อุษาสางแล้ว ดวงดอกแก้วพร่างพรูรับปรายฝนปราด มากับสายแสงอาทิตย์แรกแย้มยามเช้าตรู่ นกเขาขันคูอยู่ริมหน้าต่างกระท่อมไพร สาวนานอนนิ่ง เพียงลืมตาทอดใจรับรู้ถึงสัมผัสงามละมุน แห่งสายวสันตฤดู เดือนเสี้ยวดวงเศร้า ยังอ้อยสร้อย ลอยเด่นแขวนฟ้า กำลังจะร่ำลาหมองเมฆหม่น ที่ปรอยฝนบดบังมาทั้งคืน ชื่นลมฝนพัดพรายมาให้หนาวเนื้อ เจืออวลกลิ่นดวงดอกไม้ริมชายคา ทั้งการะเวก กรรณิการ์ จำปีสูงเสียดฟ้า ที่ต่างพากันผลิละออแย้มช่อให้ชม เชย ชิด.... สนิทในนวลชีวิตสาวนาบ้านป่าไพร ที่ดวงใจรักดิน ดิบเดิม เพื่อเติมต่อตามรอยเบื้องพระยุคลบาท แห่ง.... พระมิ่งขวัญแก้วโพธิฉัตร ดั่งนพรัตนมณีศรีชาติศรีแผ่นดิน นาม*ภูมิพล*ภูมินทร์ *ยอดมหากษัตราธิราช.. ธ ผู้เป็นดั่งปราชญ์นำทางไสวแด่ผองชนคนไทย ทั้งผืนพสุธา... ให้สาวนาได้ตระหนักถึงความงดงามยิ่งใหญ่ ในดวงใจ..ณ กลางใจ ยามรำลึกนึกเทิดศรัทธาไว้เหนือเกล้าเหนือกระท่อม ยามนี้... ทั่วทั้งบ้านเมืองราวกับมีแต่เรื่องร้อนรุม ประชาไทต่างพากันสุมขอนไฟให้ลามไล้ไหม้ไป ทั่วทั้งผืนหล้า หาได้ซึ้งค่าพระราชดำรัสไม่ ที่ทรงตรัสไว้ให้รู้รักษ์สามัคคี รู้สมานฉันท์ปันพลี ปันดี รู้สร้างชีวีให้สงบสมถะพอเพียง เลี่ยงการเป็นทาสวัตถุ รู้ใช้ชีวิตปุถุชน คนธรรมดาด้วยปัญญา รู้คุณค่าแห่งทรัพยากรธรรมชาติ รู้ฝากปากท้องไว้กับอาชีพเกษตรกรรม อันคือความอิ่มหนำสำราญทั่วถ้วนหน้า ใช่..บ้าหลงไปในโลกหลอนลวง บ่วงมนต์มารเงินตรา ที่หาไม่พอซื้อทันทุกสิ่งที่ใจปรารถนา ผลิตมากวาดก่อ ล่อให้เกิดกิเลสสิ้นทั้งโลกแสนโศกสะเทือน ทั้งยังก่อให้เกิด มลมวลสารพิษ ที่ทุกชีวิตต้องรับภาระ ผ่อนความตายวันละนิด ไร้สิทธิ์ร้องขอเมตตาต่อฟ้าดิน อันกระหน่ำซ้ำซัด ทั้งจากภัยพิบัติ ที่เป็นวงวัฏฏแห่งการทำลายหมายพิโรธสอนสั่ง ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว และ.. นี่คือสิ่งที่ดวงใจสาวนาไหวหวั่น สิ่งเดียวที่จะทำได้คือสร้างขวัญ ให้กับดวงชีวาชีวี ของตัวเอง บรรเลงไปตามเพรงพรหมชะตา ที่สาวนาผู้รักข้าวกล้าเรียวรวง รักปวงดวงดอกไม้ป่า รักไร่นา พืชผัก รักอาทิตย์แรกแย้มยามแต้มผืนนา ให้ข้าวระย้าอาบทาราวสีทองสุกปลั่ง รักสองฝั่งคลองลำประโดง