ลมเหมันต์มาเยือนเหมือนปีกลาย จุดมุ่งหมายอีกไกลไปไม่ถึง เพียงเพ้อฝันรำไรในคำนึง พอลึกซึ้งซาบซ่านสนานใจ อรุณแล้วอีกคราวในหนาวนั่น เสียงผู้ใดรำพันถึงฝันใหม่ จากโพ้นทุ่งรุ่งรางกลางพฤกษ์ไพร แผ่วมาไกลสันโดษลับโบสถ์บรรพ์ ว่าเหมันต์รวงข้าวที่พราวทุ่ง รอจรุงประภัสสรตอนแสงสรรค์ รอน้ำค้างกลางหาวมาพราวพรรณ รอฉายภาพเกษมสันติ์วันหนาวนา ฉายความงามริ้วรวงให้ช่วงโชติ เมื่อสันโดษผลิแย้มแต้มอุษา รับมิ่งมนตร์อุ่นอรุณเมื่อหมุนมา ส่องมรรคานาข้าวของชาวพุทธ เผยสามัญเงียบงามตามทุ่งถิ่น หลังสู้ดินสู่ฟ้านาวิสุทธิ์ สืบศรัทธาก้าวสู่ผู้วิมุตติ ผู้โชนจุดธรรมาอารยชน หยดน้ำค้างร่วงเผาะเพราะทำนอง เสียงแซ่ซ้องโกกิลาทุกนาหน วิเวกไหวสันโดษในโสตตน กล่อมมณฑลบ้านนาอยู่ช้านาน วิหคเช้าชาวไพรไม่ทิ้งถิ่น ไปหากินพลัดหลงดงสังขาร ไปจมโลกย์โศกเศร้าเป็นเต่าทาน ไปห่างไกลนฤพานย่านคบคา ตื่นมาเถิดแก้วตาหน้าหนาวแล้ว แสงจันทร์นวลจวนแคล้วจากเวหา เมื่อแสงเงินแสงทองส่องผืนนา คือสัญญาบรรพบุรุษรุดจับงาน แม่หุงข้าวหอมใหม่ไว้ใส่บาตร เด็ดบุปผชาติบัวบุษย์พุทธศานต์ พ่อเตรียมคราดคันไถใต้เพิงลาน ท้ายหมู่บ้านตะโพนโยนเสียงมา ตื่นแตกพรูวิหคเริ่มผกผิน ต่างโผบินสู่พงดงตาลหนา พระสงฆ์พุทธออกเดินเพลินภาวนา คือสามัญธรรมดาแห่งชีวิต ตระหนักถึงง่ายงามของความว่าง โน้มหนทางไตรลักษณ์พิทักษ์จิต สรรพสิ่งแนวทางต่างนิมิต ธรรมชาติแท้ลิขิตความสมดุล ลมเหมันต์มาเยือนเหมือนปีกลาย จุดมุ่งหมายแท้สุขทุกโลกหมุน สถิตทุ่งสถิตข้าวคราวอรุณ เนื้อนาบุญค่าอุโฆษสันโดษชน ------------------------ ชีวิตที่แตกโตขึ้นท่ามกลางความงดงาม และความสันโดษแห่งธรรมชาตินั้น เป็นวิถีที่น่าเสน่หา และน่าประภัสสรอยู่ไม่น้อย... เราปฏิเสธไม่ได้ว่า บรรพบุรุษของมนุษย์แห่งเรานั้นเป็นเกษตรกรผู้สันโดษ เป็นชาวนาอารยชนผู้สืบสายวัฒนธรรม ทุ่งข้าว ประเพณีดีงาม ถึงแม้เราจะก้าวไปสู่ความวัฒนาของโลกเทคโนโลยี่สักเพียงไหน เราก็หนีความเป็นธรรมชาติไปไม่พ้น เราปฏิเสธไม่ได้ที่จะมองภาพอันวิลาสีนี แห่งท้องทุ่งข้าว รวงเรียวระบัดงามท่ามกลางสายหมอก ภาพป่าเขาลำเนาไพร เราหนีไม่พ้นกฎธรรมชาติ.... ความสันโดษและพอใจในสิ่งที่ตนมี ใช้ชีวิตเรียบง่ายท่ามกลางกระแสวัฒนา