคนอื่น (เมื่อพูดถึงการกลับมาเกิดใหม่ ในกรณีของอาตมา เหตุปัจจัยของอาตมาที่มาเกิดใหม่ น่าจะมาจากแรงผลักดันที่ต้องการรู้แจ้ง เพราะดูจะเป็นองค์ประกอบที่เข้มข้นที่สุด ในธรรมชาติของอาตมา ................. ............................ อีกตอนจากคาร์ล จุง ที่ท่านโชติกะยกมา *ฉันเคยอยู่มาแล้วโดยไม่มีไฟฟ้าใช้ เราก่อเตาผิงและเตาไฟเอาเอง ยามค่ำคืนเราจุดตะเกียงใบเก่า ไม่มีน้ำประปา ฉันสูบน้ำจากบ่อขึ้นมาใช้ ผ่าฟืนเอง ปรุงอาหารเอง การดำรงชีวิตอย่างง่ายๆแบบนี้ ทำให้ชีวิตของเราเรียบง่ายตามไปด้วย ความเรียบง่ายนี่มันเอาการอยู่นะ ที่ Bollingen เราแทบจะสำเหนียกความเงียบ ที่รายล้อมเราได้ ที่นั่นฉันใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย กลมกลืนไปกับธรรมชาติ ท่ามกลางความสงบสงัดที่เหนือคำพรรณนาใดๆ.. .................... ........................... ......................... นั่นคือเสี้ยวนึงในหนังสือ *Snow in the Summer* *หิมะกลางฤดูร้อน* ที่หวังจักช่วยผ่อนเพลา ให้ทุกท่านได้พบกับละอองงามเงา แห่งความใสฉ่ำเย็น ในวันปีใหม่นี้ หาซื้อมาอ่านและกำนัลแด่ทุกดวงใจ ผู้เป็นที่รัก ให้ได้พบกับตัวตนที่แท้จริง ชีวิตที่แท้จริง อันประดุจดั่งดวงมณีที่พรายพร่างสว่างโรจน์ อยู่ ณ กลางใจเราเอง นี่เอง ใช่ไกล..ไหนเลย...! ด้วยรัก...