๏ ต่าง.. แตกต่าง

อัลมิตรา

1258553918.jpg
                ๏ หากอัตตาพาเตลิดจนเกิดเหตุ
                ก่ออาเพทลำบากยากสะสาง
                บุคคลใดใช้ปัญญาอัตตาวาง
                ย่อมกระจ่างทางแก้จริงแท้เทียว
                หากคับแค้นแน่นอกพกเคืองขัด
                บ่งบอกชัดเชื้อมนุษย์นั้นเศษเสี้ยว
                บุคคลใดใช้คารมสร้างกลมเกลียว
                ย่อมข้องเกี่ยวสมานฉันท์สัมพันธ์ชน
                หากก่อกวนชวนทะเลาะเพาะคดี
                ถ้อยอัปรีย์โปรยไว้หวังใครสน
                บุคคลใดเยือกเย็นแม้นยินยล
                ย่อมหลุดพ้นทุกข์ร้อนบั่นทอนใจ
                หากระบายร้ายร่อนหย่อนคำหยาบ
                ดุจซึมซาบกรรมพันธุ์ชั่วชั้นไหน
                บุคคลเอื้อโอบอ้อมยอมให้อภัย
                ย่อมเลิศกว่าอเวไนยซึ่งไกลธรรม ๚ะ๛

1258554030.gif				

comments powered by Disqus
  • ธันวันตรี

    20 พฤศจิกายน 2552 00:16 น. - comment id 639334

    ขอตอบความเห็น 19 แทนเจ้าของบทกลอนครับ (จริงๆ ปีกฟ้าบอกแล้วว่า การโพสใดๆ ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง จะลบออกทันที หากศิษย์พี่ เห็นสมควรลบ ก็ลบออกได้เลยครับ)
    
    ก่อนอื่น ต้องบอกคุณ Daosaddha ก่อนว่า ธันวันตรี  ไม่ได้มองว่า ใครคือนายก รัฐมนตรี จะมองเพียงแต่ "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" นายกเป็นใครก็ได้ ขอให้เป็นคนเก่งและเป็นคนดี นำประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
    
    ธันวันตรี เคยคุย กับคนทั้ง 2 สี
    
    สีเหลืองโดยส่วนใหญ่ปักใจเชื่อ 100 % ว่าทักษิณคือคนเลว
    สีแดงโดยส่วนใหญ่ปักใจเชื่อ 100 % ว่าทักษิณถูกกลั่นแกล้งถูกใส่ร้าย
    
    ทั้งสองสี สร้างอัตตา(การยึดติด ยึดมั่น ถือมั่น) ขึ้นมาแล้ว ว่า ฝ่ายตัวเองถูก อีกฝ่ายผิด 
    
    ยากที่จะหาจุดรวมกันได้
    
    อย่างที่ ธันวันตรี เคยนำเสนอ บทความต่างๆ พยายามชี้ให้เห็นว่า หลักฐานใดๆ ก็ตาม ที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นเหมือนกันได้ทั้งหมด จะสร้างความแตกแยกขึ้น
    
    
    
    ธันวันตรี ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมของศาลนะครับ
    
    แต่อย่างที่เคยได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า หากการตัดสินใดๆ ไม่สามารถทำให้ทุกคนเชื่อได้หมด ความขัดแย้งก็จะมาเยือน
    
    ขอนำเสนอ คดีที่ดิน รัชดา ที่ศาลฎีกา ตัดสิน อดีตนายก ให้จำคุก 2 ปี มาลองอ่านดูนะครับ 
    
    ธันวันตรี นำมาจาก สำนักกฎหมายธรรมนิติ
  • มณีจันทร์

    19 พฤศจิกายน 2552 14:24 น. - comment id 1043770

    4a2792ecca389.gif
    รักกันไว้เถิด    46.gif
  • อัลมิตรา

    19 พฤศจิกายน 2552 16:14 น. - comment id 1043795

    คุณกิ่งโศก ..
    
    คำขรมข่มคับแค้น............แน่นจิต
    ลืมเรื่องความถูกผิด...........ฉะนั้น
    ตัวเองโอ่ความคิด..............ตนถูก
    ใครอื่นกลับปิดกั้น.............บอดใบ้ไม่สนอง
    
    รีบเร่งจองพื้นที่................ไม่ทัน
    ลำดับเป็นสองครัน...........ขนาบข้าง
    คำโคลงร่ายเร็วพลัน..........ยังอืด
    เราตอบเป็นโคลงบ้าง.........ยั่วยิ้มขำขัน
    
    คุณสายวารินทร์ .. อัลมิตราเป็นแค่ปุถุชน แค่ลำดับความคิดแล้วนำมาบอกเล่า
    ยังไม่ถือว่าเป็นการเทศนาโปรดสัตว์หรอกค่ะ  กลัวว่ามาเทศน์ต่อหน้าสมภารเสียมากกว่า
    
    คุณธันวันตรี ..  เป็นภาพต้นแบบที่ทำให้ได้เขียนกลอนแบบนี้น่ะ ศิษย์น้อง
    ชอบกระรอกเหรอ ให้เอาไปเลี้ยงเลยนะ เลี้ยงให้อ้วน ๆ เชียว
    
    คุณบินเดี่ยวหมื่นลี้ .. อืมม ช่วงนี้นอนดึกทุกคืน ไม่ได้ดูฝนดาวตกอะไรหรอกนะ
    แต่มีงานที่จะต้องสะสาง และก็วาดรูปนิดหน่อย น่ะ  ท่าจะว่างเกินเหตุมั๊ง
    
    คุณสุริยันต์ .. ถ้างั้น อัลมิตราพูดไรดี อมิตตาพุทธ ดีมั๊ย
    
    คุณแก้วประเสริฐ .. รอตั้งชาติหน้า นานจัง มะรืนนี้เลย ไม่ได้เหรอ ?
    
    คุณรัมณีย์ .. ตายแล้ว อัลมิตราไม่ได้เป็นยายชี นะ
    
    คุณอินสวน .. ก็พยายามอย่างยิ่งยวดเชียว ทั้งที่ความน่ารักร่อยหรอลงไปทุกวี่ทุกวัน
    (เอ๊ะ หรือว่า ไม่เคยมีอยู่แล้ว ก็ไม่รู้แฮะ)
    
    คุณครูกระดาษทราย .. เหมือนในฉากหนังเรื่องสึนามิเลยค่ะ
    
    คุณคนกุลา .. อ้าว ลืมวางมาดขรึม ดันหลุกหลิกซะได้ อัลมิตราเนี่ย
    
    คุณคอนพูทน .. เด้อด้วยค่ะ ใกล้วันระทึกแล้วน๊า เตรียมสูทไปรับรางวัลหรือยังคะ
    
    คุณแก้วประภัสสร .. ติดกัณฑ์เทศน์หน่อยจิ
    
    คุณมณีจันทร์ .. กอดกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย
  • วิทย์ ศิริ

    19 พฤศจิกายน 2552 20:29 น. - comment id 1043874

    แวะมาตอนคนเขาเลิกเมนต์ยัง
    
    เห็นด้วยกับคุณอินสวนแล้วกัน11.gif
  • อัลมิตรา

    19 พฤศจิกายน 2552 20:55 น. - comment id 1043889

    คุณวิทย์ .. อัลมิตราชอบนะ คนที่นอกจากอ่านกลอนแล้ว อ่านความคิดเห็นด้วย
    ซึ่งในแต่ละความคิดเห็น บ่งบอกสิ่งที่อยู่ในใจของผู้แสดงความคิดเห็น
    
    41.gif
  • Daosaddha

    19 พฤศจิกายน 2552 22:04 น. - comment id 1043951

    อเวไนยผูกติดอวิชชา
    ปิดปัญญาท้อแท้ทางแก้ไข
    เห็นกงจักร์เป็นดอกบัวไม่กลัวภัย
    ยังยึกยักชักใยซ้ำในตม
    
    เมื่อหางด้วนชวนชี้อย่ามีหาง
    ต่างแตกต่างทางคนปนผสม
    คนมีหางอย่างไรใครนิยม
    หมออาหมาพาชมงงงมงาย
    
    ท้อแท้ที่ขี้ข้าอาญาโทษ
    ซื้อทั้งโคตรทั้งพรรคถักเส้นสาย
    ซื้อสอสอซื้อศาลซื้อมารพราย
    เผาบ้านเมืองเรื่องร้ายยังหมายคืน
    
    พยายามแก้ตัวกลบชั่วเก่า
    โหมไฟเข้าซ้ำเติมเพิ่มแรงฝืน
    ชาติที่ทรุดฉุดไว้ไม่ให้ยืน
    สำนึกตื่นอัตตาพาอภัย
    
    (ขออภัย แรงไปหน่อย)
  • อัลมิตรา

    18 พฤศจิกายน 2552 21:35 น. - comment id 1044458

     พระพุทธเจ้า นักปราชญ์เอก ของโลก
    
    
    เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่เนื่องจากพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุม 
    ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง 
    แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ 
    บุคลลนั้นล้วนแตกต่างกันด้วยปัจจัยหลากหลายประการ   ทั้งรูปพรรณสัณฐาน  หน้าตา  
    ความสูงต่ำ  ดำ  ขาว   นิสัยใจคอ   จริตกริยามารยาท   และสติปัญญา   
    ดังนั้น  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงได้ทรงจัดแบ่งบุคคลออกเป็นประเภทต่างๆ  ไว้  4  จำพวก  
    อุปมาว่าเป็นบัว  4  เหล่า  กล่าวคือ
    
