แผ่นดินทองอู่ข้าวอู่น้ำแห่งอยุธยา พุทธานุภาพ ที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาญผู้คนมาตราบปัจจุบันสมัย (๑) อยุธยายศล่มแล้ว..............ลอยสวรรค์ ลงฤา* โคลงสะอื้นรำพัน..........................ศึกแพ้ แรมนิราศจาบัลย์.........................บุณย์รักษ์ เวียงแล อินนรินทร์ธิเบศร์แล้.....................ร่ำร้าวโคลงหวนฯ (*นิราศนรินทร์) (๒) เศวตฉัตรช่อฟ้า...............วงศ์สวรรค์ เก้ารัชกาลบรร-...........................จบแล้ว รัตนวงศ์วรรณ.............................วัฏแผ่น ดินแฮ สันตติวงศ์แพร้ว..........................ร่วงรุ้งเรืองสยามฯ (๓) แดง...ฤกษ์ไทฤกษ์ด้าว......ดำเกิง สุรีย์แล แดง...เลือดหลั่งเลือดเชิง...............ศึกเชื้อ แดง...มารมอดมารเพลิง...............พ่ายพุทธ แดง...ชาดหรคุณชาดเกื้อ..............เลือดแก้วละเลงสยามฯ (๔) น้ำเงินงามรามร่มเกล้า.......เครือกษัตริย์ กษัตริย์เกษมวิวรรธน์.....................วรทล้ำ ล้ำแผ่นสุพรรณบัฏ.........................บรมราช- วงศ์แล ราชธรรมเพียบพร้ำ.......................พุทธพร้อมพรสยามฯ (๕) เขียว..กระทงตองท่องท้อง....ธารทอง เขียว...ทุ่งข้าวรวงรอง.....................ระบัดกล้า เขียว...ผักคละครองคลอง................เครียวยอด เขียว...พระมรกตหลักหล้า..............เหล่านี้มณีสยามฯ (๖) ขาว...กลีบแก้วพุดซ้อน.........แซมทรวง ขาว...หยดน้ำค้างยวง.....................หยาดน้ำ ขาว...ข้าวดอกมะลิรวง....................หุงใหม่ ขาว...ดอกบัวไป่ช้ำ.........................ผ่องแผ้วพุทธถวายฯ (๗) เหลือง...รวงพวงพุ่มข้าว.........โพสพสรม เหลือง...พัสตร์สงฆ์รงค์ลม.................รุ่งคุ้ง เหลือง...อรุณแรกขานขรม................ขมิ้นเพรียก เหลือง...บุปผาร่วงรุ้ง.........................เรื่อแล้วลานสยามฯ (๘) แว่วตะโพนแผ่วพ้น...............เพลบุญ โพ้นวรรษาราพิกุล............................เกี่ยวข้าว ปรางค์สางสว่างอรุณ...........................ระดะยอด อวดแฮ บุญสยามค่ำเช้า...............................ชาติฟื้นเกษตรศานต์ฯ (๙) ขึ้นสิบห้าค่ำไหว้.....................วิสาขา เทียนรุ่งร่ำเรียมตา............................ตาดเคื้อ นวลเดือนอาบปฏิมา...........................มณฑป อาบโบสถ์เทียนอาบเนื้อ.....................นุชหน้าพัสตร์สงฆ์ฯ (๑๐) ไขประทีปประดับต้น..............รัตติธรรม สงฆ์แว่วแจ้วลำนำ..............................นพน้อม เพลาพร่าจันทรารำ-...........................ไรยอด โพธิ์แล โบสถ์ค่ำพัสตร์ภายพร้อม.....................พร่างพื้นแขไขฯ (๑๑) ข้าวออกรวงดกแล้ว...............ละลานตา ไหวว่ายตะเพียนปลา...........................ผุดปลื้ม พลบค่ำเพรียกวิหคนา.........................นางเพรียก ละเมอฤา แรมล่าอริราชครึ้ม..............................ศกคล้อยเรือนหายฯ (๑๒) ทองหยิบเคยหยิบป้อน............เพลา เสมอนอ เรียมหยาดหวานหยาดตา....................ขยิบซึ้ง เรียมหยอดรักหยอดยา........................