รักเสียงปลาโผงฮุบเหยื่อ รักนอนดูฟ้าระเรื่อริมบึง รักฟังเสียงมวลหมู่ภู่ผึ้ง ดอมดมพรมจูบไล้ละออละอองเกสร ดวงดอกไม้แสนหวานยามแย้มเผยอกลีบ บางเบาเสลาสล้างรอ รักฟังเสียงพ้อจากเพลงใบข้าว กรีดกราวยามต้องลมหนาว ลมท้องช้างพัดพราย รักสายลมแสงแดด ท้องฟ้าคราม รักงามแห่งแม่ช่อดอกกระถินตำลึงริมรั้ว รักฟ้าสลัวยามเข้าไต้เข้าไฟ รักหว่านไถไม่แปรรอย รักวัวควายน้อยคู่กาย รักสายน้ำระริน รักดิน น้ำ ฟ้า ไฟ ลม ด้วยดวงใจที่ถูกหลอมเพาะบ่ม ให้หอมห่มด้วยความบริสุทธิ์ใสแห่งธรรมะ ธรรมชาติ อันคือ.. ความสงบสว่างสะอาดตราบชั่วนิจนิรันดร์........ ....................................................... ใจสาวนา..รออ้ายดั่งสายวสันต์..พร่างสู่ทุ่งขวัญแลทุ่งใจ... มองฟ้าครามยามอ้ายลามาหลายฝน ดอกน้ำตาหล่นปนดอกข้าวทั้งเช้าสาย ดอกคิดถึงคลึงคลอทุยยามขี่กาย ดอกพิสวาทวายตายทั้งเป็นมิเว้นวัน ลมฤดูพัดฤดีกี่ปีล่วง ทั้งบัวหลวงบัวผันสะพรั่งฝัน รอคนดีพายเรือน้อยกลางแสงจันทร์ เก็บเกี่ยวขวัญให้ไออุนละมุนละไม จะเดือนสามเดือนสี่ใครขี่ทุย ให้เฝ้าลุยท้องนาฟ้าสวยใส สู่กระท่อมทองกวาวมิหนาวใจ หอมข้าวใหม่นาน้อยหุงคอยรอ จะกี่แล้งกี่ร้อนหอมมิห่าง มิอ้างว้างสู้ความจนมิเคยท้อ แม้ความจนเต็มเกวียนก็เพียรพอ สองแรงรอรินหยาดเหงื่อเพื่อผืนดิน ดอกโสนบานไสวไม่สิ้นหวัง ข้าวเหลือซังรอหว่านใหม่ไม่รู้สิ้น ถึงรวดร้าวหนาวกระดูกปลูกไม่พอกิน จะไม่สิ้นคิดขายนาน้อยคอยดวงใจ ไร่สาวนาสาวไพรรับไถภักดิ์ จากน้ำรักน้ำเหงื่อหอมงามใส จากกลิ่นโคลนกลิ่นควายกลิ่นชายไพร รับหวามไหวให้ตกพรูสู่เนินทอง ใบกระถินผลัดใบรอผลิกอใหม่ ริ้วลมไพรไล้ตะแบกหวานบานทั่วหนอง ทั้งบัวตูมบัวบานรออ้ายเด็ดเคียงประคอง ทุ่งรวงทองรอทุยมาลุยนา ฝนหลงฤดูเพียงฤดีอ้ายอย่ากรายหลง ท้องนาคงแนวเหลืองสุกปลั่งพรั่งพรรษา ลูกข้าวหลงเหลืองไสวในวิมานนา หญิงชราครองตนเก็บขึ้นลาน ไกลแค่ฟ้าตามองไขว่ไปตามฝัน เมื่อสวรรค์เยือนหล้าแสนหอมหวาน ทุ่งรวงทองห้วยหนองคูนตระการ ดุเหว่าไพรร้องเศร้าหวานขานถวิลสิ้นสนธยา สาวบ้านนาถือเคียวเกี่ยวลูกข้าว แม้นเหน็บหนาวเพียงใดหลังสู้ฟ้า หัวใจทองผ่องพิสุทธิ์พลีบูชา เทพีพสุธามิสิ้นรักภักดิ์เรียวรวง