24 มกราคม 2556 18:40 น. - comment id 1253961
สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณทุกอย่าง มันคือภาพสะท้อนความรู้สึกนึกคิดในจิตใจของคุณเอง เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนภาพภายในออกมาให้ปรากฏเห็นภายนอก แรงบันดาลใจจากหนังสือ "กฏแห่งกระจก" ... ขอให้ผู้อ่านมีความสุขกันทุกท่านครับ
24 มกราคม 2556 19:26 น. - comment id 1253973
สหายรอดเคยส่งมาให้อ่านเหมือนกัน แต่อ่านแล้วมึนๆ สงสัยมึนก่อนอ่าน อิอิ
24 มกราคม 2556 19:32 น. - comment id 1253974
กระจกวิเศษ! บอกข้าเถิด ใครงามเลิศ ในปฐพี ไงเกลอแก้งค์ สบายดีหรือเปล่า? ส่วนเราสบาย ๆ.. กลอนนี้สะท้อนความเป็นมนุษย์ดีทีเดียว..
24 มกราคม 2556 19:49 น. - comment id 1253975
2... คุณยาฯ เคยอ่าน แต่อ่านแล้วมึนๆ ... แล้วอ่านจบยังคุณยาฯ ถ้ามึนก่อนอ่านก็โอเคนะครับ แสดงว่าอาจไม่รู้ว่าตัวเองอ่านจบรึยัง เพราะมันมึนอ่ะ 5555+ ... เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึงเลยนะครับคุณยาฯ ... ขอบคุณครับที่แวะมาทักทาย
24 มกราคม 2556 19:59 น. - comment id 1253977
3 ... ลคส. โอ้ ... ช่างโชคดี วันนี้ มาพบเธอ .. ตึกๆๆ ช่างโชคดี วันนี้ มาพบเธอ ตึกๆๆ ฉันดีใจจริงนะเออ ... 555+ โห... นานๆ มาที ... เจอเพื่อนที่นี่...ดีใจจัง เราสบายดีเกลอแก้งค์ ตัวเองคงสบายดีเช่นกันนะ แล้วลิงอีกสองตัวถูกขังอยู่ในกรงเหรอ ไม่เห็นออกมาเพ่นพล่านเลยนี่ หรือแอบหนีไปพักร้อนแถวลพบุรี
24 มกราคม 2556 23:36 น. - comment id 1253994
มาเยี่ยมจ้า การเล่นกลอนศิษย์เราควรจะ ให้ได้แปดคำ ยกเว้นคำกล้ำหรือคำที่สมาส กัน การนับเขาจะนับเสียงอัีกษรเป็นหลัก ยกเว้นคำดังกล่าวที่แยกกันแล้วจะไม่ได้ ใจความจ้า เช่นคำ โภคทรัพย์ ประหลาด เป็นต้น จึงนับเป็นคำเดียวเท่านั้น รักศิษย์เรามากๆเสมอ แก้วประเสริฐ.
