....จันทราชา
"เพชรสังคีต"
"จันทราชา"
ตอน ศึกศุกร์ดารา
(พระจันทรได้รับราชสาส์นจากพระเจ้านครเสาร์ดารา)
....เมื่อนั้น
พระจันทรบดินทร์ปิ่นสวรรค์
เสด็จทรงรถทองผ่องพรรณ
กรีดกรายผายผันลีลามา
แสงทองทาบทับกับองค์
เสนาร้องส่ง ณ เวหา
จรัสแจ้งกว่าแสงพระจันทรา
เหนือแสงดารายองใย
ครั้นถึงจึงหยุดเกยสถาน
เสด็จสู่ทิพย์วิมานสวรรค์ไสว
เทวาเปิดม่านทันใด
คลาไคลสู่ท้องพระโรงครัน
ประทับนั่งเหนือแท่นมณีอาสน์
โอภาสผ่องพรายผายผัน
ฉัตรทองเหลื่อมล้ำสีอำพัน
ตั้งอยู่เรียงกันทั้งแปดทิศ
พรั่งพร้อมเทวาสุรารักษ์
เสนาผู้ภักดิ์ประจักษ์จิต
เทพทุกเหล่าเฝ้ามาทั่วสารทิศ
ไว้จริตสวยสอางค์อย่างเทวี
ครั้นพอถึงยามฤกษ์เบิกสวัสดิ์
ก็เรืองรองผ่องจรัสรัศมี
อำมาตย์อ่านสาส์นถวายพระภูมี
ทูลถึงที่จอมสวรรค์พระจันทร ฯ
....บัดนั้น
เทพอาลักษณ์เรืองรองคล่องอักษร
กราบบังคมพระผู้อรชร
แล้วยอกรยกสาส์นอ่านทันใด
ข้าแต่พระจันทรผู้ทรงภพ
แปดทิศจบพระบาทามาแต่ไหน
บัดนี้ต้องเคืองราชหฤทัย
เหตุเพราะสาส์นหม่อมฉันไปเป็นแน่แท้
ด้วยพระศุกร์ดาราบดีมีอำนาจ
คิดอุกอาจด้วยประสงค์จำนงค์แน่
ได้ยกทัพต่อตีทุกที่แพ้
เสร็จแล้วยึดไว้แต่พระศุกร์เอง
ด้วยหลงอำนาจวาสนา
ข้าน้อยเสาร์ดาราถูกข่มเหง
แม้นอ้างถึงพระองค์ไปไม่กลัวเกรง
กลับเปล่งสีหนาทประภาษมา
ว่าจันทรบดินทร์ปิ่นสวรรค์
เป็นเพราะเชื้อเผ่าพันธุ์อันมุสา
เท็จจริงอย่างไรได้ฟังมา
แต่เห็นว่าท่าทีจะมีนัย
จึงส่งสารแทบบาทยุคล
หวังพึ่งผลบารมีที่สดใส
บังคมเบื้องยุคลบาทพระเทพไท
สรรพชีวีอยู่ใต้บาทบงสุ์ ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรวงศาสูงส่ง
ได้สดับสาราดังฟ้าลง
คราวนี้คงณรงค์แน่เป็นแท้จริง
พลางเผยพจนารจผงาดว่า
ศุกร์ดารานั้นใครไม่สุงสิง
คงพรั่นพรั่นหวั่นจิตคิดประวิง
จึงละทิ้งศีลธรรมจนต่ำช้า
เอาเถิดแม้ใคร่งานในการศึก
ก็จงนึกหลีกหนีทุกทีท่า
เราจะไปรบพุ่งมุ่งพารา
ช่วยเมืองเสาร์ดารารมย์บุรี
จึงตรัสสั่งเสนามหาอำมาตย์
นายพลจตุรงคบาททั้งสี่
จงจัดเวรเกณฑ์ทัพโยธี
แล้วจงรีบจรลีไปทันใด
....เมื่อนั้น
เทพเสนางามงดยศใหญ่
น้อมเกล้าวันทาแล้วคลาไคล
เยื้องย้ายจากท้องพระโรงทอง ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรภูวดลหม่นหมอง
เสรด็จหาสนมชมน้อง
วางท่าประคองจะเจรจา
รุจิเรขเอกสนมก้มลงกราบ