น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับยุคโลกาภิวัฒน์อันเร่าร้อน รู้เท่าทันความเจริญ ในขณะเดียวกัน ก็โน้มความสันโดษ เข้ามาประคองชีวิต เฉกเช่นเราดื่มน้ำหวาน น้ำมธุรส มายมายฉันท์ใด สุดท้ายเราก็ต้องดื่มน้ำจืด อันบริสุทธิ์ปิดท้ายฉันท์นั้น นี้คือกฎแห่งธรรมชาติ ลมหนาวเริ่มแล้ว หวังให้ทุกดวงใจได้โน้มวาระของรุ่งอรุณแห่งเหมันต์นี้ พิจารณาเวลาที่ผ่านมา ความทุกข์ ความสุข และความทะยานอยากตามกระแส บางที่เราอาจพบทางเดินใหม่ที่ สงบ และสันโดษ งดงามอยู่ท่ามกลางความวัฒนา เป็นพุทธศาสนิกชนที่เรียบง่ายตามเจตนารมย์แห่งองค์สัมมาฯ ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
4 พฤศจิกายน 2547 02:09 น. - comment id 363299
คิดถึงเหมือนกันแหละ บรรยากาศงาม ๆ แห่งท้องทุ่ง อยากไปเจอเช้าแบบนั้น นี่โครงการไปเชียงใหม่ยังไม่พับเก็บ.. กางแปลนคาไว้อย่างนั้น .. คาดว่าเร็ววันนี้คงได้ไป แล้วจะเก็บมาเล่าให้ฟังนะ..
4 พฤศจิกายน 2547 03:44 น. - comment id 363309
มาแวะอ่านงานอรุณรุ่งแต่ฝากลำน้ำน่านดู แผ่วมาไกลสันโดษลับโบถส์บรรพ์ โบสถ์ หรือเปล่านะคะ รอฉายภาพพุทธสันต์วันหนาวนา ขอความหมายพุทธสันต์นะคะ.. ไม่ค่อยเข้าใจคำนี้ค่ะ หยดน้ำค้างร่วงเผาะเพราะทำนอง เสียงแซร่ซ้องโกกิลาทุกนาหน วิเวกไหวสันโดษในโสตตน กล่อมมณฑลบ้านนามาช้านาน บทนี้เพราะพริ้งจับใจค่ะ ตื่นมาเถิดแก้วตาหน้าหนาวแล้ว แสงจันทร์นวลจวนแคล้วจากเวหา เมื่อแสงเงินแสงทองส่องผืนนา คือสัญญาบรรพบุรุษรุดจับงาน บทนี้ดื่มด่ำใจในการตื่นเช้าแห่งชาวทุ่ง เจ้าหุงข้าวหอมใหม่ไว้ใส่บาตร เด็ดบุปผชาติบัวบุษย์พุทธสาสน์ พุทธสาส์น หรือไม่ แต่ถ้าใช่แล้วลำน้ำน่านหมายความว่ากระไรคะ
4 พฤศจิกายน 2547 09:10 น. - comment id 363336
ลมเหมันต์ผันเลื่อนเยือนเย็นแล้ว ขานเจื้อยแจ้วแพรวพราวราวอักษร ตื่นจากหลงเถิดหนาอย่าอาวรณ์ น้อมเข้าย้อนดูในจิตพิศตนเอง ช่างงามแท้งามนำลำน้ำน่าน สูงสุดสานสู่สามัญนั้นมิเคว้ง สันโดษจากท้องนามาบรรเลง ร่ายบทเพลงสู่สงบจบแท้จริง งดงาม.....ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น.....ร้อนรุ่ม.....ตะเกียกตะกายทะยานอยาก..... มาเยือนกลอนคุณลำน้ำน่านคราใด.....ก็พบความสงบและสันติอย่างแท้จริง ธรรมะสวัสดีค่ะ