25 มกราคม 2556 07:49 น. - comment id 1253995
คห..5 อืม..ถามถึงลิงสองตัว ฝนคงเว้นระยะไปยาว เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ยายที่อยู่เชียงรายเสียชีวิตอ่ะ.. ส่วนฉาง สัญญานไม่ค่อยดีเข้ามายากมาก.. ช่วงนี้คงจะเห็นแต่อ้อยเป็นครั้งคราว.. แล้วแต่เวลาจะอำนวยจ๊ะ ว่าแต่เพื่อนเราเถอะ..นานๆมาทีไม่เป็นไร แต่อย่าหายไปอีกคนน๊ะ...จะบอกให้
25 มกราคม 2556 09:51 น. - comment id 1254008
พยายามจะทำวิธีต่างต่างให้เธอนั้นรักฉัน พยายามทุกวัน มอบให้ทุกอย่างที่เธอต้องการ เหมือนเดินบนสะพานที่มีปลายทางคือใจของเธอ ยังคงคิดและหวังจะนำเอารักแท้นี้ไปให้ แต่ทำไม เดินมาเนิ่นนานไม่ถึงซักที แต่ทำไม มองดูเส้นทางเหมือนยาวออกไป อยากรู้ว่าฉันต้องทำตัวอย่างไร อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย ยังไม่คิดยอมแพ้ ฉันเพียงแต่อ้อนล้าก็เท่านั้น ภายในใจยังคงรักเธอเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยน คงจะดีไม่น้อย ถ้าเธอบอกให้ฉันได้รับรู้ ความในใจของเธอ เหตุผลต่างต่างที่ยังซ่อนไว้ ว่าทำไมเดินมาเนิ่นนานไม่ถึงซักที แต่ทำไม มองดูเส้นทางเหมือนยาวออกไป อยากรู้ว่าฉันต้องทำตัวอย่างไร อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย มีความหมาย อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน เสียที มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย อีกไกลแค่ไหน จนกว่าฉันจะใกล้ บอกที อีกไกลแค่ไหนจนกว่าเธอจะรักฉัน มีทางใดที่อาจทำให้เธอสนใจ ได้โปรด บอกกับฉันให้รู้ที ว่าสุดท้ายแล้วฉันยังมีความหมาย
25 มกราคม 2556 10:36 น. - comment id 1254013
หนังสือเล่มนี้อ่านกี่ครั้งก็ยังถูกใจค่ะ ทักทายเพื่อนเก่า แก่ จ้า อิ
25 มกราคม 2556 11:50 น. - comment id 1254017
6 ... ครูแก้วฯ ขอบพระคุณมากครับครูที่ชี้แนะ ... ตรงส่วนนั้นมันเป็นเก้าคำจริงๆ ... ผมได้แก้ไขแล้ว ... แต่หากคนที่เพิ่งเข้ามาอ่านอาจคิดว่าที่แก้ไขนั้นอยู่ตรงไหน ... ตามนี้ครับ ... (ที่) ม้านั่งตรงสวนสาธารณะ ชั่วขณะเพลินนั่งฟังเพลงเหงา ได้ตัดคำว่า "ที่" ออกไปแล้ว ก็จะเหลือเพียงแปดคำ รักษาสุขภาพนะครับครู
25 มกราคม 2556 12:18 น. - comment id 1254021
7 .... ลคส. ก็โอเคนะอ้อย เพื่อนๆ มีภาระกิจต่างๆ กัน ส่วนเราเองก็ถ้ามีเวลาก็มา อยากเขียนก็เขียน ไม่อยากเขียนก็ไม่เขียน คิดถึงเพื่อนทุกคนเสมอเลย ในเดือนเมษายนนี้ คลื่น 3G จะใช้ได้ หวังว่าฉางคงจะสามารถเข้าได้สะดวกมากขึ้น ยกเว้น ฉางออกไปอยู่ในเรือกลางทะเล เรื่องกลอนนี่มันก็แล้วแต่อารมณ์นะอ้อย ถ้าไม่มีแรงบันดาลใจอะไรก็อาจไม่อยากเขียนนะ อ้อยก็คงเป็นเหมือนกันแหละใช่ป่ะ
25 มกราคม 2556 12:25 น. - comment id 1254023
งดงามมากค่ะ สะท้อนถึงจิตใจของคนแต่งได้เป็นอย่างดีเหมือนกระจกใส ปีใหม่นี้พี่ขอให้น้องสีเมจิก มีความสุข ความเจริญ ไร้โรคา ปรารถนาสิ่งใดขอให้สมหวังทุกประการนะคะ
25 มกราคม 2556 12:38 น. - comment id 1254024