หยดพิษ แรมรักร้าวรักทึ้ง.................................หยิบแย้มแซมขมฯ (๑๓) รอนตะวันลับเศร้า..................บึงอุบล จันทร์แจ่มแย้มนวลยล........................เยี่ยมฟ้า ขิมครวญดั่งครางคน............................ครวญพี่ นะแม่ นิราศเรียมห่างหน้า............................ห่อนได้แลเห็นฯ (๑๔) ปรารถนาภาพลึกล้ำ...............ละเลงบุญ เกล็ดทิพย์ลิบละมุน.............................ม่านน้ำ อารยธรรมค้ำจุน.................................จวบค่ำ เจ้าพระยาพาข้าม...............................ล่องฟ้าสวรรค์สยามฯ (๑๕) ทอดสะพานล่องข้าม..............แขนงชล ระยับหมอกดอกอุบล...........................เบ่งใต้ บัวเรียมระเมียรยล.............................หยั่งย่าน ชเลแล บัวสี่เหล่าเนาไซร้................................สร่างสิ้นธรรมสรรค์ฯ (๑๖) พรพรหมธรรมแต่เบื้อง.........บุราณกาล สืบแผ่นดินระรินมาลย์.........................อะคร้าว ข้าวจวักตักถวายทาน..........................ทรวงบาตร อรุณแล พบพุทธบุญเพรงข้าว...........................กนกเนื้อนาถสยามฯ (๑๗) พุทธคุณไตรรัตน์ล้ำ................รวีอรุณ พุทธุปบาทกาลบุญ...............................เบิกฟ้า พุทธศาสนิกละมุน................................พุทธชาด สยามนอ พุทธบุตรโชติชวาลหล้า.........................สว่างเพี้ยงพันแสงฯ (๑๘) เพชรพิกุลเกล็ดแก้วร่วง........พะไลทราย พันพร่างธรรมทองพราย.....................พิจิตรฟ้า มะลิหล่นร่วงโรยวาย...........................วัฏจักร เบิกรุ่งบุญระบายหล้า..........................โบสถ์เบื้องระเบียงวิหารฯ (๑๙) บัวบังใบตะไคร่ครึ้ม.............บัญจรงค์ บังอุบลจตุวงศ์..................................เวี่ยน้ำ เบญจภูตโพชฌงค์............................ฌาปนกิจ บังฤา เบญจขันธ์กิเลสล้ำ............................ยากยั้งบังไฉนฯ (๒๐) เบญจขันธ์กิเลสรั้ง................ยามโยค ญาณเอย ทุกข์สร่างหมางเศร้าโศก....................สร่างสิ้น วิปัสสนาวิโมกข์.................................วิมุตติ เบี่ยงบ่วงอบายหวิ้น............................วิวัฏโพ้นพรหมสวรรค์ฯ (๒๑) ปราชญ์ใดในโลกร้าง.............ธรรมา แสวงสว่างศาสนา...............................เสน่ห์น้อม ฤาประลาตพันธนา..............................เนืองยศ กิเลสรัดมายาย้อม..............................ขุ่นข้นใจถลำฯ (๒๒) ปวงปราชญ์ปรัชญ์ก่อเคื้อ.......กวีนิพนธ์ เพาะบ่มอักษรมนตร์............................มิ่งแก้ว ค่าคำรดเหล่าอุบล...............................บริพัตร ทวีปนา สงฆ์สะแบงกลดแล้ว............................เกียรติคล้อยครืนหลังฯ (๒๓) เงาเมรุเงาวัดเวิ้ง..................ไพหาร พุทธะหลั่งวิญญาณ..............................หยาดไว้ ชะรอยพุทธเพรงกาล..........................มาล่ม ลงแล ธารพระธรรมผากไร้...........................ร่อยร้างมลายขวัญฯ (๒๔) พรายน้ำวาววับน้ำ.................นองพระยา เงาโบสถ์คร่ำลำนาวา...........................