4 พฤศจิกายน 2547 09:40 น. - comment id 363349
สีน้ำฟา แถวเชียงใหม่หนาวแล้วมั้งครับ มีโครงการไว้เหมือนกันแต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ลมหนาวมาทีไรนั้น ก็อดที่จะคิดถึงท้องทุ่งนาไม่ได้สักคราวเลยครับ ทิกิครับ ขอบคุณมากครับในความมีน้ำใจคัดกรองคำผิดให้เสมอๆ ผมบกพร่องตรงนี้จริงๆ ครับ บ่อยครั้งเลยที่เขียนคำผิด ด้วยรีบเร่ง ผู้อ่านเป็นคนตรวจสอบได้อย่างดีเลยนะครับ ทั้งคำว่าโบสถ์ และ คำว่า สาสน์ ครับ คำว่า พุทธสันต์ เกิดจากคำสองคำ พุทธ หรือ พุทธ คือก็พระพุทธเจ้า สันต์ เป็นว่า เงียบ สงบ สงัด ผมเข้าใจเอาเองว่า คำนี้หมายความ ความเรียบง่าย สงบ ตามแนวพุทธครับ ว่าเหมันต์รวงข้าวที่พราวทุ่ง รอจรุงประภัสสรตอนแสงสรรค์ รอน้ำค้างกลางหาวมาพราวพรรณ รอฉายภาพพุทธสันต์วันหนาวนา ประโยคข้างต้นนี้ ก็แปลได้ว่า เปรียบได้ว่ารวงข้าวนั้นในฤดูเหมันต์นั้นรอพบกับแสงอรุณเพื่อความประภัสสร รอน้ำค้างกลางหาวมาแต่งแต้มลักษณะให้งดงามยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ ผมเปรียบเทียบและมองเห็นภาพความเรียบง่าย สงบสงัด แห่งพุทธศาสนาครับ คุณมณีครับ ผมเคยบอกแล้วว่าชอบชื่อ มณี ปัทมะ ตารา มากครับ ราวกับมีความหมายที่แยบคายอยู่ ขอบคุณมากครับที่ให้เกียรติติชมงาน
4 พฤศจิกายน 2547 09:49 น. - comment id 363359
ทิกิครับ เจ้าหุงข้าวหอมใหม่ไว้ใส่บาตร เด็ดบุปผชาติบัวบุษย์พุทธสาส์น พี่เตรียมคราดคันไถในเพิงลาน ท้ายหมู่บ้านตะโพนโยนเสียงมา บทข้างต้นผมนำเสนอถึงภาพของครอบครัวชาวนา ที่มีภรรยาตื่นขึ้นมาหุงข้าวใหม่ไว้ใส่บาตร เตรียมดอกบัวซึ่งเป็นดอกไม้ตัวแทนแห่งพุทธศาสนา (คำว่า สาสน์ แปลว่า คำสั่งสอน พุทธสาสน์ ผมแปลว่า เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าครับ) ส่วนสามีนั้นก็เตรียมคันไถ เตรียมคราด เพื่อพร้อมออกสู่นา ในขณะเดียวกันเสียงตะโพนจากวัดท้ายหมู่บ้านนั้นก็ดังขึ้น ซึงแสดงว่าวันนั้นเป็นวันพระนั่นเองครับ เด็ดบุปผชาติบัวบุษย์พุทธสาส์น ประโยคนี้ผมแปลว่า เด็ดดอกบัวซึ่งเป็นดอกไม้ตัวแทนแห่งคำสอนของพุทธศาสนา ครับ ขอบคุณครับที่ให้เกียรติติชมและติดตามบทกลอนอย่างสม่ำเสมอเยี่ยงมิตร
4 พฤศจิกายน 2547 10:06 น. - comment id 363375
