เสร็จประสงค์ศึกม่านผ่านเวลา นวลจันทราทอทิพย์แล้วแก้วเวหน เดือนสิบสองสายน้ำสนานตำบล มาหลากล้นเจิ่งนองท้องทุ่งนา อวลแต่กลิ่นรสสุคนธ์เสียงเพลงยาว บ่าว-พระยาประเพณีที่ปรารถนา ประหวัดภาพเพรงพิสุทธิ์อยุธยา กาลข้าวกล้าแตกรวงรัดบ่วงใบ ร้อนแต่การรณรงค์แสนลำบาก แม้นทุกข์ยากมีจนไม่พ้นไพร่ หวังคืนเรือนสักคราวหนาวดวงใจ เกรงจักให้เสียทาสราชการ รัตนโกสินทร์สมัยนี้ฤายี่หระ ไม่เห็นพระเห็นทุกข์สนุกสนาน สิบห้าค่ำพระจันทร์เพ็ญเป็นตำนาน ฤาจักมุ่งสืบสานเกียรติกรุงไกร สองฟากฝั่งแควคลองของกรุงศรีฯ หลายร้อยปีควรสืบสานสมานสมัย ศกโกสินทร์สิ้นสำคัญฤาอันใด สายน้ำใจสองฝั่งคลองจึงหมองมัว จักมุ่งหมายสิ่งอันใดในยุคนี้ ประเพณีเลิกร้างหนทางสลัว ดุเหว่าครวญคุ้งสะอื้นดึกดื่นกลัว โศกถ้วนทั่วจองจำทั้งลำธาร แสงเทียนทองทิพย์ไต้จากปลายคุ้ง ธูปจรุงจีบใบตองลาล่องละหาน เพรียกแต่เสียงขลุ่ยแก้วแผ่วกังวาน แต่เพรงกาลเคยครวญคู่อยู่คลอเคียง ประหวัดภพเจ้าพระยาครองนาหมื่น ฟังบ่าวไพร่สรมสะอื้นแต่โศกเสียง หรีดหริ่งร้างพระพายลับดับสำเนียง ริมระเบียงเรือนทรงไทยพลบเวลา หากมาตรแม้นเพ็งค่ำเดือนสิบสอง สองฝั่งคลองจักคราคร่ำลำนำบุปผา เผาเทียนทองประเพณีศรีอโยธยา ก่อนนิทราหลับใหลใต้นวลจันทร์ สายวารีใหลไปไม่ย้อนคืน สถิตแต่เสียงสะอื้นจากสรวงสวรรค์ หนาววิญญาญ์บรรพบุรุษอยู่นิรันดร์ ตราบแต่วันมลายกรุงคุ้งดินแดน สไบบางแพรผ้าไหมใยหมองนัก ไม่จำหลักดั่งแล่งทองของหวงแหน ฤานางในห่มตาดมาขาดแคลน ร้างจารีตแบบแผนโบราณบรรพ์ สองฝั่งคลองสายน้ำอวสานสมัย กระทงทองแกว่งไกวเทียนโศกศัลย์ น้ำเปี่ยมคลองสนองผู้ใดให้จาบัลย์ สายสัมพันธ์สองแผ่นดินจึงสิ้นลม ---------------------------------------------------- พระจันทร์วันเพ็ญกำลังมาเยือนอีกไม่กี่ค่ำคืนนี้แล้ว ประสบการณ์เผาเทียนเล่นไฟแห่งกรุงเก่ายังคงงดงามอยู่ในใจดวงนี้ ประหวัดภาพไปในอดีตสมัยกรุงศรีอยุธยากำลังรุ่งโรจน์ ในยามที่เสร็จสรรพการศึกจากการรุกรานของพม่า ในยามน้ำหลากนั้นข้าศึกที่ล้อมเมืองอยู่ก็มิอาจต้านทานอยู่ได้ จึงได้ยกทัพกลับไปเมืองแม่ชั่วคราว ชายชาญสกาหากได้มีเวลากลับเรือนลำเนา ไปร่วมลอยกระทงกับสาวเจ้ายามว่างเว้นจากการศึก เจ้าพระยานาหมื่นสตรีชาววังจักได้ตัดผ้าใหม่นุ่งห่มสไบแล่งทอง ร่วมงานบุญประเพณีลอยกระทงเยี่ยงบรรพบุรุษ บ่าวไพร่ก็มีโอกาสได้เกี้ยวพาราศีกันตามประสา วัฒนธรรมแผ่นดินจึงก่อเกิด หล่อหลอมด้วยกาลเวลายาวนาน ข้าวออกรวงแล้ว ตะเพียนปลาแหวกว่าย กระทงใบตองลอยล่องในสายนที ทิพย์ไต้ทอแสงสว่างตราบรุ่งสาง.... ชีวิตและสายสัมพันธ์ของผู้คนสองฝั่งคลองจึงมีเสน่ห์อย่างแบบโบราณ น่าเสียดายที่ประเพณีลอยกระทงในสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไป ไม่เหลือร่องรอยแห่งวัฒนธรรมอันรุ่งโรจน์เยี่ยงเพรงเวลา เหลืออีกกี่ศกสมัยที่ประเพณีนี้จักงดงามและคงอยู่คู่สยามตลอดไป --------------------------------------------------- ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์ ขึ้น ๔ ค่ำ เดือน ๑๒
26 ตุลาคม 2549 01:00 น. - comment id 619163
งดงาม ละเมียด อ่อนหวาน แต่มีพลังในถ้อยคำ หาผู้เทียบเทียมได้ยากยิ่ง
26 ตุลาคม 2549 05:29 น. - comment id 619172
สองฝั่งคลองนองน้ำตาน้ำบ่าท่วม ประชาอ่วมเจ้าพระยาชลาศัย ผ่านเวลาเนิ่นนานกาลแปรไป สองฝั่งใจในนทีมีเปลี่ยนแปลง
26 ตุลาคม 2549 07:42 น. - comment id 619182
ไม่ได้อ่านกลอนของคุณลำน้ำน่านนานแล้ว ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคยนะคะ
26 ตุลาคม 2549 08:48 น. - comment id 619211
งดงามมากครับ
26 ตุลาคม 2549 09:38 น. - comment id 619236
ดอกบัวได้อ่านงานของคุณ จากพี่พุดที่นำมาลงให้อ่านหลายครั้ง กับเรื่องราวสมัยก่อน กับบทกวี เกี่ยวกับพรหมโลก สื่อได้งดงามจริงๆค่ะ
26 ตุลาคม 2549 15:28 น. - comment id 619572
ไม่ได้เข้ามาอ่านกลอนนานแล้ว พบกลอนของ คุณลำน้ำน่าน ดีใจค่ะ กลอนเพราะ และ ความหมายดีเสมอ
26 ตุลาคม 2549 18:25 น. - comment id 619719
..ยังคงเป็นบทกวีที่งดงาม..มากมายด้วยความหมายนะคะพี่นิว.... หายไปนานด้วยดิคะ.. เรนคิดถึงนะคะ....
26 ตุลาคม 2549 18:30 น. - comment id 619720
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song709.html เคียงเรียม มองเดือนคล้อยดาวลอยเรี่ยยอดไม้ ใจสลายน้ำเจิ่งนองเต็มท้องทุ่ง เดือนสิบสองกระทงทองจรัสจรุง รอขี่ควายลุยทุ่งเรียมผัดแป้งเฝ้าแต่งตัว เคย.. นัดพบกับอ้ายใต้ต้นตาลรอหวานรัก ดอกโสนทายทักหอมริมแก้มแกมแสงสลัว ตะวันชิงพลบกบเขียดร้องใจระรัว นั่นดอกบัวชูช่อชันรับขวัญรอ แล้ว.. อ้ายลาไกลไปศึกใหญ่ภัยภาคใต้ ได้ชิดใกล้ความตายมิเคยท้อ ใบไม้ร่วงชีพรอหล่นทิ้งเรียมรอ โลกนี้หนอไยแล้งไร้อ้ายหวังยุติธรรม ฟ้าโพล้เพล้ใจเรียมพลอยเหว่ว้า พลีน้ำตาดั่งหยาดฝนระรินร่ำ รอและรอไยมีเพียงเงามืดดำ ฟ้ายามค่ำนกการ้องใจเลือนลาง จันทร์ทอฟ้าสว่างไสว อ้ายพรากไกลทิ้งเรือนมาแรมร้าง สวรรค์ปิดไยหยิบยื่นเพียงอ้างว้าง มีเพียงร่างเรียมรออ้ายราวไร้ใจ เสียงขลุ่ยแว่วเพรียกมาเพลงลาแผ่ว น้ำค้างแก้วหยาดระรินดั่งเพชรใส กลางใบบัววะวาววับเพชรพร่างไพร กระทงใจไยหลงทางร้างแรมลา สองฝั่งคลองวารีล้นท่วมท้นฝั่ง ชีพไทยฝังสังเวยน้ำดินฟ้า หยาดน้ำตาเรียมรินหลั่งพลีบูชา อ้ายถวายชีวาพลีพร้อมยอมเพื่อไท สายวารีไหลไปไม่ย้อนกลับ ตะวันลับยามนี้อ้ายอยู่ไหน ปณิธาณหาญกล้าเซ่นวิญญาญ์บรรพบุรุษไทย คือยิ่งใหญ่ศรัทธาหมายตายเพื่อแผ่นดิน เรียมปิติใจแล้วอ้ายแม้นไหม้หมอง คือครรลองลูกผู้ชายปองถวิล คลุมร่างด้วยธงไตรรงค์สิ้นชีวิน ทั้งฟ้าดินวิปโยคโศกดวงใจ เรียมอธิษฐานกับกระทงทองล่องหลอมจิต คู่ชีวิตคู่ชีวาภพภูมิไหน หวังร่วมบุญร่วมกุศลทุกชาติไป บนดินไทยดินทองแดนพุทธธรรม คืนเพ็ญบุญจันทร์ดวงทองผ่องพิสุทธิ์ หวังมนุษย์ทำดีพลีรินร่ำ หยาดน้ำใจใสงามสวดมนต์พลีน้อมนำ พบธาราธรรมธาราทองล่องสู่แดนทิพย์พระนิพพาน..! .................. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song709.html เคียงเรียม.. เคียงเรียม ทนงศ์กดิ์ ภักดีเทวา เลียบ ฝั่ง คลอง มองละเมาะ หมู่ ไม้ สาย น้ำไหล เหนี่ยว โน้ม ใจ ให้หน้า เพลิน มอง มอง ขอบฟ้า ครอบทุ่ง ทิว และรุ้ง แดดส่อง ลมพัดต้อง ยอด โย้ โอนเอน ใจพี่ยัง เปลี่ยว นัก มองหารัก ไม่ เห็น นึกหนักใจ ยิ่งเต้น เหลือจะเข็น รักไกล หาก บุญ ได้ เดินใกล้ เคียงเรียม เลียบ ฝั่ง คลอง มองละเมาะ หมู่ ไม้ สาย น้ำไหล เหนี่ยว โน้ม ใจ ให้หน้า เพลิน มอง มอง ขอบฟ้า ครอบทุ่ง ทิว และรุ้ง แดดส่อง ลมพัดต้อง ยอด โย้ โอนเอน ใจพี่ยัง เปลี่ยว นัก มองหารัก ไม่ เห็น นึกหนักใจ ยิ่งเต้น เหลือจะเข็น รักไกล หาก บุญ ได้ เดินใกล้ เคียงเรียม... ......................
26 ตุลาคม 2549 18:48 น. - comment id 619731
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song18.html แสนแสบ อกพี่กลัดหนอง พี่หมองดั่งคลองแสนแสบ เจ็บจำดังหนามยอกแปลบ แปลบ แสบแสนจะทน โอ้ว่ากังหัน ทุกวันมันพัดสะบัดวน อยากจะรู้จิตคน จะหมุนกี่หนต่อวัน ย่างเดือนสิบสอง ฟากคลองเจิ่งนองน้ำหลั่ง อยู่ไกลกันคนละฝั่ง ฝั่ง ยังร้องสั่งกัน สิ้นเดือนสิบสอง น้ำนองแห้งคลองขอดพลัน สิ้นความรักจากกัน เหมือนกังหันเปลี่ยนทางลม แสนแสบ แสบแสนเปรียบแม้นชื่อคลอง นี่คือโลงทองของเรียม ขวัญ เขาฝากชีพจม แต่คลองยังช้ำ เหลือไว้แต่น้ำขุ่นตม พี่จึงช้ำจึงช้ำขื่นขม ขม ตรมเสียกว่าคลอง เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง ชื่อว่าแสนแสบคลอง เหมือนคนหมองต้องแสบแสน เจ้าจากพี่มา เจ้าลืมทุ่งนาฟ้ากว้าง เจ้าลืมฟากคลองสองฝั่ง ฝั่ง ลืมทั้งทุ่งทอง จวบจนบัดนี้ มิเห็นมีน้ำเจิ่งนอง ชื่อว่าแสนแสบคลอง เหมือนคนหมองต้องแสบแสน...
26 ตุลาคม 2549 19:09 น. - comment id 619739
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song839.html สายน้ำไม่ไหลกลับ อรวี สัจจานนท์ โอ้ความรักที่ร้าวรานไกล ดุจสายน้ำไหลผ่านไป ลงไหลไปแล้วไม่เคยคืน มา หา สาย น้ำเชี่ยวโกรกไหล วกวนแล้วไหล ไป ไหลไปแล้วไม่กลับมา คิด เปรียบไปก็คล้ายเหมือนว่า รักเอยไม่คืนหวนมา จากลาไปยังหนใด คิด ถึงเมื่อก่อนเคย รักฉันเป็นสุขเอย ไหนเลยจึงต้องจากไกล คอย เฝ้าคอยคร่ำครวญหวนไห้ รักเอยจากไปแล้วไย จากไปเหมือนสายน้ำวน ร้าง ไปร้างไกลสุดหวัง ล่องลอยไปไกลเหมือนดัง สู่วังแม่เอยสายชล ฉัน สิยังคร่ำครวญเพ้อบ่น ไหว้วอนให้สายน้ำวน ช่วยดลให้รักฉันคืน เขา คงไม่กลับมา หัวใจพร่ำเรียกหา น้ำตาหลั่งนองกล้ำกลืน นอนหลับตาต้องผวาตื่น สายน้ำไม่เคยไหลคืน ไม่คืนเสียแล้วรักเอย เขา คงไม่กลับมา หัวใจพร่ำเพรียกหา น้ำตาหลั่งนองกล้ำกลืน นอนหลับตาต้องผวาตื่น สายน้ำไม่เคยไหลคืน ไม่คืนเสียแล้วรักเอย คงไม่คืนเสียแล้วรักเอย