8 ... คุณไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ไม่มีชื่อประจำหรือคร๊าบบบ อิๆ ล้อเล่นนะ เนื้อเพลงนี้ผมอ่านแล้วก็เห็นใจหากคุณรู้สึกตามเนื้อเพลงนี้นะครับ และเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ด้วย แต่ผมก็อยากจะบอกว่า หากเราหยุดนิ่งๆ อยู่กับที่ ไม่วิ่งตามสิ่งใดไป มันจะทำให้เรามีความสุขมากกว่าการวิ่งตามสิ่งต่างๆ ไป เราไม่อาจเป็นเจ้าของรูปธรรมบนโลกนี้ได้ (มันต้องเสื่อมตลอดเวลา) หรือแม้กระทั่งนามธรรมคือจิตใจ (มันเกิดดับเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา) ผมเอาใจช่วยให้คุณมีความสุขนะครับ ความสุขและความทุกข์นั้น เราสร้าง เราปรุงแต่งขึ้นมาเองจากจิตใจ แล้วมันจะสะท้อนออกมาสู่โลกทางกายภาพตามนั้น ดัง "กฏแห่งกระจก" ที่เขียนนี่แหละครับ ลองนั่งนิ่งสงบใจดูแล้วมองเข้าไปในจิตใจตัวเอง แล้วจะรู้ครับว่า โลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นแก่นสารแม้แต่น้อย โลกเป็นแค่โรงละครโรงหนึ่ง ไหนๆ เราก็เป็นตัวละครแล้ว เราก็แสดงให้ดีที่สุดแล้วกันครับ ขอให้มีความสุขในทุกช่วงเวลาแห่งวันนะครับ
25 มกราคม 2556 16:02 น. - comment id 1254059
ยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ แต่จากชื่อเรื่อง คงคล้ายๆว่า ผลจากการกระทำของเราสะท้อนกลับมาที่ตัวเราเองใช่ไหมคุณสีเมจิก
25 มกราคม 2556 17:22 น. - comment id 1254065
9 ... คุณแบมฯ ถือว่าเป็นหนังสือ how to แนวสร้างชีวิตและกำลังใจได้ลึกซึ้งตามแนวตะวันออกครับคุณแบม ต่างกันกับแบบของฝรั่งแนวตะวันตกครับ ขอบคุณมากครับที่แวะมาทักทายเพื่อนเก่า แก่ก็ได้ครับไม่เป็นไร อีกไม่นานก็ต้องแก่อยู่ดี แก่ล่วงหน้าไปเลยแล้วกัน อิๆ
25 มกราคม 2556 17:24 น. - comment id 1254066
12 ... พี่อนงค์นาง ขอให้พี่อนงค์นางมีความสุขตลอดปีนี้เช่นกันครับ คิดหวังสิ่งใดขอให้สมดังปรารถนาทุกประการครับ
25 มกราคม 2556 17:34 น. - comment id 1254068
14 ... คุณ din ตามนั้นเลยครับท่าน เหมือนกฏแห่งกรรมนี่แหละ ชีวิตคนเราที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่่ว่าจะสุขภาพ การเงิน การเงิน ชีวิต ล้วนมาจากความรู้สึกนึกคิดในอดีตรวมถึงปัจจุบันที่ยังรู้สึกนึกคิดอย่างนั้นอยู่ ถ้าหากสุขภาพดี การเงินดี การงานดี ชีวิตดี ก็แสดงว่าความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้นดีมาตลอด แต่ถ้าตรงกันข้าม หากสุขภาพไม่ดี การเงินไม่ดี การเงินไม่ดี ชีวิตไม่ดี แสดงว่าความรู้สึกนึกคิดและการกระทำของเราไม่ดีมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน กรรมนั้นแก้ได้ที่ "ใจ" ครับ คนเราต้องปรับปรุง "ใจ" ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก แต่ส่วนใหญ่คนจะแก้กรรมตัวเองยาก เพราะความรู้สึกนึกคิดของตัวเองบ่มเพาะมา จนฝังรากลึก จากความคิดไปสู่ --> การกระทำ จากการกระทำบ่อยๆ ไปสู่ --> นิสัย จากนิสัยไปสู่ --> สันดาน (ไม่ใช่คำหยาบนะครับ) จากสันดานไปสู่กรรมที่จะส่งผลให้กับตัวเองจนถึงปัจจุบันแล้วละครับ อิๆ เล่ายาวเลยครับคุณ din ... หนังสือเค้าดีจริงๆ ครับ ... ขอบคุณครับที่แวะมาทักทาย
25 มกราคม 2556 21:28 น. - comment id 1254090
ชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจ ...