ฝังความฝันคำนึงถึงใครหนึ่ง ให้ลึกซึ้งจมแม่พระธรณีที่แหนหวง เก็บรวงข้าวสุดท้ายไว้เสี่ยงดวง เผื่อบวงสรวงแม่ขวัญข้าวคราวใครคืน กี่วสันต์รอมาฟ้าเปลี่ยนสี ชั่วชีวีมีชีวารักนาผืน เจ้านกไพรโผบินไปไม่กลับคืน สาวนายืนหยัดอยู่คู่นาใจ กี่สายฝนสายฝันสวรรค์ลอย สักกี่ร้อยตำบลไร้รวงข้าวพราวไสว จิตสำนึกใครจะอยู่จะตายไป ใจสาวนาสาวไพรไม่ทิ้งกล้านาสุดท้าย!รออ้ายคืน! ........................ ข้าวรวงสุดท้ายเมื่อปลายหนาว (The Last Life of Season) ...ลำน้ำน่าน แด่ฤดูเก็บข้าวหลงฝัดข้าวลาน อุทิศแด่คุณยายชราแห่งบ้านดอนดอกพะยอม มองฟ้าครามยามบ่ายช่วงปลายฝน ช่อมะม่วงดอกหม่นหล่นเป็นสาย เหนือตำบลข้าวหลวงรวงพลิ้วพราย กระจัดกระจายห่มหล้าท้องนานั้น ลมฤดูบอกข่าวหนาวจะล่วง ดอกจานจวงบานสะพรั่งทั้งบัวผัน ตื่นมารับแสงสรรค์รังสิมันตุ์ เกี่ยวไออุ่นแห่งวันต่อฝันไป ต้นเดือนสามฟ้าครามไกลในลิบลิ่ว เมฆหม่นเอยจะปรอยปลิวสู่แห่งไหน สู่ปลายยุ้งทุ่งข้าวของสาวไพร ฝากทายทักข้าวใหม่ใครหุงคอย เดี๋ยวแล้งร้อนเดี๋ยวหนาวเคล้าดอกฝน แต่ความจนไม่เปลี่ยนเต็มเกวียนหงอย หากทุ่งฝันบิดเบือนและเลื่อยลอย อาทิตย์เอยอย่าเพิ่งคล้อยซบอกดิน ฝนสั่งฟ้าลาดินใครสิ้นหวัง เมื่อนกนาทิ้งรวงรังไปเสียสิ้น ไปรวดร้าวข่าวว่าไม่พอกิน ขายนาน้อยให้เหลือบริ้นถิ่นกรุงไกร ให้คนเมืองหว่านไถในไร่สาว ฝนเม็ดร้าวตกพรูสู่เนินไศล สิ้นฝนหมองผองคนจนจวนสิ้นใจ ปวดระบมตรมในไร่นาทาม ใบกระถินแห้งเหี่ยวร่วงเกรียวกราว ริ้วลมว่าวไล่ลอดยอดมะขาม เห็นเมฆลอยคล้อยเกลียวใจเปลี่ยวตาม คล้ายนิยามบ้านป่านาวิชน ฝนหลงฤดูลาสายปลายเดือนแล้ว ท้องนาแนวเหลืองสุกทุกแห่งหน ลูกข้าวหลงเหลืองไสวในตำบล หญิงชราครองตนเก็บขึ้นลาน ไกลแสนไกลลิบลิ่วทิวฟ้าสูง ลูกยางยูงปลิดลอยลู่สู่ห้วยหาน กระโดนทุ่งแต่งช่อจะรอบาน เมื่อนกเขากู่ขานสิ้นสนธยา หญิงชราถือเคียวเกี่ยวลูกข้าว ริ้วลมหนาวครืนสุดท้ายพัดพรายผ้า ลึกในใจฝนหล่นคล้ายสายน้ำตา ตกต้องฟ้าต้องดินสิ้นแรงรวง ฝังความฝันคำนึงถึงใครหนึ่ง ให้ลึกซึ้งจมดินสิ้นแหนหวง เก็บรวงข้าวสุดท้ายไว้เสี่ยงดวง เผื่อบวงสรวงขวัญค่าพาใครคืน เมฆกระจายไม้ใบเริ่มไกวว่อน นกคืนคอนเถิดหนาอย่าทนฝืน