รายกำแพงเสมาบุราณคร่ำ
ล้วนงดงามด้วยแสงตะเกียงไต้
พรรณพฤษาลดามาลย์ขรจขจาย
ทั้งเกษแก้วผกากรายดาษดา
เสกาเก่าคราวแม่แผ่กิ่งก้าน
ไทรโบราณระย้าย้อยห้อยสาขา
ดูอึมครึมทรนงทรงผกา
งดงามตาในสวนแก้วอุทยาน
ภัสมธุลีปนเกลือกกราย
แซมหินทรายรายเรียงระเบียงวิหาร
ดอกมะม่วงพลัดกิ่งทิ้งโรยบาน
โรยร่วงรานพรายหล่นปนลงมา
มองแหล่งฟ้าสุดขอบระยิบยับ
ดาราวับวามวาวเคล้าเวหา
ยางยวงเมฆรายห้อยย้อยลงมา
กับดาราราวมณีศรีแผ่นดิน
หลังตำหนักพรายฟ้าว่ายิบยับ
โคมอัจกลับเผยร่างต่างนกผิน
มโหรีหลั่นขนัดด้วยพายท์พิณ
วาทศิลป์พร้องกรับตีขับทรง
อุทยานสวนแก้วทางฟากนั้น
ลดามาลย์เอกผกามหาหงส์
ถัดไปอีกโถงห้องท้องพระโรง
ล้วนตระกานทรนงด้วยทรงไทร
ม่านอดีตปางเก่าเรียงเล่าเรื่อง
ผังแปลงเมืองโถงท้องตำหนักใหญ่
ศักดินาขุนนั่งทั้งนางใน
บัดนี้กลายเป็นซากศิลานั้น
กาลเวลาเลยล่วงไม่หยุดนิ่ง
สรรพสิ่งล้วนแต่เปลี่ยนแปรผัน
ซากศิลารายเกลื่อนเลือนปีวัน
มิแก่นมั่นจารีตอดีตกาล
แม้นวัดวาอารามงดงามแล้ว
ปรับเปลี่ยนแนวโครงสร้างวางรากฐาน
เพียงยืดความตั้งอยู่ให้อยู่นาน
สุดท้ายคลานสู่ดับลาลับไป
เพียงชิวิตมีความไม่แน่นอน
หวังอาวรณ์ยึดมั่นประการไหน
รอเวลาร้างลับดับครรไล
แก่นสารใดจักมั่นในวันลา
ไต้ตะเกียงส่องโรจน์กว่าโชติช่วง
จักค่อยหน่วงเปลวไต้หรี่ไฟหนา
แม้นไม่ต้องสายลมปมวายา
ก็ลับลาร้างลับกับเกลียวกาล
ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