สดชื่น สนชื้น
4 พฤศจิกายน 2547 10:55 น. - comment id 363426
ทุ่งรวงทอง งามล้ำในความงามจริง ๆ ค่ะ ชื่นชมในผลงานนะค่ะ หายไปนานเลย ดีใจที่ได้พบเจองานงามอีกครั้ง
4 พฤศจิกายน 2547 11:20 น. - comment id 363468
^_^ ชื่นชอบชื่นชมผลงานเสมอค่ะ
4 พฤศจิกายน 2547 11:55 น. - comment id 363512
สุด สุด แล้วครับ ไม่มีอะไรจะสมบูรณ์เท่านี้อีกแล้ว มีครบทุกอย่าง ธรรมชาติ รัก และธรรม เมกขอเก็บหน้านี้ไว้นะครับ +-*-+ +-*-+-*-+ปู๊ชายอารมดี๊ดี+-*-+-*-+ +-*-+
4 พฤศจิกายน 2547 12:28 น. - comment id 363543
เป็นทุ่งนาแห่งความเหงา เป็นสายลมเบาที่พัดผ่าน เป็นความร้างลาที่เนินนาน เป็นตำนานของผืนดินถิ่นทำเนา เป็นแต่ปลาฮุบเหยื่อที่เหลืออยู่ เป็นแต่คูคันนาที่แดดเผา เป็นแต่ซากความหลังที่บางเบา เป็นแต่เสาค้ำคนให้อิ่มเอม ............
4 พฤศจิกายน 2547 12:39 น. - comment id 363552
วิจิตรอ่านบทกวีของพี่แล้วบทกวีของวิจิตรก็พลอยจะออกมาด้วยครับ
4 พฤศจิกายน 2547 12:51 น. - comment id 363569
ตอนเด็ก ๆ เป็นไข้หัวลมทุกปี พอลมหนาวมานิดหน่อยหน้าแข้งขึ้นลายผิวแห้งเป็นขุยเลย เป็นฤดูที่ไม่ชอบ ไม่ค่อยยิ้มในฤดูนี้ เพราะเจ็บรอยแตกที่ริมฝีปาก ลมทุ่งมันหนาวเหน็ดจริง ๆ
4 พฤศจิกายน 2547 16:42 น. - comment id 363757
ช่วงใกล้หน้าหนาวทุกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นอะไรผมจะไม่สบายตลอด หะหะ ทั้งๆที่ร่างกายผมเองนี่ก็แข็งแรงเสมอมานะขอรับ ... ผลงานยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลยนะขอรับ ดีใจขอรับที่ไดอ่านผลงานนี้ต้อนรับแห่งเหมันต์ฤดู
4 พฤศจิกายน 2547 20:11 น. - comment id 363881
ที่โคราช เช้านี้ มีหมอก อากาศเย็นกำลังสบาย สดชื่นมากค่ะ ..........คิดถึงพี่นิวค่ะ..............
4 พฤศจิกายน 2547 21:13 น. - comment id 363926
แวะมาชื่นชมบรรยากาศช่วงเช้า ที่เสาะหาแทบไม่ค่อยได้พบเห็นในปัจจุบัน แวะมาสูดอากาศบริสุทธิ์อย่างเต็มปอดครับ
4 พฤศจิกายน 2547 21:14 น. - comment id 363928
งานงาม ครบรส ถูกใจมากค่ะ สวัสดีค่ะ
4 พฤศจิกายน 2547 22:51 น. - comment id 364034
..ภาพ..และบทกวี .. ยังคงงดงาม..ไพเราะ.. มากเลยคะ .. ..เรน .. คิดถึง ..พี่นิว ..นะคะ..
