ท่ามกลางความเปลี่ยวดาย ที่กร่อนกัดทำลายวิญญาณข้าฯ ณ ฟ้าพู้นปรากฏเดือนดาริกา ส่องแสงกระพริบพร่าดั่งขาดใจ ไม่มีเธอเคียงข้าง ข้าฯอ้างว้างโดดเดี่ยวเหนือไหน ฟังเพลงพลิ้วลมเลื่อนเฉือนใบไม้ อันเพลงนั้นก็กรีดใจข้าฯยิ่งนัก ความมืดเป็นใหญ่ ครอบฟ้าสุลาลัยได้ประจักษ์ เหมือนข้าฯอยู่เดียวว่างอ้างว้างนัก ท่ามหมู่ดาวกาลจักรอันมืดมน .......... แสงกระพริบท่ามหมู่มืดอนธการ ดังวิญญาณกระพริบพร่าช่างมัวหม่น ลอยเลื่อนไปไร้จุดหมายปลายแห่งหน ผ่านผู้คนที่ระรื่นชื่นสำราญ ข้าพเจ้ายังเคลื่อนไหว เคลื่อนไปในท้องฟ้าราตรีผ่าน ยังเคลื่อนอยู่ในฟากฟ้าทิวากาล ไร้จุดหมายแห่งดวงมานที่รู้รับ ข้าพเจ้าออกค้นหา สิ่งอันกู้วิญญาณ์ในคืนดับ สิ่งอันช่วยยาใจในคืนลับ ซึ่งไม่รู้ได้สดับ ณ แดนใด แดนใดที่ใจข้าฯมุ่งหมาย แดนฟ้าพรรณรายฤๅมิใช่ แดนถิ่นที่ยืนหยัดช่างเปล่าไร้ หรือแดนใจอันนิ่งงันฝันเลื่อนลอย ข้าพเจ้ายังเคลื่อนไหว พยายามเคลื่อนไกลจากความหงอย อันเหงาเปลี่ยวดายเดียวที่เคลื่อนคล้อย ตามติดทุกร่องรอยการย่ำเท้า .......... ในการเดินทาง ข้าฯผ่านความรกร้างอันหม่นเศร้า ข้าฯผ่านความปรีดาอันรื่นเร้า และพบความเปลี่ยวเหงาทุกที่ไป แม้ขณะแห่งความรื่นรมย์ ยังมีความตรอมตรมที่หม่นไหม้ แทรกตัวอยู่ระหว่างในหัวใจ ท่ามความรื่นฤทัยอันเบิกบาน ข้าพเจ้าจึงได้รู้ ว่าในทุกอณูมหาศาล ที่ประกอบเป็นความมีอนธการ ล้วนจดจารด้วยความเหงาความเปลี่ยวดาย .......... มนุษย์ล้วนโดดเดี่ยว ดายเดียวอยู่ในใจอันหม่นสลาย จึงต้องหาแสวงสุขจากรอบกาย เพื่อเติมเต็มความหมายให้ชีวิต มนุษย์เกิดมาเศร้า ในทุกผู้ทั้งตัวเราอันนิ่งสนิท มีความเศร้าคอยหล่อเลี้ยงดวงชีวิต เป็นมิ่งมิตรที่แท้ในใจจินต์ .......... ข้าพเจ้าหยุดเคลื่อนไหว รู้รับในดวงใจทุกสิ่งสิ้น หยุดการเดินทาง หยุดโบยบิน ก้มมองผืนดินที่หยัดยืน .......... แดนใดที่ข้าฯหมาย หนีไม่พ้นความเปลี่ยวดายที่หม่นฝืน ในเมื่อความโดดเดียวนั้นหยัดยืน อยู่ในผืนใจข้าฯ ในตัวตน ข้าพเจ้าหันหลังกลับ ขอลาลับการเดินทางผ่านแห่งหน กลับสู่ถิ่นแห่งข้าฯ แห่งตัวตน สู่รากเหง้าบรรพชนแห่งชีวิต .......... ข้าพเจ้านั่งนิ่งมองสายฝน พลางคิดถึงตัวตนที่หมายลิขิต ความเปลี่ยวเหงาคือเพื่อนแท้แห่งชีวิต ยากจะปลิดให้ร่วงทิ้งไปไกล ความหมายแห่งการดำรงอยู่ อาจฟังดูโก้หรูเหนือไหน อาจต้องเดินทางแสวงหาไป ณ แดนถิ่นดินใด ไม่รู้พบ เพราะทุกอย่างอยู่ในตัวเรา ป่วยการเปล่าหาจากไหนให้บรรลุจบ ป่วยการหาจากแดนใด ไม่รู้พบ นิ่งสงบในตนจึงแจ้งใจ ข้าพเจ้าหยุดแล้วซึ่งทุกสิ่ง ปล่อยทิ้งวางไว้มิรู้ไหน ไม่สำคัญ ณ ขณะนี้ หรือต่อไป ปล่อยเถิด วางไว้ให้ไกลตัว .......... ข้าพเจ้าปิดเปลือกตา จมสู่นิทราอันมืดสลัว อาจจะมืดจะว้าเหว่และน่ากลัว แต่ก็เกิดจากใจตัวแห่งชีวิต .......... ท่ามกลางความเปล่าดาย จะเสกสรรค์ความหมายอันพิสิทธิ์ ประสานกายใจและความคิด รังสรรค์กรรมนฤมิตจากตนตัว.
21 พฤศจิกายน 2547 02:27 น. - comment id 374318
มาอ่านแล้วค่ะ ยาวมากค่ะ แต่ก็เพราะนะคะ
21 พฤศจิกายน 2547 03:51 น. - comment id 374326
ขอบคุณ คุณtiki ครับ ยอมรับว่ายาวเกินควรไปหน่อย ตอนเขียนไม่รู้ตัวหรอกครับ พอเขียนเสร็จมาดูจึงรู้ว่าทำไมเขียนยาวเสียขนาดนั้น? เพื่อนๆที่เข้ามาอ่านอย่าคิดมากแล้วกันครับ แก่นมีอยู่นิดเดียว ที่เหลือเป็นอาภรณ์ประดับความคิด
21 พฤศจิกายน 2547 03:59 น. - comment id 374329
: )
21 พฤศจิกายน 2547 11:00 น. - comment id 374358
..มนุษย์ทุกคน..ล้วนเกิดมาโดดเดี่ยว ..ผ่านความปรีดาและระทมทุกข์สาหัส ..แลรอบข้างล้วนแต่สิ่งที่จรรโลงใจและย่ำใจ ..ใช่ว่าจะมีด้านเดียวที่เห็น ใช่มีสองตรรกะเสมอ ..พึงสดับด้วยวิทยปัญญาของตนเอง ..แล้วจะรู้ว่า ..สรรเสริญเป็นของพระเจ้า.. :)
21 พฤศจิกายน 2547 21:45 น. - comment id 374592
ขอบคุณ คุณสีน้ำฟ้าและคุณอัลมิตรา ครับ
21 พฤศจิกายน 2547 23:21 น. - comment id 374703
ท่ามกลางความเดียวดาย ยังมีความอ้างว้างข้างกายเสมอ ท่ามกลางฉันและเธอ ยังมีกลอนเสมอเป็นสื่อสารกลางใจ *-*แต่งได้ดีค่ะ*-*
23 พฤศจิกายน 2547 21:59 น. - comment id 376379
ขอบคุณ คุณผู้หญิงไร้เงาครับ