สิ้นยุคทองชาวนาชะตาครืน จะหยิบยื่นภูมิปัญญาทายาทใด โอ้ฟ้าครามยามบ่ายปราดสายฝน ทุกตำบลไร้รวงข้าวพราวไสว จิตสำนึกตายถมสังคมไทย หญิงชรากล้าสุดท้ายสิ้นใจแล้ว! ------------------------------------------ ฝนหลงฤดูหล่นมาปราดหนึ่ง ในยามที่ฟ้าปรวนแปร ประเดี่ยวก็หนาว ประเดี่ยวก็ร้อน ประเดี่ยวก็ฝน ไม่มีความแน่นอนทุกสิ่ง หลังฤดูเก็บเกี่ยวยามนี้ ทำให้นึกไปถึงการเก็บรวงข้าวหลง และฝัดข้าวลาน ของหญิงชราผู้แข็งแกร่งแห่งบ้านดอนดอกพะยอม ข้าพเจ้าหยิบหนังสือเล่มงาม นาม *นกเขาไฟ* ของนักเขียนในดวงใจ ไพฑูรย์ ธัญญา หนึ่งในเรื่องสั้นชุด*ก่อกองทราย* บรรยายไว้ว่า *แดงดอกทองกวาวสาดบานไปทั้งทุ่ง ลมหนาวยังไม่ร้างลาจากหมู่บ้าน มะม่วงพุ่มหนาเริ่มแตกช่อดอกสีขาวหม่นขึ้นคลุมต้น ฟ้าต้นเดือนสามผ่องแผ้วเขยิบสูงเป็นสีคราม ทุกสิ่งทุกอย่างช่างสวยงามและดูดีไปหมด* บทบรรยายบ่งให้เห็นถึงความงามแห่งธรรมชาติ ในยามลมหนาวจะผ่อนลาฟ้าธรรมชาติยังคงงาม และซื่อตรงเป็นวัฏจักรที่แน่นอน และหนึ่งในเรื่องสั้นชุด *ลูกพ่อคนหนึ่ง* วัฒน์ วรรลยางกูร บรรยายภาพเมื่อเริ่มเข้าสู่ คิมหันตฤดู กับการต่อสู่ของหญิงชราชาวนา ไว้อย่างน่าเศร้าและชวนหลั่งน้ำตาว่า *ดูราวโลกนี้มีแต่ยามแล้ง โล่งลิ่ว ไร้ร่มเงา ชายร่างผอมแกร่งโรยล้าจากภูเขาสู่พื้นราบ ร้อนอบผิวผ้าและร้อนลวกไหล่ขวาที่เสื้อเปื่อยขาด สองข้างทางเต็มไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อยสีเทา และสีน้ำตาลซึ่งบัดนี้ดูคล้ายกับถ่านไฟในเตา กำลังส่งเปลวระยิบ เขาเอียงแก้มเช็ดเหงื่อ กับไหล่ซ้าย เงยมองฟ้า มีแต่แดดจ้าจนต้องหยีตา เขาพูดกับหญิงชราว่า *ร้อนนะแม่เฒ่าเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น* หญิงชรามองไปในแดดอันกราดเกรี้ยว รู้ว่าชายหนุ่มและหญิงสาวสมัยนี้ ต่างก็ต้องเดินไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกัน นางก็ได้แต่บ่นพึมพำว่า *เวรกรรม* ทั้งสองเรื่องชวนให้ข้าพเจ้าประหวัด ไปถึงชะตากรรมเกษตรกร และท้องไร่ท้องนาแห่งยุคนี้ ที่นับว่าหาทายาทมาสืบทอดยากขึ้นทุกที หนุ่มสาวทิ้งถิ่นไปทำงานในเมือง ขายที่ขายไร่นา หลายชีวิตไปตกระกำลำบาก