    
    1.อุคคฏิตัญญู   คือ   บัวที่พ้นน้ำผลิดอกบานแล้ว   จะสอนธรรมสิ่งใดก็รู้แจ้งได้โดยพลันในสิ่งนั้น
    
    2.วิป จิตัญญู   คือ   บัวที่ปริ่มน้ำรอวันที่จะบานต่อไป   เสมือนบุคคลที่มีปัญญา  
    ทว่าต้องให้การแนะนำแต่เพียงเล็กน้อย   ก็บรรลุธรรมได้โดยง่าย
    
    3.เนยยะ   คือ   บัวที่อยู่ใต้ผิวน้ำ  เสมือนบุคคลที่ทรงปัญญา  แต่ต้องใช้ความวิริยะพากเพียรในการสั่งสอนและ
    ให้หมั่นกระทำสัมมาปฏิบัติ   จึงจะบรรลุธรรมได้
    
    4.ปทปรมะ   คือ  บัวที่เกลือกลั้วตกอยู่ในโคลนตม   เสมือนบุคคลที่ตกจมอยู่ในมิจฉาทิฐิ  มีปัญญาทราม  
    เป็นอเวไนยสัตว์   มีจิตอวิชชา  เป็นบุคคลที่สั่งสอนไม่ได้  พึงเลี่ยงให้พ้น
    
    นี่คือบัวทั้งสี่เหล่า   บัวเหล่าที่  1 - 3  เป็นเวไนยสัตว์  สามารถสอนให้บรรลุธรรม  ไปสู่ความหลุดพ้นได้
    ส่วนบัวเหล่าที่  4   เป็นอเวไนยสัตว์   สั่งสอนไม่ได้   และเป็นผู้ตกอยู่ในอบายภูมิหาความเจริญมิได้   
    เป็นผู้เสพส้องด้วยกรรมชั่ว อันเผ็ดร้อน
    
    ปัจุบันพระสงฆ์จะสังสอนธรรมโดยตรง แต่ละครั้งนั้นยากลำบาก
    จึงมี กุศโลบาย เป็นเครื่องคอยช่วยให้บุคลปฏิบัติธรรม
    พระเครื่อง วัตถุมงคล เครื่องลางของขลัง 
    (ข้อห้ามต่างๆคือธรรมะที่สอดแทรกส่วนความขลังนั้นอยู่ที่ผู้ปฏิบัติ)
    
    ท่านคิดว่าท่านเป็นบุคลประเภทไหน 
    มิใช้มองแต่บุคลอื่น ตัดสินแต่บุคลอื่น
    
    
    ขอบคุณที่มา
    http://th.wikipedia.org/wiki/****
  • กิ่งโศก

    18 พฤศจิกายน 2552 21:53 น. - comment id 1044463

    คงแต่คิดเติ่งค้าง......คำตึง
    ต่างฝ่ายติดแฝงจึง....จาบจ้อง
    คะคานแคะค้อนขึง...ค่อนขอด
    ถูกผิดใดใคร่ร้อง...เรียกข้อคารม
    
    แวะมาจองที่1 ก่อน ทันเปล่านี่
  • สายวารินทร์

    18 พฤศจิกายน 2552 21:56 น. - comment id 1044465

    มารับธรรมเทศนาโปรดสัตว์ ครับ
  • ธันวันตรี

    18 พฤศจิกายน 2552 22:28 น. - comment id 1044482

    4000760798_2157b85650.jpg
    
    ปทุมาพระพุทธเจ้า       ทรงสอน
    สี่เหล่าเทียบนาคร        สี่ผู้
    ใฝ่ดีย่อมแย้มสลอน     พ้นผ่าน นทีเฮย
    ใฝ่ต่ำย่อมยากสู้           สัตว์น้ำดำกิน
     
    สวัสดีครับ ศิษย์พี่ แหะๆ  ^ ^
    
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif
  • ธันวันตรี

    18 พฤศจิกายน 2552 22:39 น. - comment id 1044485

    ชอบกระรอกที่วิ่งไปวิ่งมาจังครับ น่ารักดี แหะๆ ^ ^
    
    11.gif
  • บินเดี่ยวหมื่นลี้

    18 พฤศจิกายน 2552 22:50 น. - comment id 1044486

    ๏ จุดหมายเราต่างไซร้...................แผกกัน
    อย่าแค่หวังโรมรัน.........................ล่าล้อม
    ชั้นเชิงย่อมสำคัญ..........................มากกว่า
    อวดโอ่หรือควรน้อม......................ระลึกไว้ใส่หัว๚ะ๛
    
    ....แบบนี้หรือเปล่าลิง....
    
    ...อย่านอนดึกนะรักษาสุขภาพด้วยหละ...กึ๊ดเติงหาเสมอ..
    
    31.gif36.gif38.gif
  • สุริยันต์ จันทราทิตย์

    18 พฤศจิกายน 2552 22:54 น. - comment id 1044487

    ไพเราะและได้ข้อคิดสอนใจด้วยครับ
    สาธุ....สาธุ....1.gif1.gif1.gif
  • แก้วประเสริฐ

    18 พฤศจิกายน 2552 23:56 น. - comment id 1044504

    36.gif16.gif36.gif41.gif   ฮ่าๆๆๆ เตรียมของหมั้นไว้ให้แล้วนะ
    พร้อมหัวล้านด้วย อิอิ  แต่หากจะแต่งต้องไปชาติ
    หน้าถึงจะสู่ขอแต่งจริง  โอ้ยบ้าหรือเปล่าเรานะ
    ยอดหญิงมาแนวธรรมกลอนงดงามเยี่ยม ผมเอง
    ฝึกฝนมานาน แล้วล่ะ ละ เลิก วาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    อัตตาเรายังเอาตัวไม่รอดนับประสาคนอื่นจริงแม๊ะ
    ยอดหญิง รักเสมอ
    
                     16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • รัมณีย์

    19 พฤศจิกายน 2552 02:44 น. - comment id 1044517

    สาธุครับ
    
    29.gif
  • อินสวน

    19 พฤศจิกายน 2552 06:35 น. - comment id 1044528

    ชี้วิตนี้สั้นนักเมื่อเทียบกับสรรพสิ่ง
    จะพยายามเป็นคนที่น่ารักสำหรับคนรอบข้างนะครับ36.gif36.gif59.gif
  • ครูกระดาษทราย

    19 พฤศจิกายน 2552 07:17 น. - comment id 1044543

    1401151.jpg
    มาสดับกลอนเพราะเสนาะโสต
    
    ปัญญาโรจน์โชติช่วงดวงใจใส
    
    เตือนสติตริตรองผ่องหทัย
    
    ลดละในอัตตามาปล่อยวาง
  • คนกุลา

    19 พฤศจิกายน 2552 09:56 น. - comment id 1044585

    ๐ บัวสี่เหล่าเก่ากาลธรรมท่านสอน
    ให้สังวรก่อนกำหนดบทสังสรรค์
    พระพุทธองค์ทรงจำแนกแปลกเหล่ากัน
    ตามเชิงชั้นช่องกรรมที่ทำมา....
    
    มาร่วมสดับกลอนธรรมะ ..ครับ
    
    36.gif1.gif36.gif
  • คอนพูทน

    19 พฤศจิกายน 2552 10:56 น. - comment id 1044626

    ไม่มีคำอธิบาย...
    แยกไม่ได้ก็ หมดปัญญา..เด้อ
    
    สุขอย่าได้สร่าง
    36.gif6.gif7.gif8.gif16.gif
  • แก้วประภัสสร

    19 พฤศจิกายน 2552 12:47 น. - comment id 1044666

    เจริญธรรมเจ้าค่ะ
    46.gif36.gif36.gif
  • ธันวันตรี

    20 พฤศจิกายน 2552 00:18 น. - comment id 1066028

    ข้อเท็จจริงในคดี สรุปได้ความว่า เมื่อ วันที่ 24 สิงหาคม 2538 กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกของบริษัทเงินทุนเอราวัณทรัสต์ จำกัด 2 แปลง 31 โฉนด เนื้อที่รวม 121 ไร่ 2 งาน 34 ตารางวา เป็นราคาค่าซื้อทั้งสิ้น 4,889,497,500 บาท 
    
    ต่อมากองทุนฟื้นฟูฯ ได้ปรับปรุงเกณฑ์บัญชีทรัพย์สินรอขายใหม่ทั้งหมดเพื่อรับรู้การขาดทุน โดยใช้ราคาประเมินของกรมที่ดินในขณะนั้นเป็นราคาที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เป็นผลให้ที่ดิน 2 แปลงดังกล่าวมีราคาลดลงเหลือเพียง 2,064,600,000 บาท เฉพาะแปลงที่ 2 ที่เกี่ยวกับคดีนี้มีราคา 754,500,000 บาท 
    
    เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 กองทุนฟื้นฟูฯ นำที่ดินแปลงที่ 2 ออกประมูลขายทางอินเตอร์เน็ต โดยกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ที่ 870,000,000 บาท มีผู้ประสงค์จะซื้อ 8 ราย แต่เมื่อกำหนดต้องเสนอราคาปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดเสนอราคาประมูล กองทุนฟื้นฟูได้ดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงที่ 2 ออกเป็น 4 โฉนดโดยแบ่งหักส่วนที่เป็นสาธารณะประโยชน์ออกไป เหลือเนื้อที่ 22 ไร่ 78.9 ตารางวา 
    