ดั่งความทราบถึงหล่อนก่อนพระว่า
เงยพลางทางโศกโศกา
เอื้อนเอ่ยพจนามาทันที ฯ
....เมื่อนั้น
รุจิเรขเอกสนมก้มเกศี
พลางว่าเอ๋ยพระราชสวามี
จากวันนี้วันไหนจะได้พบ
เหมือนดอกไม้ใกล้ใกล้ที่ได้กลิ่น
มาเหือดสิ้นสาบสวนอวลตรลบ
ใครก็รู้การใดไม่เหมือนรบ
แล้วเมื่อใดจะได้พบบรรจบกัน
ว่าพลางทางฝืนสะอื้นไห้
ด้วยอาลัยยามนอนจะคลอนขวัญ
จะเงียบเหงาดวงฤดีทุกวี่วัน
จะหวิวหวั่นหวาดผวาคราถอนใจ ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรบดินทร์เป็นใหญ่
เห็นสนมโศกาก็อาลัย
จึงตรัสไปปลอบชู้คู่ประคอง ฯ
สนมเอ๋ยสนมนาถ
ยามนิราศจากลาอย่าหม่นหมอง
พี่จะเคร่าคอยเวลามาหาน้อง
มาตระกองกอดเจ้าทุกเพรางาย
เมื่อพี่จากดวงใจมิได้จาก
ยังฝังฝากรอยรักสลักหมาย
ก็หวังเจ้าจอมหอต่อวันตาย
มิเคยหน่ายสักเวลามาแต่ไร
พี่ไม่อยู่จงระลึกเหมือนพี่อยู่
ยอดพธูเรขาอย่าหวั่นไหว
เอาเสียงนกวิหคร้องทำนองไพร
ต่างสำเนียงเสียงใจไว้ข้างกัน
ยามน้ำค้างพร่างพรมลมระรื่น
ต่างความชื่นเหมือนพี่พัดวีมั่น
สนมน้อยคอยเถิดหนาวิลาวัณย์
มิอาสัญพี่จะมาหาเจ้าเอย ฯ
ตรัสพลางเขยื้อยเลื่อนองค์
แล้วหนุนลงตักนางต่างเขนย
ด้วยใคร่อยู่ชื่นขวัญอันน่าเชย
ก่อนลาเลยไปพหลรณรงค์ ฯ
....เมื่อนั้น
พระจันทรนครินทร์สูงส่ง
ครั้นได้ฤกษ์เวลาก็อ่าองค์
เสด็จลงสรงอ่างสุวรรณชลา ฯ
หยาดวารีรี่ไหลอยู่ในห้อง
พระผิวทองรองเรืองเปลื้องผ้า
น้ำซัดสาดกระเซ็นเป็นวงมา
ต้องฉวีชีวาคราชื่นใจ
เกาะเป็นเม็ดเจ็ดสีมณีพร่าง
แสนสำอางค์พลางชมนิยมไฉน
นัยเนตรแววดำอำไพ
ต้องแสงรำไรเป็นวาวมา
บรรจงสอดสวมซับสนับเพลา
พร้อมเทพเหล่าท้าวนางกางผ้า
ภูษาเหลืองเรืองดีสีจันทรา
ยกพื้นบุษราน่ามอง
เจียรบาดคาดไว้มิให้เคลื่อน
ปั้นเหน่งเหมือนเดือนเพ็ญเผ่นผยอง
ตาบทิศทับทรวงพ่วงทอง
เกี่ยวกรองสังวาลย์ชาญชัย
ทองกรล้วนแล้วประดับมุก
ธำมรงค์ส่งสุกด้วยพลอยใส
มาลาปราบปัจจามิตรฤทธิไกร
ทรงสวมเสมอไปในสงคราม ฯ
แล้วเสร็จขุนนางกางม่าน
เสด็จลานเวหาน่าเกรงขาม
ยุรยาตรขึ้นเกยแก้วงาม
พร้อมทหารแลหลามล้วนเทวา ฯ
เสด็จทรงรถทองผ่องพราย
ลวดลายล่องลอยเวหา
พวกพหลพลเหล่าเสนา
นุ่งเหลืองพิไชยาคลาไคล
มโหระทึกกึกก้องซร้องเสียง
สังข์เพรียงเรียงรี่ปี่ไฉน
ทหารโห่ขับคล่องร้องไป
เลื่อนลอยมาในอัมพร ฯ
(โปรดติดตาม พระจันทรยกทัพช่วยนครเสาร์ดารา)