หลายชีวิตต้องไปเป็นกุหลาบแดงในโถขาว ชะตากรรมของเขาเหล่านี้คงเป็นอุทาหรณ์ ได้ดีกระมังว่า คนสิ้นผืนแผ่นดินทำกินนั้น น่าเศร้าสักเพียงใด และคงยังไม่สาย ที่จะหันกลับมาอุ้มชูผืนนาสมบัติสุดท้าย ที่บรรพบุรุษให้ไว้เป็นที่ฝังร่าง ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป.. -------------------- รักร้าวหนาวลม (ขับร้องโดย สันติ ดวงสว่าง) เมฆลอยกระจายอยู่ในในฟ้าสูงแลลิบลิว ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อฟ้าสิ้นฝน ฝนสิ้นเหมือนพี่สิ้นใจน้องจากพี่ไปไปพร้อมหยาดฝน คิดถึงหน้ามลหม่นหมอง เห็นบัวดอกงามเบ่งบานกลางบึงแลสะพรั่ง ฝนลาฟ้าสั่งสั่งฟ้าลาดินสิ้นคลอง ฝนลา ลาหนาวข้าวแตกรวงแต่รักลาทรวงสิ้นน้อง โอ้ทุ่งรวงทองเหมือนทุ่งระทม เจ้าทิ้งให้พี่นอนหนาว หนาวจนใจเหน็บ เจ็บดั่งหนาวระกำ ตำทรวงให้ระบม เริ่มฝนเจ้าบอกว่ารักพี่อกหักตอนเริ่มหนาวลม ให้ชมแล้วน้องก็ชัง เมฆลอยกระจายดั่งเหมือนหัวใจลอยละลิ่ว ลมหนาวเริ่มปลิวลิ่วมาเมื่อรักสิ้นมนต์ขลัง ทิ้งทุ่งลืมไถลืมไอ้ทุย ลืมเพื่อนเคยคุยที่อยู่หลัง สิ้นฝนรักจางเมื่อลมเหนือล่อง ...................................
11 มิถุนายน 2551 10:04 น. - comment id 860258
พี่พุดไพรในจินตนา คิดถึงค่ะ
11 มิถุนายน 2551 10:06 น. - comment id 860259
ช่างขยันจารจดถ้อยรสจริงๆครับสาวบ้านนา พุดพัดชา ยังงดงาม และคงเอกลักษณ์ไม่เปลี่ยนเลย คิดถึงครับ
11 มิถุนายน 2551 10:24 น. - comment id 860268
พี่พุดครับทำไมขยันจัง ยาวเหยียด แต่อ่านจบนะครับขอบอก ชอบจังเดี๋ยวอ่านอีกรอบ ทำไมเขียนได้เยอะจัง ครับ มีเอกลักษณ์ดีครับชอบ
11 มิถุนายน 2551 10:30 น. - comment id 860271
อ่านอีกรอบจบละ มิน่าพี่พุดถึงชอบลำน้ำน่าน ผมเพิ่งเคยอ่านนี่แหละ งาม งามจริงครับพี่พุด ทั้งสองคนเลย
11 มิถุนายน 2551 10:51 น. - comment id 860278