    หลังจากนั้น จึงประกาศขายที่ดินนี้ใหม่อีกครั้งโดยวิธีประกวดราคาโดยไม่กำหนดราคาขั้นต่ำเอาไว้ มีผู้เสนอราคา 3 ราย คือบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 730,000,000 บาท บริษัท โนเบิลดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เสนอราคา 750,000,000 บาท และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 เสนอราคา 772,000,000 บาท ซึ่งเป็นผู้ให้ราคาสูงสุด และสูงกว่าราคาที่ดินที่ปรับแล้วคือ 754,500,000 บาท 
    
    กองทุนฟื้นฟูจึงประชุมกันและอนุมัติให้คุณหญิงพจมาน เป็นผู้ชนะการประกวดราคา คุณหญิงพจมานได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวกับกองทุนฟื้นฟูฯ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2546 และชำระราคาครบถ้วนในเวลาต่อมา ก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันในวันที่ 30 ธันวาคม 2546 
    
    โดยพันตำรวจ ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในหนังสือให้ความยินยอมแก่คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ซึ่งเป็นภรรยา โดยมอบหลักฐานสำเนาบัตรประจำตัวประเภทข้าราชการการเมือง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีประกอบการทำสัญญาด้วย
    
    มีปัญหาว่า โดยหลักกฎหมายและหลักนิติธรรม (Rule of Law )แล้วพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะจำเลยที่ 1 และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในฐานะจำเลยที่ 2 ควรต้องรับโทษในทางอาญาหรือไม่ 
    
    ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์(อัยการสูงสุด) บรรยายฟ้องมา มีเพียงการที่จำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 2 ในการร่วมประมูลซื้อและทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท และจากการไต่สวนพยานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประกอบรายงานสรุปสำนวนการตรวจสอบไต่สวนของ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ได้ความว่า 
    
    การดำเนินการตั้งแต่ร่วมเสนอราคา ทำสัญญาจะซื้อจะขาย จนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับกองทุนฟื้นฟูฯ นั้น เป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 2 เพียงคนเดียว โดยไม่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 มีการกระทำการอย่างใด ที่แสดงให้เห็นว่าร่วมกระทำการดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนกระทำหรือเกี่ยวข้องในอันที่จะแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่าประสงค์จะมีเจตนาร่วมซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 
    
    ลำพังการที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอถึงขนาดให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนากระทำการร่วมกับจำเลยที่ 2 แล้ววินิจฉัยเฉพาะจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้กระทำผิด เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ จึงให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
    
    ส่วนพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปรับบทกฎหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 และมาตรา 122 ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดและพิพากษาจำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงอาญา
    
    พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 บัญญัติว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด ดำเนินกิจการ
    ต่อไปนี้ (1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่กำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอำนาจ กำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี  
    
    วรรคสองบัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา (ซึ่งรวมถึง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้วย) และวรรคสามบัญญัติว่า
    
    ให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่ง มาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรส ดังกล่าวเป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ 
    
    มาตรา 122 บัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 100 มาตรา 101 หรือมาตรา 103 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และวรรคสองบัญญัติว่า กรณีความผิดตามมาตรา 100 วรรคสาม หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด พิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่คู่สมรสของตนดำเนินกิจการตามมาตรา 100 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่า ผู้นั้นไม่มีความผิด  
    
    ดังนี้ จะเห็นได้ว่า ตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้น พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมเสนอราคาในการประมูลซื้อที่ดินพิพาทกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท แต่เป็นการดำเนินการของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว 
    
    ไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 มีการกระทำการอย่างใดที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำการดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ด้วยเหตุนี้จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ผู้ที่ได้กระทำการใดหรือลงมือกระทำการใด อันจะปรับได้ว่าเป็นผู้กระทำความผิดในตัวของจำเลยที่ 1 เอง แต่จะเป็นความผิดได้ เพราะการกระทำของคู่สมรสคือ คุณหญิงพจมาน ผู้ภรรยาเท่านั้น 
    
    ดังนั้น ในเบื้องต้นจึงถือไม่ได้ว่า พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 วรรคหนึ่ง (1)
    
    ปัญหามีว่า พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ควรจะต้องรับโทษในทางอาญา เพราะการกระทำของคู่สมรสคือ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 วรรคสามหรือไม่ เห็นว่า 
    
    เมื่อการกระทำของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิด เพราะเป็นการเข้าประมูลประกวดราคาซื้อที่ดินโดยสุจริตและเปิดเผย และเงินที่ชำระราคาที่ดินที่ประมูลได้ ก็ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิด ต้องคืนแก่คุณหญิงพจมานจำเลยที่ 2 ไปเช่นนี้ จึงไม่อาจจะนำเอาการกระทำที่ไม่เป็นความผิดของคุณหญิงพจมาน ไปเป็นการกระทำที่เป็นความผิดเพื่อลงโทษพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ได้กระทำหรือลงมือกระทำใด ๆ ดังกล่าวแล้วได้
    
    นอกจากนั้น ตามมาตรา 122 วรรคสอง ยังบัญญัติไว้ดังกล่าวข้างต้นด้วยว่า กรณีความผิดตามมาตรา 100 วรรคสาม หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด พิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ในการที่คู่สมรสของตนดำเนินกิจการตามมาตรา 100 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าผู้นั้นไม่มีความผิด  
    
    ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริง ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รับฟังเป็นยุติมาแต่แรกดังกล่าวแล้วว่า การดำเนินกิจการของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 คู่สมรสของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการเข้าประมูลซื้อที่ดินพิพาทนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการด้วยตนเองตามลำพังเพียงคนเดียว ตั้งแต่การร่วมเสนอราคาการทำสัญญาจะซื้อจะขายตลอดจนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท 
    
    โดยพันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 มีส่วนกระทำหรือเกี่ยวข้องในอันที่จะแสดงว่าจำเลยที่ 1 ประสงค์จะมีเจตนาร่วมซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 ด้วย
    
    ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งต่อศาลดังที่ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลเอง เช่นนี้แล้ว การดำเนินกิจการดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ในฐานะคู่สมรสของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 2 เองตามลำพัง จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้รู้เห็นด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้รู้เห็นตั้งแต่ต้นเสียแล้ว โอกาสที่จำเลยที่ 1 จะให้หรือไม่ให้ความยินยอม จึงไม่มีหรือเป็นไม่ได้อยู่ในตัว ซึ่งก็ไม่ผิดวิสัยที่ครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งคั่งมีทรัพย์สินนับแสนล้านบาท อย่างเช่น จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 จะทำเช่นนั้นได้ 
    
    การที่จะเหมารวมและฟังเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจหรือให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 2 ในการเข้าประมูลซื้อที่ดินพิพาท อันถือเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 และลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 100 (1) ประกอบด้วยมาตรา 122 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ. ศ. 2542 นั้น น่าจะไม่เป็นไปตามบทกฎหมายและความเป็นจริงดังกล่าวแล้ว
    
    ลำพังการยินยอมที่สามีให้แก่ภรรยา ภายหลังจากภรรยาได้อสังหาริมทรัพย์มาจากการประมูลขายโดยชอบนั้น หาเป็นเหตุที่จะแสดงว่า สามีได้รู้เห็นยินยอมให้คู่สมรสของตนดำเนินกิจการที่ผิดกฎหมายมาแต่แรก อันจะทำให้สามีต้องรับโทษในทางอาญาไม่ 
    
    และเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์ที่จะมีเจตนาซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 แล้ว การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานใด มาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการตามมาตรา 100 นั้น ย่อมเท่ากับบังคับให้จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 นำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้เองอยู่แล้ว 
    
    ทั้งศาลก็ได้รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นยุติมาแต่แรกดังกล่าวแล้ว น่าจะเป็นการขัดต่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เหตุนี้ที่อ้างว่า จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมและลงโทษจำเลยที่ 1 จึงน่าจะขัดต่อเหตุผลและความเป็นจริงและไม่ต้องด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2541 มาตรา 122 วรรคสอง ปัญหาจึงควรแก่การพิจารณาว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำผิดบทกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ 
    
    ยิ่งกว่านั้น ในคดีที่มีองค์คณะผู้พิพากษาหลายคนที่จะต้องร่วมกันพิพากษาคดี โดยเฉพาะคดีอาญานั้น กฎหมายได้บัญญัติไว้อย่างเคร่งครัดและชัดเจนถึงการใช้ดุลพินิจและการออกเสียงลงมติในการพิพากษาแต่ละคดีว่า
    
    1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 39 บัญญัติว่า บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลากระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิด และกำหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้น จะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้ ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด
    
    2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 บัญญัติว่า ให้ศาลใช้ดุลพินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงอย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย 
    
    3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 บัญญัติว่า ในการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้อธิบดีผู้พิพากษา ข้าหลวงยุติธรรม หัวหน้าผู้พิพากษาในศาลนั้น หรือเจ้าของสำนวนเป็นประธาน ถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาทีละคน ให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย ให้ประธานออกความเห็นสุดท้าย การวินิจฉัยให้ถือตามเสียงข้างมาก ถ้าในปัญหาใดมีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย หรือเกินกว่าสองฝ่ายขึ้นไป จะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมาก ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า 
    
    ปรากฏว่าในคดีที่ดินรัชดาฯ นี้ มีผู้พิพากษาเป็นองค์คณะ 9 คน การพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายและในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 197 วรรคแรก บัญญัติไว้ 
    
    ดังนั้น ผู้พิพากษาทั้ง 9 คน จึงต้องตระหนักและต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 39 วรรคสอง และหากกรณีมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 
    
    สำหรับการประชุมปรึกษาเพื่อมีคำพิพากษาคดีดังกล่าวนี้ แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 20 จะบัญญัติว่า
    
