แปรปรวนอยู่เสมอเผลอไม่ได้ เช้านิ่งใสดูสีไม่มีหมอง พอบ่ายกลับมืดครึ้มกระหึ่มก้อง เป็นทำนองทั่วท้องปัฐพี เปรี้ยงปร้างปราดเปรียวแรงสำแดงเดช ดั่งพระเวทดลดาลรัศมี อัศนีบาตฟันฟาดขาดปรานี เหมือนอสุรีมีตนดลบันดาล ธรรมชาตินั้นปรวนแปรไม่แน่นิ่ง ทั้งสี่สิ่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ สงสาร ประกอบเป็นอัตตาโลกิยาการ มิอาจทนหรือทานการเปลี่ยนแปลง ธรรมชาติของใจก็ไหวสั่น ช่างแปรผันเปลี่ยนกลับเกิดดับแฝง สุขทุกข์ซ่านสานผสมตรมสำแดง ไม่รู้แห่งเกิดและดับจึงอับจน
18 กรกฎาคม 2554 16:26 น. - comment id 1203028
ผมแวะมาเยี่ยมครับ ในความกรุณาที่ไปให้ กำลังใจผมตลอด ก็เลยอยากให้ย้อนกลับ ไปอ่านกระทู้ที่ผมตอบไว้แก่ศิืษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะศิษย์รุ่นแรกผมที่นานๆจะเข้ามา สักที อีกอย่างหนึ่งนะครับอย่าว่าผมนะขอ แนะนำสักหน่อยคือ คำสุดท้ายของวรรคที่ สามนั้น เขาห้าม ใช้สระเอก โท ครับ นอก จากการแต่งเพลงเท่านั้นครับ เพราะเพลง นั้นทำนองเป็นหัวใจของการแต่ง จึงไม่บังคับ ไว้ครับ ขอบคุณในน้ำใจที่มีต่อผมในยาม ป่วยมากครับ ขอบคุณครับ อีกประการ หนึ่งหากเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็เอาไปใช้ หากไม่มีประโยชน์หรือขัดกับที่รู้มาก็ทิ้ง ไปเลยนะครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
18 กรกฎาคม 2554 16:37 น. - comment id 1203032
ขอบคุณครับ...คุณครูแก้วประเสริฐ ผมไม่เคยรู้เลยจริงๆ...แล้วผมจะทำตามที่ครูแก้วประเสริฐบอกนะครับ
19 กรกฎาคม 2554 00:12 น. - comment id 1203194
ก็ฟ้าฝนดลดาลผ่านธรรมชาติ ที่เกินขาดก็ใจคนยากค้นหา เพราะเสี้ยวเศษกิเลสไล่ไต่ตนมา ดับปรารถนานะยากดับจับปล่อยวาง....จริงไหมคะ??????????
23 กรกฎาคม 2554 09:14 น. - comment id 1203450
ขอบคุณครับ....คุณการัณยภาส เช่นนั้นแล
18 กรกฎาคม 2554 20:35 น. - comment id 1203900
พายุฝนฟ้าภายในใจ เราดับได้ด้วยธรรมะค่ะ พระธรรมคำสั่งสอนจะช่วยให้จิตเรานิ่งขึ้น และสงบสุขมากขึ้นด้วยค่ะ
19 กรกฎาคม 2554 06:28 น. - comment id 1203936
" กัมมุนาวัตตะตีลองกอง" ปากลิ้นพองลองกองเก๊ สัตว์โลกหัวโจกเกเร ย่อมจบเห่..ไปตามกรรม กรรมใด ใครเคยก่อ ตามติดต่อจ่อเติมซ้ำ บาปบุญย่อมหนุนนำ ให้ระกำ .. หรือฉ่ำใจ ! ดุจฝนหล่นเป็นสาย จากปลายฟ้ามาชุ่มดิน..
16 สิงหาคม 2554 16:36 น. - comment id 1205885
ขอบคุณครับคุณพี่ศรีสมภพที่มาทักทายกัน