5 พฤศจิกายน 2547 00:07 น. - comment id 364124
ลมเหมันตร์ฝันร้างกลางความท้อ เพียงพร่างพ้อพรมพรายใช่แค่นั้น ฤดูกาลผ่านมาแค่คืนวัน โอบปลอบขวัญให้บทเรียนเพียรสอนใจ อรุณไหนอรุณหนาวก็เท่านั้น เลิกรำพันฝันทำจริงสิ่งใหม่ใหม่ จากราวเมืองถึงราวป่าราวพฤกษ์ไพร จุดเทียนใจส่องนำทางกลางโบสถ์บรรพ์ รวงคลอดินกลิ่นสาบวัวยังคลอทุ่ง ใช่จรุงหากหอมพร่างกลางชีพขวัญ ฝนทิ้งช่วงอ้ายทิ้งถิ่นมานานวัน รอวสันต์พร่างพรพุทธพิสุทธิ์นา สายแสงแรกหยอกรวงให้ช่วงโชติ งามสันโดษเดียวดายพรายอุษา รับรวงขวัญวันรวงหอมค้อมดินนา แสงทองจ้าจับจีวรสอนชาวพุทธ เผยจิตพร่างสว่างเย็นตามทุ่งกลิ่น หอมไอดินฉ่ำฝนปนพิสุทธิ์ คือชาวนาหัวใจทองสอนมนุษย์ ให้รู้หยุดดูดินถิ่นอารยชน หยาดน้ำค้างจากฟ้าราวรวงเพชร คือฝนเม็ดพร่างดอกพราวทุกนาหน ดุเหว่าหวานผ่านแมกไม้ผ่านสายชล กล่อมกมลชาวบ้านนามาช้านาน เจ้านกไพรใจท้อยอมทิ้งถิ่น ไปหากินในเมืองหลวงลวงสังขาร ไปจมโลกย์โศกเศร้าเหงายาวนาน ไปห่างบ้านห่างแม่พ่อรอคบคา ตะวันรุ่งชักรถเยือนโลกแล้ว อรุณแก้วสาวนาตื่นรับอุษา ดาวประจำเมืองยังเรืองรุ่งประดับฟ้า แหงนเงยหน้ารับแสงทองส่องสู้งาน จูบแก้มหอมค่อยปลุกอ้ายรอใส่บาตร พายเรือมาดเด็ดบัวบึงเกสรหวาน พับกลีบน้อยค่อยถวายพระประธาน ทั้งหมู่บ้านปลุกชีพพุทธหยุดทำนา นั่นแสงสงฆ์สว่างกลางทุ่งเขียว โน่นตาลเดี่ยวนกกระยางกลางทุ่งหญ้า พระสงฆ์เรียงรายพรายพร่างกระจ่างตา สอนศรัทธาฝากไว้สายทองธรรม ใช้ชีวิตติดดินถวิลว่าง นำนาพร่างแสงสงฆ์มารินร่ำ ให้สว่างกระจ่างใจซึ้งในธรรม รู้ค่าคำสวรรค์บ้านนานะดวงใจ ลมหนาวพราวห่มหอมในดวงจิต ดั่งดอกนิรมิตแก้ววิเศษกลางใจใส สถิตทอดยอดแห่งธรรมน้อมนำใจ คือนาใจนาบุญหนุนนำเนื่องสู่นิพพาน!