    การทำคำสั่งที่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดหรือพิพากษาคดี ให้ผู้พิพากษาในองค์คณะผู้พิพากษาทุกคน ทำความเห็นในการวินิจฉัยคดีเป็นหนังสือ พร้อมทั้งต้องแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติ และให้ถือมติตามเสียงข้างมาก ในการนี้ องค์คณะผู้พิพากษาอาจมอบหมายให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่ง ในองค์คณะผู้พิพากษาเป็นผู้จัดทำคำสั่งหรือคำพิพากษาตามมตินั้นก็ได้... ก็ตาม
    
    แต่ก็ไม่ปรากฏมีข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาหรือบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ บัญญัติถึงการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนในการประชุมปรึกษาคดี ไว้ ตลอดจนกรณีที่มีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย จะหาเสียงข้างมากมิได้นั้น จะต้องดำเนินการอย่างไร ด้วยเหตุนี้ ความในมาตรา 18 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงบัญญัติว่า
    
    ...ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาใช้บังคับ...โดยอนุโลม นั่นก็คือ ต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 ข้างต้น มาบังคับใช้นั่นเอง โดยบทกฎหมายดังกล่าว ไม่ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาทั้ง 9 คนออกเสียงพร้อมกันในคราวเดียวกัน เพื่อให้ได้เสียงข้างมาก แต่บัญญัติให้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ต้องทำหน้าที่เป็นประธาน ยังไม่มีสิทธิออกเสียงทันที ต้องถามผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาอีก 8 คนทีละคนว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดหรือไม่ 
    
    ปรากฏจากคำพิพากษาที่อ่านและเปิดเผยแล้วว่า คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนลงมติด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดให้จำคุก 2 ปี ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ในชั้นที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ทำหน้าที่ประธานสอบถามความเห็นผู้พิพากษา อีก 8 คนนั้น มีผู้พิพากษา 4 คนเห็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดแต่ผู้พิพากษาอีก 4 คนเห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิด คะแนนเสียงจึงเป็น 4 ต่อ 4 เท่ากัน แย้งกันอยู่ 
    
    กรณีเช่นนี้ ณ เวลานั้น ขณะนั้น จึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าวข้างต้นว่า ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดและกรณียังเป็นที่สงสัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงหรือไม่ เพราะมีคะแนนเสียงเท่ากัน หาเสียงข้างมากไม่ได้ ซึ่งกรณีย่อมต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 ที่บัญญัติว่า
    
    ถ้าปัญหาใด มีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย จะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาที่เห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่า ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า อีกด้วย
    
    ดังนั้น ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ซึ่งเป็นประธานและต้องออกเสียงเป็นคนสุดท้าย จึงต้องถูกผูกมัดและถูกบังคับด้วยบทกฎหมายที่บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งดังกล่าว ให้จำต้องลงมติว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิด เพราะเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า แม้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน จะมีความเห็นขณะนั้นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดก็ตาม 
    
    ด้วยเหตุนี้ คะแนนเสียงของผู้พิพากษาคดีนี้ ที่พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 จึงเท่ากับว่า ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนที่ออกเสียงเป็นคนสุดท้ายได้ลงมติว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิด ซึ่งเป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 1 มากกว่า น่าจะเป็นการฝ่าฝืนและขัดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 39 วรรคสอง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 และมาตรา 184 
    
    จึงมีข้อพิจารณาว่า เป็นการลงมติที่ถูกต้องหรือไม่ คำพิพากษาคดีนี้ สามารถยืนยันได้แท้จริงหรือไม่ว่า พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ควรต้องรับโทษในทางอาญา 
    
    อนึ่ง การลงมติที่จะต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 184 ดังกล่าวนี้ ย่อมครอบคลุมทุกประเด็นปัญหาในการประชุม เพื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีอาญา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาว่า จำเลยกระทำผิดหรือไม่ ควรลงโทษจำเลยหรือไม่เพียงใด หรือสมควรลงโทษหรือรอการกำหนดโทษ หรือกำหนดโทษ แต่รอการลงโทษจำเลยไว้หรือไม่เป็นต้น 
    
    ดังจะเห็นได้จากถ้อยคำตามตัวบทมาตรา 184 ที่ว่า ...ให้เจ้าของสำนวนเป็นประธาน ถามผู้พิพาทที่นั่งพิจารณาทีละคน ให้ออกความเห็นทุกประเด็นที่จะวินิจฉัย... ถ้าในปัญหาใด มีความเห็นแย้งกัน ดังนี้ แสดงว่าการลงมติขององค์คณะผู้พิพากษาในคดีอาญา ต้องปฏิบัติตามความในมาตรา 184 ทุก ๆ ประเด็นปัญหา ไม่มีข้อยกเว้น
    
    ด้วยเหตุผล ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่กล่าวมา พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 จะได้รู้เห็นยินยอมให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่จะทำให้จำเลยที่ 1 กลายเป็นผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100(1) และมาตรา 122 วรรคสอง หรือไม่ และการประชุมปรึกษาองค์คณะผู้พิพากษาเป็นการประชุมและลงมติที่สอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าวมาแล้วหรือไม่ 
    
    หากองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ได้ลงมติให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้อย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว มติในการพิพากษาคดีนี้ น่าจะเป็นว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำผิดด้วยคะแนนเสียง 5 ต่อ 4 ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าวหรือไม่
    
    หากกรณีเป็นไปตามที่กล่าวมาโดยลำดับ สมควรหรือไม่ ที่พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องได้รับโทษในทางอาญา
  • Daosaddha

    20 พฤศจิกายน 2552 01:25 น. - comment id 1066034

    ขอบคุณ #20-21
    ขอตอบแบบย่อสรุปคำตัดสินก่อน
    (พรุ่งนี้เย็นๆ จะลองหารายละเอียดคำวินิจฉัยของแต่ละท่าน หากหาได้ และไม่ขี้เกียจอ่านกัน)
    
    "เมื่อพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิด ขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการแต่จำเลย ที่ 1 กลับฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ทั้งที่จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ทำตัวให้สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามจริยธรรมของนักการเมือง ให้เหมาะสมที่ได้รับความไว้วางใจให้ปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญ ยิ่งนี้ จึงไม่สมควรรอการลงโทษ
    
    พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิด ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 100 อนุ 1 วรรค 3 และมาตรา 122วรรค 1 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ส่วนความผิดฐานอื่น และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และยกฟ้องโจทย์สำหรับจำเลยที่ 2 ดังนั้นให้เพิกถอนหมายจับจำเลยทั้ง 2 และให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 เพื่อให้มาบังคับตามคำพิพากษาต่อไป"
    
    จบข่าวภาคดึก
  • Daosaddha

    20 พฤศจิกายน 2552 01:44 น. - comment id 1066035

    ขอกลับเข้ามาเพิ่มเติมก่อนไปนอน
    
    บทความที่ว่ามาจากสนง ธรรมนิติ นั้น
    เป็นการคัดลอกมาจากเว็บ ประชาไท (เข้าใจว่าเป็นเว็บแดง)
  • ธันวันตรี

    20 พฤศจิกายน 2552 13:34 น. - comment id 1066181

    .ใช่ครับ บทความดังกล่าว สำนักกฎหมายธรรมนิติ นำมาจาก หนังสือพิมพ์ประชาไท ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อย ยังมีความเห็นขัดแย้งอยู่
    
    เวลาที่ธันวันตรี สอนนักเรียน นักศึกษา เคยนำหมึกหยดลงบนกระดาษสีขาวเป็นหยดเล็กๆ หนึ่งหยด และถาม นักเรียน นักศึกษาเหล่านั้นว่า เห็นอะไร เกือบทั้งหมด ตอบว่า เห็นหมึกสีดำ บ้างก็อธิบายรูปร่างของ หยดหมึกที่เห็นว่ามีรูปร่างเป็นอย่างไร เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้กระดาษสีขาวจะมีขนาดใหญ่กว่าหยดหมึกมาก แต่ก็ไม่มีใครมองเห็นก่อน  ธันวันตรี เปรียบให้เห็นเหมือนกับความดี ความชั่ว หากเราทำความชั่วแม้เพียงสักครั้ง ก็ถูกมองว่าเป็นคนเลวแล้ว และความไม่ดีก็มักจะเด่นกว่าความดี 
    
    เช่น ถ้ามีการนำเสนอข่าว 2 ช่อง ช่องหนึ่งนำเสนอข่าวมาตรกรรมข่มขืน ฆ่าหั่นศพ อีกช่อง นำเสนอข่าวพระช่วยเหลือคนติดยา คนก็มักจะให้ความสนใจกับช่องแรกมากกว่า หรือ มีรายการทีวีรายการหนึ่ง ที่ธันวันตรี เคยเห็นการให้สัมภาษณ์นักข่าวที่ทำข่าวเกี่ยวกับดารา ซึ่งข่าวในทำนองไปแย่งแฟนชาวบ้าน ข่าวดาราตบตีกัน ข่าวมือที่สาม จะขายได้มากกว่าข่าวที่ดาราชวนกันไปทำบุญ  ชวนกันไปทำสาธารณประโยชน์
    
    มองมาในทางตรรกะ ถ้าคนๆหนึ่ง มีความดี = 6 ความชั่ว = 4 เราก็สามารถสรุปได้ว่าคนๆ นั้นเป็นคนดี แต่ในความเป็นจริง ยากที่จะหาเครื่องมือใดๆ มาวัดค่าของความดี ความเลวนั้น คงได้แต่อาศัยหลักฐานต่างๆ เท่าที่มีมาเป็นข้อสรุป 
    
