ว่างจากเสียงในหัว
ปิ่น วลัยภรณ์
ธรรมดาตัวเราจะอยู่ในหัว
ตัวเราเป็นสําเสียงไร้ตน
ที่ค้นหาแล้วเหมือนไม่มี
แต่ยังมีเสียงในหัวตลอดวัน
ถ้าเลิกเกาะเกี่ยวกับเสียงในหัวสักสองพริบตา
แล้วตั้งความรู้สึกเข้าไปที่ความเงียบงันกลางอก
จะเห็นความเปิดเผยอันว่างจากเสียงกระซิบแห่งตัวตน
เหมือนพ้นจากมิติแห่งความวุ่นเข้าสู่ความว่างชั่วคราว
สายลมเหยียดยาวท่ามกลางความสงัดเงียบ
สัมผัสแจ่มชัดในความนุ่มนวลของลมหายใจ
ที่ลากลึกเข้ามาสู่ความว่างภายใน
แล้วระบายคืนกลับสู่ความว่างภายนอก
ณ จุดนั้นจะเกิดขณะหนึ่งแห่งความลืมตัวตน
ไม่ค้นหาสิ่งใดเพราะใจปีติอยู่กับสายลมประณีต
และแม้ขณะแห่งความไร้ลมอันปรากฎความว่างไร้รอย
สติบริสุทธิ์ก็หาได้หยุดสะดุดลง
ยังคงสว่างโพลนอาภาคงเส้นคงวาอยู่อย่างนั้น
ถ้าทรงอยู่กับความว่างอันเงียบเชียบกลางอกได้
จะเหมือนพบขุนทรัพย์โอฬารอยู่ที่นั้น
คืนวันหดสั้นลงสู่การยุติความเคลื่อนไหว
เผยให้เห็นมหาสมุทรแห่งความสงบอันเป็นทิพย์
ครั้นความว่างสนิทกลับแปรปรวน
เปลี่ยนเป็นว่างอย่างเห็นนิมิตรหมาย
คล้ายชายม่านหลายผืนสะบัดปลิวอยู่ในหัว
วาระแรกอาจเป็นการสะบัดปลิวที่ปราศจากสุ้มเสียง
ต่อมาผืนม่านกระพือพัดเร็วแรง
จึงเกิดเสียงในหัวตามเดิม
และเสริมด้วยความรู้สึกตัวตนเข้าจนได้
แต่อย่างไรสละไมแห่งความเงียบก็น่าพึงใจยิ่ง
ไม่ผิดและไม่แปลกหากจะอยากหวนกลับไปเห็น
สายลมหายใจเหยียดยาวท่ามกลางความว่างเงียบงัน
เพื่อหลีกห่างจากเสียงในหัวที่พัวพันยุ่งเหยิง
ตั้งหลังพักนิ่งอยู่กับความสว่างแจ้งทางใจ
จากความสว่างเงียบไร้สําเสียงสารพัน
จากความว่างลําลึกไร้ขอบให้คะเน
และจากความไร้ตัวตนดิ้นรนอย่างเร่าร้อน
ตัวเราจะกลับมาอย่างสงบสุข
เริ่มคิดใหม่ด้วยมุมมองที่แปลกเปลี่ยน
แทนการคิดสู่ความวุ่นเป็นการคิดสู่ความว่าง
จากนั้นจึงเริ่มคุ้นกับชีวิตที่ว่างแล้วคอยคิด
นั่นจึงเรียกว่าคิดจากความว่าง
ป.ล
อ่านยากหน่อยนะครับเป็นกลอนเกี่ยวกับธรรมะ
อ่านไปคิดตามไปจะพบจิตใจที่ว่าง สาธุ