ลิ่วลื้น ไหลลอยล่องชีวิตมา.............................มาดมุ่ง เมืองแล จมคลื่นกระแสไป่ฟื้น...........................ฝากน้ำซากสลายฯ (๒๕) ปณิธานไพร่ฟ้า.....................กวีไพร พลีหลั่งเลือดละไม...............................มุ่งฟื้น ปลุกสำนึกดื่มดวงใจ............................ชนชาติ กวีนอ กราบแผ่นดินน้ำตารื้น..........................รักษ์ร้อยชาติสยามฯ .............................. อรุณเบิกฟ้าสยามอีกครั้งกับวสันตฤดูที่ข้าพเจ้าหลงใหล บทเพลงแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยายังบรรเลงอยู่นิรันดร์ ชีวิตผู้คนเริ่มต้นที่ริมสายน้ำนี้ และดำรงอยู่ในห้วงเอกภพ และฝังความทรงจำไว้ริมฝั่งแม่น้ำสายโบราณสายนี้ ทุ่งนาข้าวกล้ากำลังระบัดใบเขียวไสวรับสายวสันต์ ไหวว่ายตะเพียนปลา คือความอุดมสมบูรณ์แห่งแผ่นดิน กับอารยธรรมที่สืบต่อหล่อหลอมมาจากอดีตกาล จนกลายเป็นเอกลักษณ์แห่งสยาม บุญเพรงอยุธยาจวบรัตนโกสินทร์ได้พบพุทธศาสนา อันหล่อหลอมจิตใจดวงดีของผู้คนมาหลายทศวรรษแล้ว ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว จะหาแผ่นดินไหนเทียมเทียบได้อีก กาลเวลาเดินทางอย่างเงียบๆ สรรพสิ่งกำลังรอการแตกดับ แตกดับไปพร้อมๆ กับจิตสำนึกผู้คนท่ามกลางกระแสวัฒนา ข้าพเจ้าได้แต่หลั่งน้ำตาเงียบๆ เมื่อประหวัดถึงอดีตอันรุ่งโรจน์ และฉากภาพอันเกรียงไกรแห่งอยุธยา..... จักงดงามอะไรในโลกนี้ เมื่อสายธารนทีไม่รี่ใหล สรรพสิ่งรอแตกดับอับครรไล แม้นเวียงชัยช่อฟ้าวัดอาราม ตะวันรอนลับปรางค์อย่างเงียบเหงา สิ่งใดเล่าจักเชิดชูชาวสยาม เมื่อวันพรุ่งรุ่งฟ้ามาอีกยาม ฤาปล่อยข้ามเปลี่ยวคืนล้มครืนไป ใบไม้ร่วงชีวิตร้างอย่างบรรพบุรุษ แห่เผ่าพันธุ์มนุษย์ผุดเกิดใหม่ มาอับจนหนทางระวางวัย ถมความโลภเอาไว้พูนแผ่นดิน หลงกระแสอันใดในโลกเล่า เมื่อต้องเฝ้าวิญญาณสุสานหิน ใยมิหว่านแก่นมนุษย์พุทธชีวิน ตราบสุดสิ้นยุคศรีอาริยเมตไตรยฯ ----------------------------------------------------- ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์ พลีปณิธานบูชาบรรพบุรุษแห่งสยามและผองผู้กล้า ชาติเชื้อหน่อนักสู้ ด้วยน้ำตาและจิตวิญญาณ เยี่ยงทาสฟ้าข้าแผ่นดินแห่งเศวตฉัตรจักรี จากต้นธาตุอยุธยาสู่รัตนโกสินทร์ไว้ดังนี้แล้ว
10 สิงหาคม 2548 23:54 น. - comment id 502438
เพราะความโลภแท้ ๆ เลย เป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปของมนุษย์จริง ๆ คุณแต่งได้ดีมากๆๆๆๆๆเลยค่ะ ชื่นชมในผลงานเสมอ หายไปนานเลย หวังว่าคงสบายดีนะค่ะ
11 สิงหาคม 2548 00:14 น. - comment id 502442
สวัสดีค่ะ คุณลำน้ำน่าน พับตะเพียน เพียรพับเพื่อ เกื้อแผ่นน้ำ อะเคื้อค้ำคุณธรรมเลอล้ำค่า ประวัติชาติวาดเวียงเรียงวัดวา ตะเพียนแขวนทั่วแคว้นหล้า พากันพับ.. ขอเพียงห้วงดวงหฤทัยไม่ไร้ภักดิ์ ยังจงรักไตรรงค์ชูมิรู้ดับ ยังเห็นแสงแดงเลือดเดือดระยับ ร่างถมทับธรณีที่อโยธยา...ฯ งานงดงามอร่ามล้ำลำน้ำน่าน บุญพุทธกาลฉานฉายประกายกล้า เบิกบุญเพรงเชลงร่ำระบำอักษรา เบิกพยานย่านดินฟ้าฟื้นมาฟัง ฯ ช่อชงโค... ..............................
11 สิงหาคม 2548 00:45 น. - comment id 502448
ดูเหมือนจะไม่ได้พบคุณลำน้ำน่านนานเลย แต่ก็ได้อ่านงานจนอิ่มใจ โคลงงามจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะสองบทนี้ (๒๓) เงาเมรุเงาวัดเวิ้ง..................ไพหาร พุทธะหลั่งวิญญาณ..............................หยาดไว้ ชะรอยพุทธเพรงกาล..........................มาล่ม ลงแล ธารพระธรรมผากไร้...........................ร่อยร้างมลายขวัญฯ (๒๔) พรายน้ำวาววับน้ำ.................นองพระยา เงาโบสถ์คร่ำลำนาวา...........................ลิ่วลื้น ไหลลอยล่องชีวิตมา.............................มาดมุ่ง เมืองแล จมคลื่นกระแสไป่ฟื้น...........................ฝากน้ำซากสลายฯ ................................................................ ลี่...ผู้มาเยือน .
11 สิงหาคม 2548 08:39 น. - comment id 502503
ในชีวิต ผู้คนรัตนโกสินทร์ ลำน้ำน่านได้ร่ายรจนาโคลง ในแง่มุมละมุนได้งามเกินคำชมใดใด อ่านง่าย ใช้ภาษาใจ นวลใสสะอาดและแสนละม่อม ละเมียด อย่างผู้เข้าถึงความสุนทรีย์ ซึ่งคือเสน่ห์ของกวีเหนือสัมผัสใด
11 สิงหาคม 2548 10:44 น. - comment id 502539
มาร่วมยลผลงานพุทธ มาขอคารวะผลงานงาม อีกชื่นชมการเขียนคำนิยาม บทกลอนงามล้ำค่าน่ายินดี นานๆจะได้พบกับคุณลำน้ำน่านสักครั้ง...........ผลงานยังคงคุณภาพเสมอ.......ชื่นชมมากค่ะ.....
11 สิงหาคม 2548 11:33 น. - comment id 502573
มีหลายบทเป็นเขียนกลบทซ่อนไว้ ๕) เขียว..กระทงตองท่องท้อง....ธารทอง เขียว...ทุ่งข้าวรวงรอง.....................ระบัดกล้า เขียว...ผักคละครองคลอง................เครียวยอด เขียว...พระมรกตหลักหล้า..............เหล่านี้มณีสยามฯ อันนี้เขาเรียกลบทอะไรเหรอครับ?
11 สิงหาคม 2548 13:08 น. - comment id 502621
อิ่มใจที่ได้อ่านงานงามของพี่นิวครับ
11 สิงหาคม 2548 15:52 น. - comment id 502732
ยอดเยี่ยมครับ...
11 สิงหาคม 2548 23:46 น. - comment id 502961
ไม่ได้พบกันนาน มาในครั้งนี้ก็เห็นแววกวีโผล่มา ฝีมือแบบนี้ไม่แน่อาจจะเข้าขั้นนักเขียนใหญ่ในอนาคตก็เป็นได้
12 สิงหาคม 2548 12:09 น. - comment id 503024
งดงามจริง ๆ ขอเก็บไว้ดูหน่อยนะครับ
18 สิงหาคม 2548 15:16 น. - comment id 505453
ยังเด็ดขาดเหมือนเดิมน่ะคะ พี่ใบบัว
17 มกราคม 2549 18:56 น. - comment id 553803
น่าจะมีเพลงมากกว่านี้ โดยน่าจะมีเพลงประกอบดั่งดวงหฤทัยที่พี่นัท มีเรีย ร้องดัวยเพราะหนูชอบมาก และน่าจะมีเพลงประกอบละครทั้งใหม่และเก่ามาเพื่อจะได้มีการเลือกเพลงมากกว่านี้และจะได้มีการไม่ฟังเพลงซําซากถ้ามีมากกว่านี้ก็จะทำให้คนสนใจมากขึ้นและชอบที่จะเข้ามาฟัง
17 มกราคม 2549 18:57 น. - comment id 553804
ขอเพลงประกอบละครมากกว่านี้ได้ไหมคะเพราะหนูชอบมากคะเพลงแต่ละเรื่อง