    ธันวันตรี จะไม่สรุปว่า อดีตนายกทักษิณ เป็นคนดีหรือเลว เพราะ การสรุปแบบนั้นไม่ใช่แนวทางของสันติวิธี เนื่องจากมีคนสองฝ่ายได้สรุปไปแล้ว และได้ข้อสรุปที่ไม่เหมือนกัน
    
    ลองมองมาที่สังคมตอนนี้ที่แบ่งออกเป็นสองขั้ว  คนที่ยืนอยู่ขั้วโลกเหนือก็จะมองเห็นสภาพแวดล้อมของขั้วโลกเหนือว่าเป็นอย่างไร คนที่ยืนอยู่ทางขั้วโลกใต้ก็จะมองเห็นสภาพแวดล้อมของขั้วโลกใต้ว่าเป็นอย่างไร เมื่อเราไปยืนอยู่ที่จุดไหน เราก็มักจะได้ข้อมูลจากจุดนั้นมากกว่า
    
    ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะมองโลกทั้งใบ แทนการมองเพียงขั้วใดขั้วหนึ่ง
    
    มาถึงตอนนี้ บางคนถามว่า แล้วเราจะรวมกันได้อย่างไร
    
    ก็ต้องกลับไปมองที่กติกาของสังคม ที่เรากำหนดไว้ว่าอย่างไร
    
    ถ้าหากยังเชื่อมั่นในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ที่ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะคืนอำนาจให้ประชาชน ตัดสินใจในการปกครองของเขาเอง
  • อัลมิตรา

    20 พฤศจิกายน 2552 19:16 น. - comment id 1066301

    คุณดาวศรัทธา
    
    หากถ้อยแสดงแรงไปแล้วไยเขียน
    ด้วยสังเวียนการเมืองล้วนเรื่องใหญ่
    ทั้งเหลืองแดงเดือดพล่านละลานไป
    ต่างสาดใส่อักษรบ้านกลอนสะเทือน
    
    ใครหางด้วน/หางชี้ หรือมีหาง ?
    หมออาหมาพาระคางเพราะหางเหมือน ?
    สัตว์ต่ำต้อยห้อยหางต่างพาเบือน
    หางสีเปื้อนแปลกปลอมย่อมปะปน
    
    บางใครถูกพิจารณาอาญาโทษ
    คล้ายถูกโจทก์ฟ้องยับสำทับผล
    วิเคราะห์ได้ในกติกาของสากล
    สัตว์ร่างคนแม้สืบสอบคำตอบมี
    
    ใครจักดีจักชั่ว.. กว่าตัวตาย
    ต้องเผชิญฉิบหายยากตายหนี
    คือผลกฏแห่งกรรมพระธรรมคดี
    ต่าง.. แตกต่าง บางกรณีวิถีกรรม
    
    ศิษย์น้อง .. :) เราไม่ได้ลบความคิดเห็นของคุณดาวศรัทธา
    ในกระบวนความคิด ในกระบวนความเชื่อ หากแตกต่างอย่างสงบ
    เราก็เปิดโอกาสให้วิสาสะกันเสมอ ไม่มีแบ่งแยกว่าสีแดงหรือสีเหลือง
    
    ถึงใครจะไม่ค่อยเข้าใจเรา (เพราะไม่คิดจะทำความเข้าใจหรือเปล่าก็ไม่รู้)
    แต่เราก็อยากเหลือใครสักคนที่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนนั้นคือศิษย์น้อง
    ซึ่งเรารู้ว่า ศิษย์น้องมีแต่ความปรารถนาดีต่อเรา และในหลาย ๆ เรื่องยอมเปลืองความคิด
    
    คนที่อยู่อีกฟาก ก็บอกว่าเราอยู่อีกฟาก เช่นกันกับคนที่อยู่ฟากโน้น ก็บอกว่าเราอยู่ฟากนี้
    มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราเจอะเจออยู่เสมอในสังคมทั่ว ๆ ไป สำหรับความคิดที่แตกต่าง
    
    หากถามเราว่า เรารู้สึกเช่นไร (อย่างที่ในบางกระทู้ถามเพื่อนสมาชิกคนอื่น ๆ กัน)
    เราก็อยากจะตอบว่า ไม่มีสิ่งใดให้ต้องคิด หรือวิตก สีไหนก็สามารถผสมกลมกลืนกับสีอื่นได้
    
    ในสัปดาห์ก่อน เราเลือกใช้เวลาว่างในการร่างภาพระบายสีอีก ก็เหมือนเด็กฝึกหัดไล่สี ผสมสี
    บางทีแม่สีที่มี มันเข้มจนเกินไป เราก็เอาแม่สีอีกสีมาผสม จากนั้นก็ผสมได้ในอีกหลายเฉดสี
    นอกจากเราจะรื่นรมย์กับสิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว เรายังได้ความคิดบางอย่างติดปลายพู่กันมาด้วย
    
    ในสัปดาห์นี้ เราก็ยังคงใช้เวลาว่างในการร่างภาพระบายสีน้ำอีก เป็นภาพทิวทัศน์ในชนบท
    คราวนี้ เราพิถีพิถันมากยิ่งขึ้นในการผสมสี และบรรจงตั้งใจมากกว่าเดิม คราวนี้เราไม่ได้ไล่สี
    แต่เราใช้ความรู้สึกในการจัดลำดับสีตามโทนแสงที่คิดเอาเองว่า ควรจะเป็นเช่นนั้น เช่นนี้
    เช่นเดิม .. ยังคงใช้แม่สีทั้ง 3 เป็นตัวกำหนดแปรสีต่าง ๆ บางจุด ใช้แม่สีละเลงลงไปตรง ๆ 
    
    เราพึงพอใจที่ผลงานสำเร็จ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สวยงามเท่าฝีมือจิตรกรที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้
    หากเทียบไปแล้ว ก็คงเหมือนกับเวทีการเมืองที่เราเองก็ไม่ได้ช่ำชองแตกฉานถึงสนามทำเนียบ
    แต่เราสามารถผสมสี และสามารถทำให้กระดาษขาวแผ่นหนึ่งปรากฏภาพที่เราต้องการได้
    
    โม้มาเยอะ .. ถ้าศิษย์น้องไม่เข้าใจ ก็จะไม่อวดรูปให้ดูนะ .. ฮา (มีขู่ และมีงอน ด้วย)
  • ธันวันตรี

    20 พฤศจิกายน 2552 19:43 น. - comment id 1066308

    แหะๆ  สวัสดีครับ ศิษย์พี่ อยากเห็นการผสมสีที่สื่ออกมาผ่านปลายพู่กันร่ะครับ แหะๆ คงต้องงดงามเหมือนกับความตั้งใจของผู้วาดแน่ครับ
    
    โชว์ๆ ครับ ^ ^
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif
  • Daosaddha

    20 พฤศจิกายน 2552 22:02 น. - comment id 1066383

    ก่อนอื่น ขออภัยเจ้าบ้านที่เผลอเอาขยะมาทิ้งหน้าบ้าน เพราะไปตอบอย่างสุภาพในกระทู้หมอท้อแท้ แล้วถูกลบ เลยเกิดอารมณ์แต่งกลอนระบายพาไป (วอนให้ถูกลบเข้าอีก) ขอโทษจริงๆ ที่ผิดโดยบริสุทธิ์ใจ (เอ๊ะยังไงนี่)
    
    เมื่อ 01. น. ของวันนี้ บอกว่าจะมาต่อตอนเย็นพรุ่งนี้ ตอนนี้ยังไม่พ้นวันเลย แสดงว่ามาก่อนเวลา
    (นี่คือการอ้างแบบ ถือ"ตัวบท" ไม่ถือ"เจตนา")
    
    ความจริงไม่อยากต่อความยาว แต่อยากคุยต่อนะ (แสดงว่าอยากต่อ อิอิ)
    
    ขอตอบคุณ อาจารย์หมอสามธันวา (ขอโทษที่ล้อชื่อ ทนไม่ไหวอีกแล้ว ยกโทษด้วยนะ นะ)
    
