เหลืองอร่ามนาม ”ข้าว” สาวชนบท
เจ้านั่งรถจากทุ่งมุ่งโรงสี
มาสวมชุดสีขาวสาวพรหมจารี
เพิ่มราศีมีราคาค่าควรเมือง
ประสบการณ์แรกเริ่มเพิ่มเชื่อมั่น
ว่าตนเองสำคัญเจ้าฝันเฟื่อง
หลายรายแล้วที่พร้อมยอมหมดเปลือง
จึงชำเลืองลอยหน้าอย่างท้าทาย
ตาสบตาเห็นแล้วแววประหลาด
เขามีจิตพิศวาสสมมาดหมาย
ชวนเจ้าร่วมเคหาตาประกาย
ยินยอมจ่ายงามงามตามราคา
ถึงบ้านจับใส่หม้อไม่รอรี
ตายังมีความหมายประกายกล้า
พอหุงสุกทันใดไม่รอรา
คว้าจานมาอีกมือถือทัพพี
เปิดฝาหม้อร้อนไอพุ่งใส่หน้า
ยังอุตส่าห์ยืนคอยไม่ถอยหนี
พอไออายหายพลันตักทันที
รีบร้อนรวดเร็วรี่ในลีลา
ฉันยิ้มย่องผ่องใสอยู่ในจาน
มองดูเขาลนลานควานปิดฝา
อุ๊ย! จานที่ฉันนั่งตีลังกา
หล่นแล้วจ้าหน้าคะมำคว่ำจูบพื้น
แทนที่จะสงสารเขาพานเกลียด
ทั้งรังเกียจเหยียดหยันฉันขมขื่น
ท่าทางไม่มีวันเก็บฉันคืน
กล้ำกลืนความปวดร้าวไม่เข้าใจ
อยากรู้นิยามความเป็นฉัน
คุณค่าความสำคัญอยู่ที่ไหน
ที่จานเขาถือหรืออย่างไร
ตกจานไปความสำคัญอันตรธาน
จึงทบทวนหวนคิดพินิจนิ่ง
ใจจึงฉุกว่าทุกสิ่งต้องมีฐาน
รถต้องมีถนนคนมีงาน
ข้าวจึงควรมีจานเป็นฐานรอง
ฐานจะช่วยชูเพิ่มเติมคุณค่า
ใช่มีแต่อัตตาแล้วผุดผ่อง
อยากมีค่าก่องเก็จดังเพชรทอง
เลือกฐานรองต้องคิดพิจารณา
อยู่บนจานโดดเด่นเป็น “ข้าวสวย”
ถึงคราวซวยตกจานอาหารหมา
ค่าคงที่ ต่ำ สูง สวย ฐานช่วยพา
ให้ดูดีมีราคาหรือราคี