5 พฤศจิกายน 2547 12:53 น. - comment id 364412
ลำน้ำน่านยังไม่ตอบ พุทธสาส์น นะคะ แปลว่า สารจากพุทธะ หรืออย่างไร แต่หาก พุทธศาสน์ เราจะหมาย ศาสนาคำสอนแห่งพุทธะ ฝากดูนิดหนึ่ง เพราะร้อยกรองของลำน้ำน่าน อันไพเราะนั้นเราจะยกไปลงเล่มใหม่ เลยกระตุกอยู่ ขอช่วยเฟ้นคำสักนิดนะคะ ส่วน พุทธสันต์ นั้น ก็คงพอผ่านไปได้ แต่ ก็แปร่งๆอย่างไรอยู่ ด้วยเราเคยชินกับคำว่า สุขสันต์ และ พทธศานติ์ หรือ พุทธศานติ์ กันหรือ ว่า พุทธศานต์ กันแน่ ขอผู้รู้ช่วยแจ้งให้ทราบจะดียิ่งค่ะ
5 พฤศจิกายน 2547 13:43 น. - comment id 364450
ทิกิครับ ผมตั้งใจใช้คำว่า พุทธสาส์น (พุด-ทะ-สาน) ผมแปลเอาเองว่า คำสั่งสอนของพระพุทธครับ หากผมใช้คำว่า พุทธศาสน์ (พุด-ทะ-สาด) ก็จะผิดสัมผัสในบทนั้นไปครับ ตื่นมาเถิดแก้วตาหน้าหนาวแล้ว แสงจันทร์นวลจวนแคล้วจากเวหา เมื่อแสงเงินแสงทองส่องผืนนา คือสัญญาบรรพบุรุษรุดจับงาน เจ้าหุงข้าวหอมใหม่ไว้ใส่บาตร เด็ดบุปผชาติบัวบุษย์พุทธสาส์น พี่เตรียมคราดคันไถในเพิงลาน ท้ายหมู่บ้านตะโพนโยนเสียงมา ส่วนคำว่า พุทธศานติ์ กันหรือ ว่า พุทธศานต์ นั้นผมไม่ทราบนะครับ เพราะไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเหมือนกันครับ ผมไม่เคยเห็นคำนี้มาก่อนเลยครับ การอ่านบทกวีหรือบทกลอนในทัศนคติของผมนั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้ ฉันทลักษณ์ คือการอ่านแบบภาพรวม และเข้าใจความหมายโดยนัย หรือใช้บริบทพิจารณาครับ มิมุ่งตีความหมายอย่างตรงเผงลงไปตรงคำใดคำหนึ่ง อย่างมุ่งหลักภาษาอย่างยิ่งยวด เพราะมิฉะนั้นแล้ว อารมณ์และรสศิลป์ที่ปรากฎอาจจะกร่อยลงไปได้ครับ ส่วนท่านนักเขียนกลอนอื่นๆ อาจมีกลวิธีพิจารณาทั้งการเขียนและการอ่านแตกต่างกันออกไป เป็นลีลาเฉพาะตัวของผู้ใดก็ผู้นั้นครับ เฉกเหมือนดอกไม้ ถ้าเรามิมัวมุ่งเด็ดกลีบมาดูความสลับซับซ้อนหรือความงามของดอกไม้ที่ละกลีบทีละกลีบ เราจะพบว่า ดอกไม้หนึ่งดอกนั้น มีกลีบหลายกลีบที่สอดซ้อนสาน สวยงาม บ่งลวดลายอันน่าพิศวง ถึงแม้บางครั้งอาจจะซอนตัวหนอนไว้ก็ตามที เรื่องที่จะนำผลงานไปพิมพ์ในหนังสือทิกิ เล่มต่อไปนั้น ผมคงจะยุติไว้ก่อนนะครับ เพราะตั้งใจจะรวมเล่มเป็นของตัวเองเป็นตนเอง ซึ่งไม่อยากให้บทกลอนที่ผมเขียนนั้นถูกพิมพ์ไปแล้วครับ ขอบคุณมากครับที่ให้เกียรติและติดตามอ่านเสมอมาครับ
5 พฤศจิกายน 2547 13:48 น. - comment id 364454