25 มกราคม 2556 22:49 น. - comment id 1254098
18 ... คุณปลาหมึกเต่าทอง ถูกต้องนะคร๊าบบบบบบบบบ ... โลกที่เราเห็นมันก็คือสิ่งที่เราคิด มันคือกระจกบานใหญ่ส่องจิตใจเราดีๆ นี่เอง ... จากผมเองคร๊าบบ ปลาหมึกสควิดดี้ อิๆ
26 มกราคม 2556 08:19 น. - comment id 1254103
8 ... คุณไกลแค่ไหน คือ ใกล้ ไม่มีชื่อประจำหรือคร๊าบบบ อิๆ ล้อเล่นนะ เนื้อเพลงนี้ผมอ่านแล้วก็เห็นใจหากคุณรู้สึกตามเนื้อเพลงนี้นะครับ และเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ด้วย แต่ผมก็อยากจะบอกว่า หากเราหยุดนิ่งๆ อยู่กับที่ ไม่วิ่งตามสิ่งใดไป มันจะทำให้เรามีความสุขมากกว่าการวิ่งตามสิ่งต่างๆ ไป เราไม่อาจเป็นเจ้าของรูปธรรมบนโลกนี้ได้ (มันต้องเสื่อมตลอดเวลา) หรือแม้กระทั่งนามธรรมคือจิตใจ (มันเกิดดับเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา) ผมเอาใจช่วยให้คุณมีความสุขนะครับ ความสุขและความทุกข์นั้น เราสร้าง เราปรุงแต่งขึ้นมาเองจากจิตใจ แล้วมันจะสะท้อนออกมาสู่โลกทางกายภาพตามนั้น ดัง "กฏแห่งกระจก" ที่เขียนนี่แหละครับ ลองนั่งนิ่งสงบใจดูแล้วมองเข้าไปในจิตใจตัวเอง แล้วจะรู้ครับว่า โลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นแก่นสารแม้แต่น้อย โลกเป็นแค่โรงละครโรงหนึ่ง ไหนๆ เราก็เป็นตัวละครแล้ว เราก็แสดงให้ดีที่สุดแล้วกันครับ ขอให้มีความสุขในทุกช่วงเวลาแห่งวันนะครับ สีเมจิก 25 ม.ค. 56 - 12:38 IP 61.90.68.67 คุณสีเมจิก ขอบพระคุณมากนะคะสำหรับคำแนะนำ อ่านแล้วน้ำตาจะไหล อยากร้องไห้จังเลยค่ะ ถ้าทุกคนต่างก็คิดว่าตนเองเป็นแค่ตัวละคร ทุกคนก็จะสวมบทบาทของตัวละครอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไม่มีวันได้เห็นน้ำใสใจจริงของแต่ละคนเลย ทุกคนจะประพฤติตนไปตามกรอบตามแนวของสังคมจอมปลอมหรือเรียกง่ายๆว่า โรงละครโรงใหญ่ จนขาดจิตสำนึกในการดำรงชีวิตที่ดีไป น่าเศร้านะคะ
26 มกราคม 2556 11:15 น. - comment id 1254111
20 .. ไกลแค่ไหน คือ ใกล้ คนที่ประพฤติตนไปตามกรอบตามแนวของสังคมจอมปลอมอย่างที่คุณไกลแค่ไหนฯ บอกน่ะครับ คนพวกนี้เค้าไม่ได้คิดว่าโลกนี้คือโรงละครโรงใหญ่หรอกนะครับ คนพวกนี้เค้าคิดว่าโรงละครโรงนี้เป็นเรื่องจริงต่างหากล่ะครับ ส่วนคนที่เข้าใจจริงๆ ว่าโลกนี้คือโรงละครโรงใหญ่ เค้าจะรู้ว่าโลกนี้มันเป็นมายา มีพบก็มีพราก มีเกิดก็มีดับ หาความจีรังยั่งยืนไม่ได้ เค้าจึงทำแต่สิ่งที่ดีงามต่อผู้อื่นและตนเอง ทั้งความคิด (ใจ) ...ทั้งคำพูด (วาจา) ... และการกระทำ (กาย) ซึ่งเราสามารถมองดูและแยกแยะได้อย่างไม่ยากเลยในทุกๆ วงการ ทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่งในโลกอินเตอร์เนทที่เรากำลังติดต่อสื่อสารกันอยู่ขณะนี้ มันมีทั้งคนที่จริงใจและคนที่ไม่จริงใจรวมๆ กันอยู่ เราก็สามารถเห็นและรับรู้ได้ คนที่ไม่จริงใจเราก็ไม่ต้องไปสนใจเค้าหรอกครับ มันเป็นกรรมที่เค้าต้องรับเองอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ส่วนตัวเราอย่าไปทำแบบเค้าก็ใช้ได้ล่ะครับ ขอให้มีความสุขกับความรู้สึกดีๆ ตลอดเวลานะครับ
26 มกราคม 2556 22:52 น. - comment id 1254140
ขอบพระคุณค่ะคุณสีเมจิก แน่นอนค่ะ ความสุข...คือการที่คนคนหนึ่งมีและเก็บทั้งความรู้สึกดีๆและเรื่องราวดีๆของตนเองไว้ตลอดเวลา... แล้วคุณสีเมจิกเคยมีความรู้สึกดีๆหรือเรื่องราวดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้ระลึกถึงบ้างหรือเปล่าคะ
27 มกราคม 2556 20:51 น. - comment id 1254161
22 .. คุณไกลฯ ไม่เป็นไรครับ ... ความรู้สึกและเรื่องราวดีๆ ของผมมีเยอะครับ ส่วนเรื่องแย่ๆ ก็มีเช่นกันครับ แต่ผมจะข้ามเรื่องแย่ๆ ไป เหมือนกับการกดปุ่ม foward บนเครื่องเล่นไฟล์มัลติมีเดียต่างๆ อ่ะครับ ข้ามๆ ไป ไม่ต้องจดจำ อิๆ ขอบคุณนะคร๊าบบ
27 มกราคม 2556 23:02 น. - comment id 1254170
ค่ะ คุณสีเมจิกเก่งมากเลยนะคะสามารถจัดระเบียบชีวิตได้ดี หมายถึงแยกแยะในสิ่งที่ควรจำและไม่ควรจำ นับถือค่ะ
28 มกราคม 2556 07:13 น. - comment id 1254183
สวัสดีครับ..
28 มกราคม 2556 08:42 น. - comment id 1254190
มีอาจารย์วิทยาศาสตร์ท่านหนึ่่ง เคยบอกว่า เธอเคยเห็นผีไหม และอยากเห็นไหม เคยตอบอาจารย์ว่า ไม่เคยและอยากเห็น อาจารย์แนะว่า งั้นลองส่องกระจกดู สิ่งที่เห็นในกระจกก็คือ ผี
29 มกราคม 2556 13:13 น. - comment id 1254270
แวะมาอ่านกลอนเพราะๆค่ะ...
29 มกราคม 2556 15:19 น. - comment id 1254290
หลายปีมานี้ กระจกขาดตลาดครับ แวะมาเยือนหนุ่มอารมณ์ดี
29 มกราคม 2556 17:09 น. - comment id 1254298
24 ... คุณไกลฯ ขอขอบคุณอีกครั้งครับ
29 มกราคม 2556 17:10 น. - comment id 1254299
25 ... คุณพจนา หนังสือ สวัสดีเช่นกันครับ สบายดีนะครับท่าน
29 มกราคม 2556 17:26 น. - comment id 1254300
27 ... คุณ White Rose ขอบคุณมากครับ ที่แวะมาเยี่ยมชม
29 มกราคม 2556 17:25 น. - comment id 1254301
26 .. คุณร้อยฝัน โห ... อาจ๊านนนนน ถ้าอาจารย์ส่องกระจกแล้วเห็นผี แสดงว่าที่อยู่ตรงหน้าหนูนี่ก้ออ อาจารย์เป็นผะ ผะ ผะ ผะ ผี .... หือๆๆๆๆๆ ... เป็นไปซะงั้น ขอบคุณครับที่แวะมาเยี่ยมเยือน
29 มกราคม 2556 17:37 น. - comment id 1254302
28 ... ท่านดาร์คฯ เอ ... น่าสงสัยครับท่าน ทำไมกระจกมันขาดตลาดไปได้ สงสัยว่ามีคนใช้เยอะมาก โดยเฉพาะสาวๆ จะมากหน่อย เห็นมีชิ้นเล็กชิ้นน้อยเต็มเลย ขอบคุณครับท่านที่แวะมาทักทาย
29 มกราคม 2556 23:57 น. - comment id 1254323
ฝนก็มีหนังสือเล่มนี้เหมือนกัน อาเมจิก อ่านแล้วได้ข้อคิดที่สำคัญเลยข้อหนึ่งคือ ความซื่อสัตย์ เพราะกระจกไม่เคยโกหกภาพที่สะท้อนกลับมา ฝนได้แง่คิดในการทำความรู้จักตัวเองจากกฏแห่งกระจก ตรงที่คนเราต้องรู้จักข้อเสียของตัวเองพอๆกับรู้ข้อดีของคนอื่น สองข้อนี้ทำให้เรามองเห็นตัวเองได้ชัดขึ้นเนอะ อาเมจิก ฝนพิมพ์จากมือถืออาจจะผิดๆถูกๆบ้างก็ขออภัยเด้อ ดีใจนะที่เห็นอาเมจิก รักษาสุขภาพด้วยเน้อ
30 มกราคม 2556 08:59 น. - comment id 1254342
ถ้ามีใครก็ตามคิดถึงอะไรบางอย่าง คนที่กำลังคิดอยู่นั้นต้องมีอยู่จริงอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่คิดถึงนั้นต่างหากที่ไม่จำเป็นต้องมีอยู่จริงแต่อย่างใด ในความจริงแล้ว หากเขาผู้นั้นกำลังปฏิเสธอะไรบางอย่าง การมีอยู่ของสิ่งนั้นเองจะถูกเอาออกไปเมื่อใดก็ตามที่การปฏิเสธนั้นถูกต้อง ดังนั้นสิ่งเดียวที่เป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับการระบุถึงสิ่งต่างๆ ของจิตคือตัวคนที่คิด จุดยึดหมายของสิ่งที่เรียกว่าความสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องมีอยู่ในความเป็นจริงแต่อย่างใด
30 มกราคม 2556 09:10 น. - comment id 1254344
มองกระจกที่มีปรอท จะไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากตัวเอง คำว่า ปรอท ภาษาจีนใช้คำว่า สุ่ยหยิน หมายถึง เงินเหลว คนจีนเปรียบคนที่เห็นแก่ตัวไม่เห็นใจผู้อื่น คิดถึงแต่ตนเอง เหมือนคนที่มองแต่กระจกฉาบปรอท ซึ่งไม่มีวันที่จะเห็นสิ่งอื่น นอกจากตนเองเท่านั้น พูดเรื่องกระจก ก็เลยเอาความคิดอีกแบบนึงมานำเสนอ เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ทัศนคติ เจตคติ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่มีผิดถูก เพราะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
31 มกราคม 2556 13:21 น. - comment id 1254459
ดีจร้า...ท่านเมจิก... กฎกระจก...กฎแรงๆ จาแตกได้...อังตุรายๆๆ มีนิทานเรื่องกระจกเล่าให้ควังด้วย ฟังมะ...(ฟังๆๆ) งั้นเล่าเรยแระกานนนน...อิอิ ตั้งกะโบราณกาล...เราเรียกกระจกเงาว่าคันฉ่อง... มีครั้งนึง(ไม่ปรากฏที่ใดในโลก) มีเศรษฐีท่านนุง มีลูกชาย สามคน ทั้งสามคน มีนิสัยแตกต่างกันไป คนแรกชอบค้าขาย...จึงได้สมบัติทั้งหมดของท่านเศรษฐี...ตอนสิ้นชีพ คนรองชอบทำการเกษตร จึงได้ที่ดินทั้งหมดไป ส่วนคนเล็ก ชอบความสวยความงาม...ไม่ขออะไร...ขอไว้แต่คันฉ่องทุกบานในบ้าน... ด้วยเป็นคนที่รักสวยรักงาม....วันๆจึงเอาแต่หยิบคันฉ่อง ส่องหน้า...ไม่มีอาชีพเลี้ยงตน... ต้องขายคันฉ่องไปทีละบานๆ...เพื่อเลี้ยงชีพ... และ จนวันหนึ่ง...ก็เหลือเพียงขันลงหินหนึ่งใบ... ซึ่งเขาเฝ้าขัดเฝ้าเช็ดถูขันใบนั้น จนขึ้นเงาราวดั่งคันฉ่อง และเขาก็ได้ใช้ขันใบนั้น ขอเศษทานจากชาวบ้าน....เพื่อเลี้ยงชีพ ชาวบ้านก่อนให้ทานก็มักจะยื่นหน้าส่องลงในขันเพื่อพิศตนเสมอๆ กระยาจก.... กระยา .... คือ สิ่งของ (ในที่นี้คือขันลงหิน) จก...หมายถึง ฉก ล้วง (ในที่นี้หมายถึง อาการการล้วงจกอาหารที่อยู่ในขัน) กระจก...สันนิษฐาน...ว่า เป็นคำที่ถูกทอนคำว่า "ยา" ทิ้งไป... และเกิดคำใหม่แทนความเงางามที่ปรากฏในขันราวกับคันฉ่องที่ใช้ส่องหน้า.... อันนี้...จำมาจากสมัยเรียน ที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ควังนะท่าน อิอิ
3 กุมภาพันธ์ 2556 12:24 น. - comment id 1254644
34 ... โคลอน ดีจ้าฝน หนังสือเรื่องกฏแห่งกระจกก็มีให้ดาวน์โหลดมาอ่านกันฟรีๆ นะ เป็นไฟล์ PDF คีย์คำค้นจาก google ได้เลย หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มบางๆ อ่านแป๊บเดียวก็น่าจะจบ เมื่อเรารู้ข้อดีข้อเสียของเราจากกระจกแล้ว เราก็สามารถปรับปรุงแก้ไขชีวิตให้ดีขึ้นได้นะฝน ตามแบบอย่างที่ฝนพูดเลย ดีใจเหมือนกันที่ฝนกลับมาเขียน .... และขอโทษทีที่กลับมาตอบช้า เนื่องจากติดธุระสำคัญหลายวัน ไม่วางเลย ... ฝนเองก็รักษาสุขภาพเช่นกันนะ
3 กุมภาพันธ์ 2556 12:33 น. - comment id 1254645
35-36 ... คุณไกลฯ ผมมีคำสอนโดนๆ ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล มาฝากเหมือนกันครับคุณไกลฯ หลวงปู่ท่านบอกว่า " สิ่งที่คุณเห็นนั้น คุณเห็นจริง ... แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้น มันไม่จริง" สั้นๆ แต่ได้ใจความครบถ้วน "ทุกอย่างคือมายา อย่ายึดติดกับสิ่งใดๆ" ขอให้เจริญในธรรมนะครับคุณไกลฯ
3 กุมภาพันธ์ 2556 12:42 น. - comment id 1254647
37 ... คุณกีร์ฯ เรื่องที่เล่ามานี้มันจริงเปล่าครับท่าน หากจริงผมจะได้บันทึกไว้ในสารบบความทรงจำ อิๆ เอ ... หรือมันอาจจะมีจากคำว่า กระยาจกฉก พอพูดไปเรื่อยๆ มันออกเสียงยากเหลือเกิน ... กระยาจกฉก กระยาจกฉก กระยาจฉก กระฉก กระฉก กระจก ... นับแต่นั้นมาเลยกลายเป็นกระจก เฮ้อ ผมก็เหนื่อยเหมือนกันล่ะท่านกว่าจะออกเสียงเป็นกระจกได้ ขอบคุณครับท่านกีรฯ ที่มาเล่าเรื่องสนุกๆ พร้อมเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ชวนให้คิด