หลบหนีหายเร้นกายไกลสังคม ใจนุ่งห่มสันโดษลดความอยาก ทิ้งโลกีย์วุ่นวายหัวใจนัก มาพำนักพักใจใต้ใบบัง ทิ้งสมมุติเพื่อวิมุตจิตหลุดพ้น ละตัวตนบุคคลตนสรรค์สร้าง หันหน้าหาพระธรรมคำสอนสั่ง รักและชังปล่อยวางทุกอย่างลง ไม่เหลือใครคนไหนใจเป็นทุกข์ ปราศจากสุขอันใดให้ลุ่มหลง ความสงบพบได้ด้วยใจปลง กวาดฝุ่นผงในดวงใจให้เบาบาง ปลีกวิเวกลำพังนั่งครวญใคร่ แท้จริงใจนั้นไซร้ใสกระจ่าง เพราะอวิชชาพาใจให้หลงทาง ทุกสิ่งอย่างคงเป็นเช่นนั้นเอง... comment หน่อยครับเพื่อนๆ ขอบคุณครับ
8 มีนาคม 2550 17:33 น. - comment id 667762
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/board4735.html ความหมายกลอนดีมากเลยนะ...เราก็อยากจะทำให้ได้อย่างนั้นมั่งจัง แต่*** คีตะกะ*** ลองเข้าไปอ่านกระทู้ข้างบนนี้ดูนะจ๊ะ...
8 มีนาคม 2550 19:55 น. - comment id 667800
หลบเร้นกาย..แฝงตนไป..ทำไมเล่า ชีวิตเรา..มีเท่านี้..เท่าที่เห็น สละสิ้น..เรื่องราว..คาวราคิน ไม่ยลยิน..โลกีย์..อวิชชา ปลีกวิเวก..หนีไป..แม้ใจสุข หนีความทุกข์..พึ่งพระธรรม..อันล้ำค่า มีความสุข..อยู่เดียวดาย..น่าเวทนา สังขารา..ร่วงโรย..อยู่โดยเดียว สู้อยู่ใน..สังคมใหญ่..มิได้หรอก ฉันขอบอก..แม้จะดี..เพียงเศษเสี้ยว ธรรมมะ..อยู่ในใจ..ไม่ดายเดียว ใช้สงบ..อันชาญเชี่ยว..ดับวุ่นวาย คนมีทุกข์..มามายยิ่ง..ในเมืองหลวง เจอสิ่งลวง..หลายหลาก..มากเหลือหลาย หากเราอยู่..ช่วยพวกเขา..ไม่หนีไกล เท่ากับได้..สร้างกุศล..มากผลบุญ...
8 มีนาคม 2550 21:11 น. - comment id 667853
ดีจังเลยค่ะ
10 มีนาคม 2550 13:24 น. - comment id 668448
ขอบคุณที่ชี้แนะมือใหม่หัดเขียน...สำหรับความคิดเห็นที่ 2...... ข้าฯ...ด้อยสามารถขาดปัญญาพาอับเฉา ฤาเทียบเท่าเหล่าเมธีมีศึกษา พุทธศาสตร์ " สรรพสัตว์คือพุทธา" สังขาราดุจมายาสาธยาย อันภควาอาศัยนิรมานกาย ร้อยพันล้านมากมายเกินนับไหว ทศพลญาณหาญกล้าเกินกว่าใคร โปรดสัตว์ไซร้คล้ายเช่นดั่งเล่นกล ศิวิไลซ์ใกล้ไกลหรือในป่า แค่ภาษามายาพาสับสน หากว่าใจไร้ขอบเขตสังเกตยล ทั่วสากลทุกหนแห่งคือแหล่งเรา......
27 มีนาคม 2550 13:38 น. - comment id 677049
" ท่านไม่ต้องหลับตาหรืออุดหูของท่านเพื่อหลีกอารมณ์ภายนอก ท่านก็สามารถเข้าถึงพุทธภาวะได้โดยจังๆหน้ากับอารมณ์ " ท่านเว่ยหลาง
11 เมษายน 2550 16:50 น. - comment id 682352
ท่านเว่ยหลางถือว่าเป็นยอดคน...พระศากยมุณีพุทธเจ้าก่อนดับขันธปรินิพพานได้มอบหัวใจของศาสนาพุทธถือว่าเป็นแก่นธรรมหรือหัวใจของศาสนาโดยจะถ่ายทอดจากจิตสู่จิตในความเงียบซึ่งผู้ถ่ายทอดได้จะต้องมีระดับชั้นเทียบเท่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะถ่ายทอดได้แม้ระดับชั้นอรหันต์ก็มิสามารถถ่ายทอดได้ โดยพิธีถ่ายทอดจะมีการมอบบาตรและจีวรของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นให้กับผู้ได้รับการถ่ายทอดด้วยในสมัยโบราณ...ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดคนแรกของศาสนาพุทธคือพระกัสปะต่อมาพระอานนท์..พระราหุลจนมาถึงพระโพธิธรรม(ตั๊กม้อ) ได้ข้ามจากประเทศอินเดียมาสู่ประเทศจีนและถ่ายทอดต่อมาจนถึงท่านเว่ยหลางจึงหยุดการถ่ายทอดลง..... ท่านเว่ยหลางได้ใช้โศลกอันเลื่องชื่อในประเทศจีนเอาชนะโศลกของศิษย์เอกนามชินเชาผู้เป็นหัวหน้าศิษย์และเป็นผู้สอนธรรมให้กับศิษย์อีกนับพันคนภายในวัดซึ่งมีพระสังฆปรินายกองค์ที่ 5 แห่งนิกายเซน (ตั๊กม้อองค์ที่ 1) เป็นเจ้าอาวาส เพื่อที่จะเขียนโศลกแสดงภูมิธรรมให้กับเจ้าอาวาสเพื่อรับมอบธรรมะ บาตรและจีวรของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนเป็นประเพณีสืบทอดกันมาแล้วดำรงตำแหน่งสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ต่อไป....โศลกมีดังนี้..... ท่านชินเชา.. กายหรือคือโพธิ์พฤกษ์ กระจกนึกเทียบจิตได้ หมั่นปัดกวาดเช็ดถูไว้ อย่าปล่อยให้เกิดธุลี.... ความหมายคือร่างกายเปรียบเสมือนต้นโพธิ์ ใจเปรียบเสมือนกระจก กิเลสเปรียบเสมือนฝุ่นธุลี.. ท่านเว่ยหลาง... โพธิ์ไซร้เดิมไร้ต้น กระจกยลหามีไม่ แท้จริงปราศสิ่งใด แล้วที่ไหนจะเกิดธุลี.... ความหมายของโศลกนั้นได้ตอบแก้โศลกของหัวหน้าศิษย์อยู่ในตัว....สรุปได้ว่าร่างกายตามธรรมชาติแล้วเกิดดับลวงหลอกดุจมายามีความว่างเปล่าเป็นสภาพ ไม่มีอยู่จริง ใจก็เช่นเดียวกันว่างเปล่า ดังนั้นกิเลสที่เขาสมมุติกันก็พลอยไม่มีไปด้วย เพราะความหลงผิดจึงทำให้เห็นเป็นไป...... ด้วยภูมิธรรมอันสูงส่งนี้ทำให้ท่านเว่ยหลางได้รับมอบธรรมะ บาตรและจีวรของพระพุทธเจ้าเป็นคนต่อไป....
20 มิถุนายน 2550 13:22 น. - comment id 712391
หากสัมผัส กาย กับ ไอ ไม่ตรงกัน ก้พยายาม หาคำใหม่ไปเปลี่ยนให้ได้นะคะ ดูมาสองสามกลอนแล้ว คิดว่า เรื่องสัมผัสยัง เลื่อนไหล นิดหน่อย
11 กันยายน 2550 17:38 น. - comment id 752521
เอ่อ..อ้า...เออ..คือ...คับ..แล้วจะพยามแก้ไขตามคำชี้แน่นะคับ...ขอบคุณที่เป็นอาจารย์..คอยชี้แนะตลอด........สาธุ....