โลกของเธอแลฉันฝันแตกต่าง รอแยกทางมิวันใดก็วันหนึ่ง กาลเวลามาพรากความซาบซึ้ง เพียงสิ่งหนึ่งเหลือไว้หมายเมตตา คืนทุกสิ่งให้เธอไปไม่อาวรณ์ ไม่ร้าวรอนยอมรับความเหว่ว้า มาลำพังไปลำพังทุกชีวา สิ้นปรารถนาผู้ใดใจไม่จริง โลกก็เป็นเช่นฉะนี้ เรื่องมากมีธรรมดาทุกข์สรรพสิ่ง เพียงทำใจกลางกลางรู้วางนิ่ง คือโลกจริงแห่งเพรงพรหมชะตามายาสมมุติ ภาวนารู้ค่าลมหายใจ บริสุทธิ์ใสเกษมศานต์แสนพิสุทธิ์ ลืมอดีตขวัญวันระทมรอวิมุติ ดั่งบัวผุดเหนือน้ำท่ามโคลนตม มิช้านานกาลเวลาจักประสาน ทั้งรอยหวานรอยวิปโยคโศกขื่นขม ทั้งรักชังหวังใดเคยใฝ่ชม จิตจักบ่มจนกระจ่างว่างตราบกาล..! ทวนทะเล...ท่องทะเล...! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5535.html (ทะเลใจ) .......................... ผม.. กำลังรื่นรมย์กับทัศนียภาพตรงหน้า ฟ้าสีฟ้าใสกระจ่าง งามเข้ม ทะเลกว้างมีเรือลอยลำ...รับอรุณไม่กี่ลำ และ ราวสระว่ายน้ำส่วนตัวกำลังรอคน..ลงแหวกว่าย เม็ดทรายกำลังอ้อนสายลมและทิวคลื่น เสียงทิวมะพร้าวซัดส่ายร่ายระบำราวรอวันเริ่มต้นใหม่ในชีวิต ผม..พาตัวเองเดินไกลลิบ...มาจากระท่อมที่พัก กับสุนัขผู้พิทักษ์ใจ*เจ้าอารี* ลมทะเลพัดพรายให้ร่างและหัวใจผมหนาวสะท้านหากทว่าแสนสดชื่น ผม..วิ่งล้อคลื่นเล่นอย่างแสนสุขสมกับเจ้าอารีเพื่อนยาก แล้ว หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างถูกใจเมื่อเจ้าอารีเสียหลัก แล้วต้องลงไปนอนแช่...ในน้ำทะเลอุ่นๆ ผม... ถอดเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงชาวเลสีน้ำตาลออกจากร่าง เหลือเพียงกางเกงในว่ายน้ำตัวจิ๋วแสนวาบหวาม อย่างไม่กลัวว่าใครจะตื่นมาเห็น เพียงอยากปลุกทะเล ที่กำลังหลับไหลให้ตื่นมาดูคนกับสุนัข ที่กำลังพากันมาทายทักทะเลงามในยามอรุณรุ่ง ผม...ว่ายน้ำออกไปไกลจากฝั่งเรื่อยๆ ราวทดสอบพลังคนหนุ่มนักกีฬา ที่กล้ามเนื้อทั้งร่างและขาแสนแข็งแรง อาศัยกีฬาในร่ม*แบดมินตัน* ที่ผมชอบเล่นทุกวัน กับสมาชิกพรรคคนหนุ่มวัยมันส์ ที่..พากัน ไม่เสพสุนทรีย์ทั้งเหล้า ยานารี หากหันมาสนใจเกมกีฬาแทน หลายปีมานี้ ชีวีผมก็เวียนว่ายไม่กี่ที่ ที่ทำงาน และบ้าน หรือคือ... อพาร์ตเมนต์..