    จะพยายามย่อที่สุดนะ-
    ๑. ความดีความชั่วโดยทั่วไปพอเกลื่อนกันได้
    ๒. ตัวอย่างผ้าขาวกับหมึกดำ จริงที่คน"ส่วนใหญ่"เห็นตำหนิเด่นกว่า หากมองด้วยสามัญสำนึกของมนุษย์ แสดงว่า โดยพื้นฐาน มนุษย์ล้วนรักดี เห็นความดี 100% เป็นเรื่องธรรมดาและควรกระทำอย่างยิ่ง ตำหนิแม้เพียงน้อยนิด เป็นจุดเด่น ก็นับว่าเป็นมลทิน เป็นของมีตำหนิ (ไม่ใช่ไม่เห็นค่าของผ้าขาว เพราะนั่นคือ Norm ที่เป็นที่เข้าใจโดยสามัญสำนึก) การมาชี้นำให้เห็นค่าของผ้าขาวเดิมๆ ไม่ให้ดูตำหนิ คือการฝืน มโนธรรมของความดี100%
    ประเด็นนี้เป็นเพียงการมองคนละมุม
    ๓. ความดีความชั่วของคนใดคนหนึ่ง บางอย่างก็ไม่อาจลบล้างได้ง่ายๆ แม้แต่พุทธองค์ ยังเห็นบางกรรมว่าเป็น อนันตริยกรรม แม้แต่หมู่สงฆ์มีวินัย มีการลงโทษ และยังมีการให้มาสารภาพบาปทำนองเดียวกับคริสต์
    ๔. คนทำผิดหากสำนึกผิดคนไทยส่วนใหญ่มักให้อโหสิและอาจงดหรือลดโทษ คนที่พูดอย่างทำอย่าง ซ้ำซาก ความอดกลั้นของคนสามัญก็มีจำกัด
    ๕. มาตรฐานหิริโอตปะของชาติอารยะส่วนใหญ่ สูงกว่าไทยทั้งนั้น ยิ่งเป็นนักการเมือง ยิ่งเป็นระดับสูง เขามีสำนึกลาออกกันไปนานแล้ว ไม่ทนทู่ซี้ทนด้านอย่างนี้หรอก ของเรานอกจากไม่สำนึกแล้วยังทำเหมือนไม่รักชาติฯลฯ พอแล้วเดี๋ยวเบรกไม่อยู่
    ๖. การให้อภัยกับคนฉวยโอกาส เหมือนม้าอารี นานๆไปเจ้าถิ่นกลับกลายเป็นผู้อาศัยแล้วถูกตะเพิดในที่สุด คอยดูไปเถอะ
    ๗. เราเคยนิยมอดีตนาย ก ทำนองเดียวกับมหาขันเดียวเคยเชิญมาเป็นแขก แล้วมาเป็นนายแล้วกลายเป็นศัตรู คนดีๆอีกมากมายที่เห็นเป็นประจักษ์ในบ้านเรา และเป็นกลาง ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ทำไมจึงเห็นค่าเนื้อแท้คนได้สอดคล้องกัน
    ๘. ผลงานที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ คือการเอาเงินหลวงมาแจก แบ่งกินแบ่งใช้ คนส่วนใหญ่ก็ชอบ นักการเมืองค่ายอื่นไม่ทำตามก็ไม่ได้หรอก (ช่องโหว่เยอะแยะแต่เมื่อถูกปิดกั้นไม่โปร่งใส ก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน แถมทีมร่วมช่วยกันล้างช่วยกันปิด)
    ๙. สถาบันที่อ้างว่ารักแต่กลับถูกบ่อนทำลาย ฯลฯ (ยาววววว)
    
    จบดีกว่า
  • Daosaddha

    20 พฤศจิกายน 2552 22:48 น. - comment id 1066398

    ขออภัย อารมณ์ค้าง ยังจบไม่ลง
    
    เรามาลองคิดต่อกันดูว่า เหตุการณ์บ้านเมือง (ไม่ใช่บ้านกลอน) จะเป็นไงต่อไป จะจบอย่างสันติได้ไหม
    
    หลายต่อหลายนักวิเคราะห์ล้วนมองในแง่ร้ายว่า จุดแตกหักใกล้เข้ามาทุกที ขิงก็ราข่าก็แรง ในที่สุดบ้านพัง โดยมีผลต่อไปสองทางคือ
    - ช่วยกันสร้างบ้านใหม่ให้วิไลกว่าเก่า หรือ
    - นั่งเลียแผล ทนตากแดดตากฝนอยู่กลางทรากเมือง
    
    การยุบสภาให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ คือทางออกที่ใครๆก็เห็นก็เรียกร้อง แต่ต้องหามาตรการป้องกันไม่ให้เป็นเชื้อไฟไหม้บ้านเร็วเข้าไปอีก
    (ขนาดใกล้วันเฉลิมฯ ท่านยังอยู่ร.พ. ยังไม่เว้น)
    
    เราเป็นแค่เบี้ยแค่เศษดินเศษหญ้า ได้แต่หวังว่า บ้านอย่าพัง ทั้งศึกนอกศึกใน ให้สลายมลายไป
    หากจบ ก็ให้บ้านแข็งแรงแกร่งสวยงามใช้งานได้ดีกว่าเดิม
    
    " อธิษฐานเอย สองมือจับพาน ประดับพวงพุทธชาด ๆ
    ขอกุศลผลบุญ จงมีแด่ผู้ทำคุณประโยชน์ไว้ในชาติ
    อย่าให้ใครคิดร้าย มุ่งทำลายชาติไทย
    ขอให้ทุกคนสนใจ ห่วงไยประเทศชาติ
    ให้ไทยเรานี้ มีความสามารถ ช่วยตัวช่วยชาติ
    ทำให้ไทยเป็นเมืองทอง
    
    อธิษฐานเอย สองมือจับพาน ประดับพวงผกากรอง ๆ
    ขอไทยรักไทยร่วมเป็นมิตรมั่นใจ ถือไทยเป็นพี่น้อง
    อย่าให้ใครคิดแยก อย่าทำให้แตกร้าวฉาน
    ขอจงช่วยกันสมานให้ไทยทั้งผอง
    ให้สามัคคี เหมือนพี่เหมือนน้อง กลมเกลียวเกี่ยวข้อง
    รักกันทั่วทุกคน "
    
    ไชโย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
  • ธันวันตรี

    21 พฤศจิกายน 2552 12:31 น. - comment id 1066522

    4121523636_85ebfe5132_o.jpg
    
    พระพุทธองค์ผู้มีแต่ความอ่อนโยน สอนให้มนุษย์ปราศจากความอาฆาตพยาบาท มอบแต่ความรักความเมตตาให้แก่กัน
    
    ขออธิบาย กฎแห่งกรรม เพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจ หากมีผู้ผ่านเข้ามาอ่านต่อครับ
    
    เพื่อง่ายต่อการเข้าใจ ธันวันตรี อนุมานว่า ใช้ภาษาอังกฤษจะเข้าใจง่ายกว่า
    
    เมื่อมี Action จะมี Reaction เป็นเหตุเป็นผลที่สอดรับกัน
    
    ขอยกตัวอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจ
    
    นายกอ ยิงตำรวจเสียชีวิต จึงถูกวิสามัญฆาตกรรม (กฎแห่งกรรม)
    
    ขอยกตัวอย่างประกอบ ที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรา ยืนมองทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมเพียงอย่างเดียว
    "คนพิการที่เกิดมาในชาตินี้เป็นผลจากการกระทำในชาติก่อน" เราควรจะยืนมองแต่เพียงว่า นั่นก็เพราะกรรมของเขาที่เขาก่อไว้ในชาติที่แล้วอย่างเดียวหรือไม่? ควรที่จะต้องชี้ให้ทุกคนเห็นถึง สิทธิและเสรีภาพที่มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมหรือไม่? ควรจะต้องให้ผู้พิการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเท่าเทียมเยี่ยงคนปกติหรือไม่?
    
    หากเชื่อในกฎแห่งกรรม ธันวันตรี จึงอนุมาน สิ่งที่ควรจะเป็นไปตามกฎแห่งกรรมคือ
    
    ถ้าทักษิณทำผิดจริง จะต้องถูกจำคุก 2 ปี
    แต่ถ้าไม่ได้ทำผิด จะไม่ถูกจำคุก
    
    หรือ ถ้าทักษิณกระทำการเลวๆอันใดไว้บนผืนแผ่นดินจะต้องได้รับผลของการกระทำเลวๆนั้น
    
    แต่ถ้าทักษิณมีแต่ความปรารถดีต่อปวงประชาชาวไทยจะได้รับผลของการทำดีนั้น
    
    คุณ Daosaddha สบายใจขึ้นหรือยังครับ
    
    ธันวันตรี เชื่อว่า ทุกคนมีจิตสำนึกที่ดี เพียงแต่อาจจะมากน้อยแตกต่างกัน
    
    ก่อนที่เราจะให้คนอื่นเห็นแก่ส่วนรวม เราควรจะบอกตัวเองให้เห็นแก่ส่วนรวมก่อน
    
    ธันวันตรีเชื่อว่า สันติภาพ จะเกิดแก่สังคมไทยแน่นอนครับ 
    
    
    
    11.gif36.gif36.gif36.gif36.gif
  • Daosaddha

    21 พฤศจิกายน 2552 13:44 น. - comment id 1066558

    เพิ่งดูหนัง DVD เรื่อง The Fall เป็นเรื่องเกี่ยวกับจินตนาการ (คงมีใครแถวนี้ได้รางวัลอีกแล้ว) โดยมีหนูน้อยน่ารักเป็นตัวหลักในการเดินเรื่อง เป็นหนังที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง
    
    เรื่อง โลภะ โทสะ โมหะ ได้เคยพยายามละให้หลุดมาแล้ว แต่คงยากตราบใดที่ ไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ปฎิบัติธรรมไม่พูดไม่จากับใครตลอดวันคืน หรือไม่บรรลุขั้นอริยะ ได้แต่จับสติให้ตลอด
    เท่าที่สังเกตตัวเอง แค่รู้ตัวให้ทันอารมณ์ จากเดิมๆที่อาจข้ามคืนข้ามวัน จนเป็นชั่วโมง เป็นนาที เป็นวินาที ได้แต่หวังว่า คงมีวันที่จะไม่ให้เกิดเลย (นั่นคือ การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ตลอดเวลา)
    หากใครเคยปฏิบัติจนถึงขั้นรู้ตัวทั่วพร้อม จะรู้ว่าความอัศจรรย์เป็นอย่างไร
    เป็นเรื่องปัจจัตตัง ทำเอง เห็นเอง รู้เอง
    
    เรื่อง กฏแห่งกรรมนั้น อ่านมาเยอะ ศึกษามาเยอะ และ เชื่อ ตลอดมา
    อินเดียมีเรื่องกฏแห่งกรรมมาแต่ครั้งก่อน พุทธกาลเสียอีก
    