น้องมณีจันทร์ ...... มณีในนวลใจพี่สาวนาพี่พุดไพร สาวนามัวไม่ค่อยได้รจนา ถักร้อยสร้อยภาษาดวงดอกไม้ป่า ดอกพื้นบ้าน นานมากแล้วจ๊ะ เพราะ..เวลาแห่งชีวิต มัวไปคิดจะทำรีสอร์ทไพรจ๊ะ และ... ขาดอ้าย.. ที่เคยรักสาวนา รักท้องนา รักข้าวกล้าเรียวรวง รักปวงดวงดอกไม้ไพร รักมาลัยมะลิลา รักท้องฟ้ายามเย็น รักดาวเด่นเดือนพูนดวง มาลาลับล่วง ในเมืองลวง ไปเมืองไกล ทิ้งให้สาวนาป่าไพร ใจไหวหวั่น เฝ้าฝันรอ พ้อให้กลับมานับดาวด้วยกัน มาดอมดมกลิ่นฟางหอม กลิ่นฟืนในคืนฝัน ฝน มาหลอมกมลรวมร่าง ขี่ทุยย่างกรายหมายรักนิรันดร์ ในผืนดินทองแห่งสองเราจ๊ะ.................. แทนที่รัก.... ได้รจนาระบายรักร้อยในสร้อยขวัญ กับวันฝนริน ก็อะนะ รักแทนและรอการ์ดนะคะ พี่พุดไพร... น้องดาวระดะ ในดวงใจพี่สาวนา งานพี่พุดไพร สาวนา หากนับจำนวนตัวอักษรแล้ว คงมากมายนะคะ ที่รักร่ายรจนาภาษาธรรมะ ธรรมชาติ มาฝากพลีเพาะบ่มห่มหอมประดับใจ ให้รวงใจไหวงามพราวดั่งดาวดวงระดะฟ้าเลยค่ะ ในโลกาบรรรพิภพ ถนนสายดวงดอกไม้งาม นามนักอยากจะเขียน กระวีกระวาด ผู้มิขาดที่จะเพียรพยายามทำสิ่งที่รัก แม้น.. จะด้อยค่าดั่งธุลีหล้า หากหวังว่าจักยังประโยชน์ แด่ผืนดินที่ได้ถือกำเนิดเกิดมา ที่รักศรัทธาเทิดไว้เหนือดวงชีวาชีวิตแล้วค่ะ
11 มิถุนายน 2551 11:13 น. - comment id 860294
ขอบคุณครับสำหรับผลงานที่น่าชื่นชม
11 มิถุนายน 2551 11:36 น. - comment id 860298
คุณอินสวน นามปากกาที่พาให้นึกถึงสวนทูนอิน ของนักเขียนนามกระเดื่องฟ้าไทยค่ะ คุณรงษ์ วงศ์สวรรค์ สาวบ้านนา และบุรุษแห่งสายธาร คือลำน้ำน่าน รักธรรมะ ธรรมชาติ ที่พร่างพราวพรายในสายเลือด แห่งสองเราเสมอเสมือนกัน ในโลกฝัน พลันพาให้เรารู้จักกันมานานปีค่ะ แล้วค่ะ และพร้อมเพียรพลีฝันร่ายรจนา ระบายรักระบายใจ เพื่อเสนอสนองความงดงามยิ่งใหญ่ ในดวงใจเรา ที่ยอมสยบศิโรราบ ด้วยความปลาบปลื้มปิติเกษมใจ ในธรรมชาติอันแสนพิสุทธิ์ใสนั้น ท่ามคืนฝันวันลาเลยล่วง ให้มากมวลมนุษยโลก ตกในโศกลวงบ่วงมนตรามายา กิเลสวัตถุ ที่จักพาสู่โลกาพินาศ มากกว่าโลกาภิวัฒน์ หากไม่รู้รักษ์ธรรมะ ธรรมชาติ อย่างโอบเอื้อพึ่งพิงอิงอุ่นกันไป... นะคะ ด้วยรักและรักทุกดวงใจใสงาม ในยามแลเห็นธรรมค่ะ
11 มิถุนายน 2551 18:10 น. - comment id 860466
ขยันทำนา แล้วยังขยันแต่งกลอน อีกด้วยอะค่ะ.. ภาพท้องนาสวยได้อารมณ์เลยนะคะ
11 มิถุนายน 2551 18:45 น. - comment id 860492
ชอบมากครับ ..อินทนนท์
12 มิถุนายน 2551 01:49 น. - comment id 860626
เก่งจังเลย