ถ้าฉันเป็นเศรษฐี...
ศิลปินป่า
....ดึกนี้เศรษฐีได้ตื่นแล้ว
...ลุกมานั่งสำรวจแก้วมณีบนสวรรค์
....ประมาณว่าล้วนของข้ามันทั้งนั้น
....ชื่อแจ่มจันทร์และดวงดาว
.....จะจ้างเทวดามาปรุงอากาศ
...ปั่นบริสุทธิ์สะอาดไว้กลางหาว
จะเจียระไนน้ำค้างที่พร่างพราว
มิให้ร้าวหมองต้องอินทรีย์
ปลูกมิ่งไม้หลากหลายภูผา
จักสั่งฟ้าให้อุ้มฝนรดเต็มที่
กะจะสั่งรดกันแรมแรมปี
ให้มิ่งไม้กกกอนี้ขจีทั่วไพรวัน
....ลุกตื่นฟื้นชีพมานั่งนับ
.....เห็นเดือนดับสะดุ้งสะท้านไหว
.....เอะอะตะโกนใครเอาดาวข้าไป
....เทพยดาองค์ไหนให้นำมาคืน
.....กระทืบเท้าดันไปตำเอากะหิน
...ก้อนดวงดาวบิ่นร่วงหล่นมาแต่หนไหน
...เศรษฐี...ยิ้มเหมือนคนที่ไม่มีอะไรที่เสียไป
....เพียงก้อนดาวยังไฉน...มิให้คน
...ตะโกนเรียกนางฟ้ามาบ้วนปาก
.....ถุยกะขากใส่กระโถนป่านสถุล
....นางฟ้ารับใช้เพราะให้ทุน
...น้ำสถุลเศษกักกากมิต่างทอง
....ยื่นผ้าหยิบแป้งประพรหมร่าง
....ทาสรรพางค์ลบลายที่กายหมอง
....ล้างตีนต่างเท้าค่อยประคอง
....หน้าจองหองใจจริตมิปริคำ
...เศรษฐีสั่งเทวดาให้ส่องฉาย
...บอกให้ส่องกายจำเพาะในที่ที่
....กำหนดสั่งฟ้าสั่งตะวันที่เขามี
....บอกให้ชี้ให้ส่องเพียงร่างเดียว
.............
................................ผมไม่สบายจามจนสมองตันตื่อไปหมดเอาแค่นี้ก่อน
...อยากนั่งเขียนถึงเศรษฐีผู้ที่มีอันจะกินผู้กำหนดข้าทาสบริวารด้วยเทพดานางฟ้าในห้วงสวรรค์ชั้นดุสิตดาลัยได้....เปรียบเสมือนหนึ่งปัจเจกชนผู้ที่มากด้วยทรัพย์ศฤคารทั้งหลาย...มีมากล้นจนกินกันไม่รู้สิ้นสุดรุ่นไหนต่อไหน
....ทำให้มานึกถึงคำว่า...พอ
....ทำไมนะคนเรามักจะตีราคาค่าชีวิตตนวัดความสุขกันด้วยอัตราดอกเบี้ย
....มีหน้ามีตากันด้วยเงินทองและความมั่งคั่งที่มาโดย...ต้องมลทินมิสะอาดเปรอะเปื้อนคราบน้ำตาหากินกับผู้ด้อยปัญญาที่ยากไร้
ตักตวงคนที่เขลาด้อยปัญญามาไว้รับใช้
ปฏิโลมคำหวานหลอกล่อกลลวงกับโคนันทวิศารเขาสูบเขาดื่มด่ำแสวงผลที่ไร้ประโยชน์ที่มักจะเสวนาสบถออกจากปากเสมอว่ามีธรรมะอุปมาอุปมัยเปรียบเปรยอุบายหอมหวานจากปากลมลวง....ว่ารู้ซึ้งธรรมะขั้นสูงอุตริอวดคำอ้างหยิบยกพระผู้มีประภาคเจ้ามาอ้างเสมอ
ข้าผู้น้อยประดุจแมงป่อง...ที่เมาสุราเพียงน้อยนิดอุตริไปรู้ซึ้งแผ่นฟ้าห้วงสวรรค์ชั้นสูงมากเท่าไหร่
มันก็แค่แมงป่องที่เดินชูหางทะนงตนว่ามีฤทธิ์กล้า...อย่าคิดมาต่อกร
ปล.........วันนี้สมองสับสนไม่สบาย
อักษรไร้ทิศทาง........แต่หัวใจยังไม่ไร้เป้าหมายที่ยังเดิน