    เคยคิดจะแปลหนังสือเล่มหนึ่งให้เป็นพากย์ไทย แต่มีศัพท์แสงแขกมากเกินความเพียรที่จะใช้เวลาค้นคว้า เลยได้แต่อ่าน
    หนังสือปกแข็งชื่อ The DOCTRINE OF KARMA เขียนโดย Yuvraj Krishan มีหัวย่อยโปรยว่า "Its Origin and Development in Brahmanical, Buddhist and Jaina Traditions"
    
    เนื้อหา เป็นแบบวิชาการ ทั้งประวัติที่มาตั้งแต่ที่เป็นวรรณกรรม Samhitas - Brahmanas - Upanisads - Vedic แล้วมาขยายความต่อใน Jainism - Buddhism และยังมีอยู่วรรณกรรมที่มีชื่อหลายเรื่องเช่น Ramayana - Mahabharata - Bhagavadgita - Puranas
    เป็นการวิเคราะห์ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ตั้งแต่อดีต - ปัจจุบัน จนถึงอนาคต ข้ามภพข้ามชาติ ทั้งการตีความในแง่มุมต่างๆ ทั้งแง่ที่มีเข้ามาขัดแย้งหักล้าง และสนับสนุน
    
    นับว่ากฏแห่งกรรมเป็นหัวใจหนึ่งในปัญญาตะวันออก (โดยเฉพาะอินเดีย)
    ถ้าสนใจเรื่องไหน จะสำเนาส่งมาให้ (ทั้งเล่มคงไม่ไหว ประมาณ 700 หน้า)
    
    (เรื่องทักกี้ จะเป็นจะตายจะดีจะร้าย ไม่สนหรอก ห่วงแต่บ้านเมือง หวังเหมือนทุกๆคนที่เป็นคนไทยรักเมืองไทย ให้ชาติบ้านเมือง สงบร่มเย็นเจริญรุ่งเรืองตลอดไป)
  • ธันวันตรี

    21 พฤศจิกายน 2552 13:58 น. - comment id 1066562

    อยากดู และ อยากอ่านหนังสือที่ว่าจังเลยครับ แหะๆ
    
    ขอบคุณครับ ที่นำเสนอสิ่งดีๆ และสร้างสรรค์มาเล่าสู่กันฟังครับ ^ ^
    
    
    
    11.gif36.gif36.gif36.gif36.gif
  • Daosaddha

    21 พฤศจิกายน 2552 15:53 น. - comment id 1066570

    มาคุยกันในบ้านลูกลิง ระวังหูระวังหัว บ้างนะ เดี๋ยวโดนมะเหงกเขวี้ยงมา (โอ๊ยยย - แกล้งร้องนะ ห้ามเขวี้ยงจริงๆ)
    
    เราไม่ได้เป็นสมาชิก จะแปะรูปยั่วน้ำลายสักหน่อย ทำไม่เป็นแฮะ
    (หรือห้ามไว้ก็ไม่รู้)
    ติดไว้ก่อนละกัน
  • supers

    22 พฤศจิกายน 2552 13:51 น. - comment id 1066674

    มีคนบอกว่ากฏหมายแพ่ง กรณีจำนอง จำนำ 
    ขาย ฯลฯ คู่สมรสต้องเซ็นต์ยินยอมแต่ กรณีซื้อไม่ต้อง รบกวนคุณธันวันตรีช่วยหาให้หน่อยว่าจริงหรือไม่ มาตราไหน ถ้าจริงจะเป็นอย่างไร
                               ขอบคุณครับ
  • อัลมิตรา

    21 พฤศจิกายน 2552 20:31 น. - comment id 1066688

    คุณดาวศรัทธา .. สนทนากับศิษย์น้องอย่างจับเข่าคุยกัน (ขอย้ำ ! จับเข่า)
    แต่ละคนก็มีแหล่งอ้างอิงสมเหตุสมผลกันทั้งนั้น ดูดี มีสาระทั้งชั่วครู่ เอ๊ย ทั้งคู่
    ทีนี้ เอาไงดี เรียกตัวเองไม่ถูกเลย อัลมิตรา/ลูกลิง   ฮา .. อยากให้ใช้คำไหนแทนตัวเองดี
    ทีนี้ว่ากันเรื่องของ DVD ( The Fall ) ที่คุณดาวศรัทธาแปะยี่ห้อการันตีว่าเป็นหนังที่เจ๋ง
    น่าสนใจนะ (ต้องใช้วิชาอ้อนขอ และใช้วิชาช่วงชิงจากศิษย์น้องแล้วล่ะ)
    ว่าแต่ว่า .. พากย์ไทย หรือมี sub หรือเปล่า ถ้าไม่มี ไม่ไหวนะ หืดจะขึ้นคอเอาน่ะ
    ส่วนหนังสือก็เหมือนกัน  The DOCTRINE OF KARMA  รอให้แปลเป็นไทยก่อน
    เถอะน่า แปลจิ เชียร์ ๆๆๆ แล้วจะเอาโดราเอมอนกับขายหัวเราะไปแลก ที่นี่มีแยะเชียว
    
    วันนี้ไปเดินโต๋เต๋ที่ห้างสรรพสินค้าแถวบ้าน ด้อม ๆ มอง ๆ หนังอยู่เรื่องหนึ่ง
    ที่จริงก็อ่านหนังสือจบไปแล้ว 4 ภาค เกี่ยวกับแวมไพร์ ภาคที่กำลังฉายเป็นภาค 2
    ก็มีโปรโมชั่นยั่วยวนเหลือเกิน ดูวันพุธลดราคาตั๋ว โชว์เบอร์ AIS ก็ลดราคาตั๋ว
    ล่าสุด ซื้อชุดแมคโดนัลล์ก็ลดราคาตั๋วให้อีก ... สุดยอด แต่เป็นไปได้ยากชะมัด
    วันพุธต้องทำงาน ใช้โทรศัพท์ของดีแตก และไม่ชอบกินขนมปังซะเท่าไหร่
    ครั้นจะบอกว่า จะอดใจรออีกสักหน่อย เผื่อว่าเพื่อน ๆ จะไปซื้อ dvd เราก็จะได้ยืมมาดูบ้าง
    แต่กว่าจะถึงวันนั้น ความอยากดูก็คงหมดไป เฮ้อ .. 
    
    ตกลงว่าวันก่อนได้ดูมั๊ย ฝนดาวตก ..  ดูดาวแล้วคิดถึงใครบ้าง อย่าลืมคิดถึงตัวเองนะ
    
    ศิษย์น้อง .. เจอคนคุยถูกคอแล้วกระมัง :)  ดาวศรัทธาเป็นเพื่อนของเราเอง
    เขาน่าจะรู้จักเราบ้างนะ แต่เขาเป็นใครก็ไม่รู้อ่ะ แหงน ๆ มองฟ้าคงจะหาเจอ
  • ธันวันตรี

    21 พฤศจิกายน 2552 21:08 น. - comment id 1066705

    4.gif11.gif4.gif
    
    แหะๆ ครับ
    
    11.gif11.gif36.gif36.gif36.gif
  • Daosaddha

    21 พฤศจิกายน 2552 22:57 น. - comment id 1066784

    DVD ส่วนใหญที่มาถึงบ้านเราจะมี sub ไทย แทบทั้งนั้น รวมทั้ง The Fall ที่ได้รับยืมมาเป็นทอดๆ เลยต้องรีบดูรีบคืน ไม่ได้ก๊อบไว้ซะด้วยสิ
    
    ํีYuvraj Krishan ได้ทุนการวิจัยจากสภาวิจัยประวัติศาสตร์ของอินเดีย ทำวิจัยอยู่สามปีครึ่ง และใช้เวลาอีก สิบสี่ปี จึงเป็นผลงานพิมพ์ออกมาเมื่อสิบปีก่อน เราซื้อมาเมื่อเกือบสิบปีก่อน อ่านข้ามไปข้ามมา ร่ำๆจะแปล แต่ภาษาฮินดีที่แทรกอยู่ เกือบครึ่ง เป็นที่ปวดกบาลยิ่ง
    คงต้องหาตำราภาษาฮินดีมาอีก หากอยากบ้าต่อ อิอิ
    
    คืนที่มีฝนดาวตื่นมาตอนตีสาม นึกอยากดูดาวออกมาเห็นฟ้าครึ้มไปหมด เลยนอนต่อ
    
    A ไม่ใช่ A และ B ไม่ใช่ B ดังนั้น A อาจเป็น B หรือ เราอาจเป็นเขา (เป็นการอธิบาย อนัตตา แบบเซ็น ตามหนังสือ "กุญแจเซ็น" ของ ติช นัท ฮันห์)
    
    ความจริง อนัตตา น่าจะคือ "ไม่มีอะไร เป็น อะไร"
    
    ดังนั้น เรา ไม่ไช่เขา และ ไม่ไช่เรา
    (Almitra ดีแล้วจ้า เพราะโตแล้ว และไม่ซน)
  • อัลมิตรา

    22 พฤศจิกายน 2552 21:25 น. - comment id 1067049

    คุณดาวศรัทธา .. งั้นจะเป็นอัลมิตราล่ะนะ 
    ช่วงนี้ยังไม่คิดเขียนกลอนใหม่ ในหัวมีแต่ภาพเขียนน่ะ อยากหัดให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที
    ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก่เกินเรียนหรือเปล่า อันนี้ไม่ใช่ว่าดูหนังซินยุนบกแล้วอยากวาดรูปนะ
    ที่จริงอยากวาดรูปมานานแล้ว เหมือนอยากแก้ไขในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัด ให้รู้สึกไม่กลัว ไม่เกร็ง
    ถึงฝีมือวาดจะดูเหมือนเด็กประถมก็เหอะ แต่ก็มีความสุขใจชะมัดเลย (ยังไม่ถึงกับสุขจนบ้านะ)
    