ผู้หญิงไร้เงา คนเมืองลิง เมกกะ น้องวิจิตร พี่ฤกษ์ เมจิคเชี่ยน น้องอ้อม พี่ชัยชนะ กอกก และน้องเรน ขอบคุณมากนะครับที่ให้เกียรติผมเสมอมา ที่เข้ามาติดตามอ่านกันตลอด ด้วยผมไม่ค่อยมีเวลามาเขียนกลอนมากนักนะครับ แต่ก็ยังรักและคิดถึงมิตรทุกๆ คนอยู่เสมอครับ เวลาเห็นทุกท่านสดชื่นมีความสุข ผมก็สุขยิ่งกว่าครับ ด้วยตระหนักอยู่เสมอว่า ผมมิใช่นักเขียนกลอนที่ดีเลยครับ ไม่มีฝีมือเด่นดีในด้านนี้ เพียงแต่เขียนเพื่อเป็นงานอดิเรก พอสู้ซี้ ผ่อนคลายและระบายอารมณ์ก็เพียงนั้นครับ ทุกๆ ที่ชื่นชมก็ถือเป็นกำลังใจของผมอย่างยิ่งใหญ่แล้วในวินาทีนี้ครับ
5 พฤศจิกายน 2547 13:54 น. - comment id 364461
และสำหรับสาวบ้านนานั้น ต้องบอกว่าเราอาจจะมีจิตวิญญาณที่เหมือนกัน อาจจะทำกุศลมาแบบเดียวกันนะครับ การเสพบทกลอนจึงให้ความหมายที่ลุ่มลีก และมีน้ำมีนวล ชุ่มฉ่ำในหัวใจ ครับ
7 พฤศจิกายน 2547 13:20 น. - comment id 365446
..กำลังเศร้าเพราะใจเราอยู่ไม่นิ่ง เจอความงามแท้จริงอยู่ที่นี่ อยากบอกว่าแต่ละตอนกลอนของท่านที่เขียนนี้ ช่วยหยุดคนที่หม่นเศร้าเข้ามาชม.. ..อ่านแล้วซึ้งคิดถึงลำน้ำโขง ที่เชื่อมโยงโลกและธรรมยามเศร้าหมอง โลกชีวิตลิขิตกันตามครรลอง ธรรมอักษรผู้ร้อยกรองต้องเป็นคุณ เขียนบทกลอนทุกบทได้ไพเราะมากเลยนะคะ เคยใฝ่ฝันเหมือนกันว่าอยากจะเขียนกลอนแบบนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ดี ขอแสดงความนับถือค่ะ ไม่นึกว่าจะได้อ่นบทกลอนดีๆอย่างนี้ ขอสมัครเป็นลูกศิษย์ด้วยคนนะคะ ขอบคุณมาล่วงหน้าค่ะ
8 พฤศจิกายน 2547 09:42 น. - comment id 365897
อนาลัยครับ ขอบคุณมากครับที่ให้เกียรติชมบทกลอนครับ ผมคิดอยู่เสมอว่า ผมไม่ใช่นักเขียนกลอนที่ดีเลยครับ เพียงแต่เขียนสื่อตามอารมณ์และความรู้สึกขณะนั้นนะครับ ผมว่าอนาลัยค่อยๆ เขียนไปนะครับ เขียนไปตามความรู้สึกจริงๆ เพราะบทกลอนที่สื่อออกมาจากธรรมชาติและความรู้สึกจริงนั้น มักจะงดงามในแบบฉบับของมันเองนะครับ ถ้าผมแนะนำอะไรได้เท่าที่ผมทราบ ก็ยินดีครับ ในเวปนี้มีนักเขียนกลอนที่เก่งกาจหลายคนนะครับ ลองๆ ศึกษาดูนะครับ
8 พฤศจิกายน 2547 14:38 น. - comment id 366104
สวัสดีครับ ผมมาช้าหน่อยนะครับคงไม่ว่ากันนะครับ ด้วยกำลังแต่งภาคพิเศษในสติปัฏฐานสี่อยู่อันเป็นหมวดสำคัญมากครับ งามเหมือนเคยยากจะหาใครเทียบได้ครับ แก้วประเสริฐ.