เรียบโล่ง ที่ผมทนมีสมบัติไม่ได้หากเกินกว่าของใช้จำเป็น หนังสือธรรมะ ที่ผมแสนหวงแหน และ หนังสือท่องเที่ยวหรือหนังสือนานา ที่พอล้นตะกร้าผมก็บริจาคออกทันที เป็นเพราะผมไม่นิยมสะสะมวัตถุใดให้รกรุงรัง ให้ต้องพะว้าพะวังห่วงหา และ ไม่แม้กระทั่งหยาดเลือดและร่างผม ที่ขอบริจาคไปกับโรงพยาบาลเอาไว้เรียบร้อยแล้ว... และ นี่คือ ผม..คนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง ที่จิตภายในราวกับ พระเจ้าแกล้งให้ผมเกิดมาผิดยุค... ผมน่าจะเกิดในยุคต้นๆรัตนโกสินทร์ ค่าที่ผมถวิลหา แต่เรื่องโบราณบ้านเรือนที่ยังเงียบงามสงบสุข ริมสายน้ำเจ้าพระยา มีบางคราที่ผมนั่งเรือลอยล่องไปตามสองฝั่งฝัน แล้วพลันเมื่อผมทอดทัศนาเห็นตึกโบราณ ในจิตวิญญาณผมราวได้ยินเสียงมโหรีไทยขับกล่อม ในยามมีงานมงคล ลอยลมแว่วมา และ ในคลองดวงวิญญาญ์ ผมมักจะมองเห็นภาพหญิงงาม ใส่ชุดผ้าซิ่นไหมเรียบง่าย...มุ่นมวยผม พันเกล้าด้วยดวงดอกไม้แสนหวาน กำลังนั่งตรงชานไม้ในศาลาท่าน้ำ ราวรอรับคนที่รักขึ้นมา..จากเรือกลับบ้าน ผมสัมผัสได้กระทั่ง คำพูดหวานๆกระซิบเบาๆ ยามเธอพบคนที่รัก ว่าเธอ.. นางในฝัน นางใจแห่งความปราถนาอยากภักดิ์พลีของผม คงจะทั้งงามใจ งามน้ำคำ งามกิริยาอันอ่อนละมุนนัก และ นี่คือเหตุผล..จนวันนี้ ที่ผม..หาคนรักที่รู้จักรู้ใจ และ รักความเป็นไทยโบราณหวานละมุน อย่างใจดวงหอมกรุ่นละไมอย่างใจผมคิดหวัง มิได้ ช่างมันเถอะนะ เพราะ ตั้งแค่ผมหันหน้าเข้ามาศึกษา*ธรรมะอย่างเอาจริงเอาจัง ผม..ก็ยิ่งไม่อยากมีรัก อันคือแอกหนักทุกข์หนักยิ่งกว่าสิ่งใด ในหล้าโลก แม้นพระพุทธองค์ ยังค้นพบทางสายโศกสายเศร้านี้ก่อนตัดสินใจหนีออกบวช แล้ว.. ผม..ยังจะยอมเหน็บหนาว เดินไปในเส้นทางสายพันธนา ให้เสียเวลาทำไม... ในเมื่อผม..ไม่เหงาใจ ไม่เคยเลยแม้สักครั้งเดียว เมื่อเหลียวไปพบเห็นผู้คนรายรอบ ที่กำลังเผชิญหน้าทายท้ากับความทุกข์มากสุขน้อย ในทางสายโลก ที่หาใช่เป้าหมายแห่งชีวีผมไม่ ที่ขอเลือกชีวี ให้ดำเนินแผกไปในเส้นทางสีขาวแทน เส้นทางที่แสนสะอาด สว่างสงบ และ หวังพาพบฝั่งฝันในมโนคติ ที่ผมมิเคยวาดหวัง ว่าจะนานสักกี่กัปป์กัลป์ ขอเพียงชาตินี้นั้นให้ผมได้เริ่มต้น ราวปลาว่ายทวนน้ำเหนือกระแสกรรมกิเลสโลกย์ มิว่ายตามตามกันไป สู่ห้วงมหรรณพใหญ่ ไปเป็นอาหารปลาในท้องทะเลลึกทะเลโลกย์ อย่างแสนน่าโศกเศร้า มิรู้จบรู้สิ้น.... ................ ผม.... นอนลอยตัวเหนือฟองคลื่นอย่างระริ่นรมย์ แล้ว ทำจิตใสผสานผสม ราวลอยไปในสายลมและมวลเมฆบางเบา อย่างมิเหงางาม หากเงียบร้างไร้ ได้ยินเพียงเสียงหัวใจเต้น ผมหยุดความคิดทุกอย่างวางไว้อย่างวางว่าง กับฟ้ากระจ่าง กับเมฆแสนหวานใส กับลมระรวยระรินกับกลิ่นทะเลทะเล และกับจิตไม่ไหวเหเรรวนไปกับคลื่นอารมณ์ ผม..นอน..ดูอณูละเมียดแห่งลมหายใจ จนในที่สุด ราวร่างผมไร้น้ำหนัก ราวกับนกไพรใจอิสรา กำลังยกตัวผกโผผิน บินไปในฟ้ากว้าง อย่างอ้างว้าง หากสง่างาม... เมื่อมองลงมา ในท่ามทะเลโลกย์ที่ผู้คนนับอนันต์โศกลอยคอ รอเพียงวันตายไปวันวัน... อย่างมิรู้ทันเท่าในหนาวเหน็บแห่งบ่วงพันธนา... ที่จะมัดพารัดรึง...ตอกตรึง ให้ดวงจิตวิญญาณปานประหนึ่งนักโทษรอประหารเช่นฉะนั้น.....!!!!!!!!!!! ............ http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5535.html ทะเลใจ แอ๊ด คาราบาว แม้ชีวิตได้ผ่านเลยวัยแห่งความฝัน วันที่ผ่านมา ไร้จุดหมาย ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่ เพียงตัว และจิตใจ เป็นมิตรแท้ที่ดี ต่อกัน เหมือนชีวิตผันผ่าน คืนวันอันเปลี่ยวเหงา ตัวเป็นของเรา ใจของใคร มีชีวิตเพื่อสู้ คืน วันอันโหดร้าย คืนนี้ตัวกับใจ ไม่ตรงกัน คืน นั้น คืน ไหน ใจแพ้ตัว คืนและวันอัน น่า กลัว ตัวแพ้ใจ ท่ามกลางแสงสี ศิวิไลซ์ อาจหลงทางไปไม่ยาก เย็น คืน นั้น คืน ไหน ใจเพ้อฝัน คืนและวันฝันไป ไกลลิบโลก ดังนกน้อย ลิ่วล่องลอย แรงลมโบก พออับโชค ตกลงกลาง ทะเลใจ ทุกชีวิตดิ้นรน ค้นหาแต่จุดหมาย ใจในร่างกาย กลับไม่เจอ ทุกข์ที่เกิดซ้ำ เพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอ ก็เป็นสุข คืน นั้น คืน ไหน ใจแพ้ตัว คืนและวัน อัน น่า กลัว ตัวแพ้ใจ ท่ามกลางแสงสี ศิวิไลซ์ อาจหลงทางไปไม่ยาก เย็น คืน นั้น คืน ไหน ใจเพ้อฝัน คืนและวันฝันไป ไกลลับโลก ดังนกน้อย ลิ่วล่องลอย แรงลมโบก พออับโชค ตกลงกลาง ทะเลใจ แม้ชีวิตได้ผ่าน เลยวัยแห่งความฝัน วันที่ผ่านมา ไร้จุดหมาย ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่ เพียง ตัวและจิตใจ เป็นมิตรแท้ที่ดี ต่อกัน ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่ เพียง ตัวและจิตใจ เป็นมิตรแท้ที่ดี ตลอดกาล...
25 มกราคม 2551 13:28 น. - comment id 815253
วิโมกขมุข 3 อุบายธรรม 3 ประการ ที่เป็นหนทางเข้าถึงอริยมรรค อริยผลโดยง่ายมี 3 ประการ คือ 1.สุญญตานุปัสสนา พระโยคาวจรคือผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ คือ พระนิพพานด้วยการพิจารณาขันธ์ 5 และทุกสิ่งทุกอย่างในอนัตตจักรวาลและ 3 โลก คือ นรกโลก มนุษย์โลก เทวโลก เป็นของสูญสลายทั้งสิ้น มีอยู่อย่างเดียวไม่สูญ คือ จิตนิพพาน จิตไม่สูญ นิพพานไม่สูญ นิพพานมีอยู่ทั่วไป ดังนั้น จิตที่อยู่ในร่างกายที่เป็นทุกข์นี้เราก็ทำจิตให้มีนิพพาน อยู่ในใจจิตก็เป็นสุขเพราะจิตไม่ติดในโลก แต่ถ้าขันธ์ 5 ตายจิตก็เข้าเสวยสุขแดนทิพย์นิพพานซึ่งเป็นอมตะอยู่ห่างไกลจากโลกทั้ง 3 จะไปได้ด้วยจิตบริสุทธิ์ไม่ยึดติดในขันธ์ 5 จิตไม่สูญสลาย เช่น พระอรหันต์ที่ยังไม่ตายจิตท่านก็เป็นสุขอย่างยิ่ง ไม่ได้สูญสลายหายไปไหน จิตท่านเป็นจิตพุทธะ คือเป็นผู้ตื่นจากความหลงใหลใน 3 โลก ผู้รู้แจ้งเห็นความเป็นจริงของโลก 3 โลก ผู้เบิกบาน คือ ไม่มีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง มีความสุขตลอดกาลแม้ยังไม่ตาย เรียกว่า สุญญตวิโมกข์ 2.อนิจจานุปัสสนา ผู้ปฏิบัติธรรมที่ฉลาดควรพิจารณาให้เห็นว่า คน สัตว์ พืช ทุกสิ่งทุกอย่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ เจริญสุขเป็นของชั่วคราวเพราะแปรปรวน เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นอุบายง่าย ๆ ให้จิตเห็นเหตุ เห็นผล ไม่หลงใหลในของมายา ของปลอมของแปรปรวน จิตที่ฉลาดรู้แท้ก็จะเข้าถึงอริยมรรค อริยผลได้ง่าย ๆ หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย เพราะจิตไม่มีเยื่อใยกับของไม่จริง คือ ขันธ์ 5 ร่างกาย เรียกว่า อนิมิตตานุปัสสนา ถ้าเป็นอริยผล เรียกว่า อนิมิตตวิโมกข์ 3. ทุกขานุปัสสนา คือพระโยคาวจร คือผู้ปฏิบัติธรรมมีจิตฉลาดพิจารณา ดุถึงขันธ์ 5 ร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ มีปัญหาจากการทรุดโทรมเจ็บป่วยเสื่อมสลาย มีภัยรอบด้าน ที่จะทำให้ร่างกายตาย ภัยจากไฟไหม้ น้ำท่วม โจรขโมย เชื้อโรค สัตว์ร้าย แผ่นดินไหว ต้องเป็นทุกข์หาอาหารหาเงินทองแก่งแย่งกันเพื่อความอยู่รอดของชีวิต มีความทุกข์ยากลำบากกายใจ เห็นเข้าใจทุกข์รอบด้านแล้ว ก็ตั้งใจละทิ้งสาเหตุของความทุกข์ คือ ความอยากในลาภ ยศ สรรเสริญเจริญสุข อยากในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ไม่อยากมีขันธ์ 5 ร่างกายอีกต่อไป เป็นอุบายพ้นทุกข์ภัยอย่างวิเสาและง่ายดายตามองค์พระพิชิตมารได้ชี้แนะ บอกทางให้แล้วไม่ต้องไปลำบากค้นคว้าหาทางพ้นทุกข์เพราะมีพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐเลิศมนุษย์ ท่านพบแล้วก็มาบอกพวกเรา พระอรหันต์เจ้าก็นำมาบอกต่อพวกเรา เราเพียงแต่เดินตามท่าน ก็พัฒนาจิตเราให้สะอาดปราศจากอวิชชา ตัณหา กิเลส อุปาทาน เข้าถึงอริยมรรค อริยผลได้ง่ายดายรวดเร็ว ถ้าเข้าถึงอริยมรรคแบบพิจารณาทุกข์เรียกว่า อัปปณิหิตวิโมกข์มรรค ถ้าเป็นอริยผลโดยพิจรณาความทุกข์ท่านเรียกว่า อัปปณิหิตวิโมกข์
25 มกราคม 2551 21:16 น. - comment id 815442
้สงบแท้
26 มกราคม 2551 00:00 น. - comment id 815515
แวะมาเยี่ยมสาวบ้านนาคนงามแม้ดึก ไปหน่อยเพราะมัวไปเล่นเปตองกลับมาจ้า คิดถึง เสมอ หาภาพงามๆได้ดีจังเลย แก้วประเสริฐ.