    ภาษาฮินดี อัลมิตราไม่รู้จักเลย แต่ถ้าเป็นภาษาอรับก็อาจจะพอกล้อมแกล้มได้บ้างนะ อาศัยลักเรียนมา
    ตะก่อนเคยไปวาดลวดลายที่เวปมุสลิมนิดหน่อย ก็เลยได้คัมภีร์อัลกุรอ่านมา ก็มีสองภาษานะ ไทย/อรับ
    ทีนี้เวปมาสเตอร์ที่นั่นใจดี ส่งดิกชั่นเนอรี่ภาษาอรับ/อังกฤษมาให้ เผื่อว่าอัลมิตราอยากจะแปลเอง
    เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่า อัลมิตราดันไปตั้งกระทู้ถามประมาณว่า คัมภีร์เล่มเดียวกันทำไมปลายทางแตกแยก
    ทีนี้เป็นเรื่อง ฟากหนึ่งก็อธิบายซะยืดยาว อีกฟากหนึ่งก็ไม่ยอมแพ้ยกสารพัดเหตุผลมาเหมือนกัน ตีกันโช้งเช้ง
    อัลมิตราก็เลยคิดว่า ไปหลบมุมอ่านเองแปลเองดีกว่า อ่านไปอ่านมา บางเรื่องราวก็เหมือนกับที่เคยรู้ในคริสต์
    ก็เลยมีความคิดที่ว่า .. สองศาสนานี้ ญาติกันหรือเปล่านะ   มี..เรือโนอาห์ด้วย 
    
    อยู่ที่เวปนี้ออกอาการลิงไม่ค่อยได้ เดี๋ยวจะดูไม่ขรึม ฮา .. ไม่หรอก เป็นเหตุของความเหมาะสมมากกว่า
    ที่จริงการเป็นผู้ดูแลระบบ หากเผยตัว เรื่องมันก็จะมาก เป็นเช่นนี้เอง กฏธรรมดา อันนี้เผยไปแล้วก็ต้องยอมรับ
    แต่ .. หลายหนนะ ที่ต้องทนข่มความรำคาญเหมือนกัน ในใจยังนึกว่า ถ้าเป็นลูกลิงป่านนี้ได้ระบายไปแล้ว
    อันนี้พูดถึงเรื่องกลอนการเมืองนะ ที่จู่ ๆ บางคนคุยเรื่องการเมืองแล้วย่องมาแอบตีหัวอัลมิตราซะเนี่ย ไม่ดีเลย
    พอดีว่าเป็นอัลมิตราก็ต้องนับหนึ่งถึงหมื่น ถ้าเป็นแค่ลูกลิงนับหนึ่งถึงสองก็พอ นับนานไม่ได้สมาธิไม่ค่อยจะมี
    แต่ก็แอบเขียนโคลงไว้นะ เป็นโคลงที่เขียนไว้ในใจ เหมือนเลขคณิตคิดในใจนั่นแหล่ะ เขียนเสร็จแล้วสบายใจดี ฮา ..
    
    คืนฝนดาวตก .. คืนแรกหลับสบาย คืนที่สองไม่ค่อยหลับเพราะที่ทำงานโทรมากลางดึกให้แก้ปัญหางานกระทันหัน
    ก็ร่วมราตรีสโมสรกับเพื่อนอีก 2 คนในการรีโมทเข้าสัญญาณเพื่อที่จะเข้าไปเช็คข้อมูลและแก้ไขงานให้ทันการ
    ปวดหัวตุ๊บ เป็นหวัดนิด ๆ บอกเพื่อนว่า ไม่ไหวแล้ว ขอเผ่นก่อน ไม่งั้นรุ่งขึ้นป่วยแหง๋ ก็เลยปิดเครื่องกะว่าจะนอน
    ดันนอนไม่หลับ หลับตาก็ยังเวียนหัว ทำไปทำมาก็เช้าแล้ว .. บ้าตาย  อารมณ์ฝนดาวตกเลยกระเจิงเชียวค่ะ
    
    คุณsupers .. แล้วกัน ศิษย์น้องเป็นหมอรักษาคน ไม่ได้เป็นหมอความสักหน่อย อัลมิตราก็ไม่เก่งกฏหมายเสียด้วยจิ
    เมื่อวานไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับกฏหมายควรรู้ในชีวิตประจำวัน เล่มนึง 29 บาท (ราคาเต็ม 88 บาท)ก็ไม่มีหัวข้อนี้
    แต่พอไปดูที่เน็ต ก็มีให้อ่านเพียบ การตีความแปลความยังยากอยู่ดี (ไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเขาไม่ใช้ภาษาง่าย ๆนะ)
    
    กรณีซื้อที่คุณsupers แจ้งมา น่าจะเป็นการซื้ออสังหาริมทรัพย์
    ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1469 
    ให้สามีและภรรยาทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินกันได้ในระหว่างสมรส 
    ดังนั้น สามีก็อาจจะทำสัญญาว่าจะไม่เรียกร้องสิทธิในกรรมสิทธิ์ของที่ดินที่ภรรยาซื้อ 
    และถือว่าเป็นสินส่วนตัวของภรรยาแต่เพียงผู้เดียว 
    สัญญานี้คุณอาจจะให้สามีทำเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อนำไปยื่นให้กรมที่ดิน 
    แต่ประมวลกฎหมายมาตรานี้กล่าวต่อไปว่า
     "ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่ 
    หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ 
    แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต"
  • supers

    23 พฤศจิกายน 2552 13:11 น. - comment id 1067262

    โทษทีนะครับเห็นนำหัวข้อมาโพสต์นึกว่าคุณธันวันตรีเป็นหมอความบังเอิญสงสัยเรื่องนี้อยู่พอดีเลยถามไป ลองค้นดูแล้ว 1476 ซื้อไม่ต้องยินยอม ยินยอมไปก็ไม่ต้องใช้ แล้วจะผิดยังไง สงสัยแค่นี้ล่ะมาร์ตี้46.gif
      ใครรู้ช่วยบอกเป็นวิทยาทานหน่อยครับ
  • แดดเช้า

    23 พฤศจิกายน 2552 19:36 น. - comment id 1067398

    มาตรา ๑๔๗๖ สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้
    
    ๑) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิเรียกร้อง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
    
    ๒) ......
    
    ......
    
    .....
    
    ๘) .....
    
    การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง  สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากผีอกฝ่ายหนึ่ง 48.gif
  • แดดเช้า

    23 พฤศจิกายน 2552 19:39 น. - comment id 1067401

    มาตรา ๑๔๗๖ ยาว ขี้เกียจพิมพ์หมดค่ะ
    
    เอาเป็นว่า ปกติแล้ว สามารถทำอะไรได้เองโดยไม่ต้องขอความยินยอม เว้นแต่เรื่องสำคัญๆ ที่ต้องทำเป็นหนังสือ ทำหลักฐานเป็นหนังสือ หรือเรื่องสำคัญเกี่ยวกับสินสมรส ที่ต้องได้รับความยินยอม ... 
    
    ภริยา จะไปซื้อเครื่องประดับ ซื้อเสื้อผ้า ซื้อเครื่องสำอางค์ ทำได้หมดเลย ไม่ต้องขอความยินยอมจากสามี 55.gif
  • ธันวันตรี

    23 พฤศจิกายน 2552 21:55 น. - comment id 1067452

    แหะๆ ครับ ^ ^
    
    11.gif36.gif36.gif
  • supers

    24 พฤศจิกายน 2552 01:45 น. - comment id 1067508

    ขอบคุณครับ 46.gif
  • อัลมิตรา

    24 พฤศจิกายน 2552 17:15 น. - comment id 1067677

    เจ๋งมาก แดดเช้า .. ทำการบ้านได้หมดจดแท้
    
    ศิษย์น้องไม่ต้องมาแหะ แหะ เลย  ทีงี้ ทำเป็นซุ่ม เชอะ
    
    คุณsupers .. :) อสังหาริมทรัพย์ กับ สังหาริมทรัพย์ ก็เป็นตัวแปร ด้วยนะคะ
  • ฤกษ์(ไม่ได้ล๊อกอิน)

    24 พฤศจิกายน 2552 23:47 น. - comment id 1067791

    เถียงกันไปเถียงกันมาเดี๋ยวทหารก็ปฎิวัติอีกร๊อก  ไอ้หัวหน้าคนก่อนเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองไปแล้ว อิอิ แล้วไอ้หัวหน้าเสื้อเหลืองก็เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองไปแล้วเหมือนกัน
    อิอิ ไม่แตกต่างแน่ จุดประสงค์เดียวกันแต่มาคนละทาง อิอิ
  • อัลมิตรา

    25 พฤศจิกายน 2552 19:36 น. - comment id 1067957

    คุณฤกษ์ .. ไหน ใครเถียงกัน แบบนี้เขาไม่ได้เรียกว่าเถียงหรอก เขาเรียกว่า ถก
  • drroyz

    28 พฤศจิกายน 2552 20:20 น. - comment id 1068791

    กิเลศยั่ว มัวเมา ให้หลงผิด
    คบและคิด ให้แตกแบ่ง แย่งกันใหญ่
    ปลุกระดม ให้ฝูงคน ไทยฆ่าไทย
    พอตายไป ใหญ่เท่าไร ก้อลงโลง

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน