ยืนแหงนมองผองไผ่ไหวระลู่ ระลึกรู้ความหมายในคำสอน ยืนห่มลมเย็นชื่นจนลืมร้อน ในวรรคตอนธรรมชาติบัญญัติรอ ทิวป่าไผ่ล้อมเป็นแถวแนวหมู่บ้าน สั่นสะท้านเสียดลมชมหลอกล่อ เบียดบรรเลงเพลงบ้านบ้านคล้ายขานซอ เพราะกว่าเพราะเพลงไผ่ลมไล่ลอด ริ้วสายลมไล่ลำนำกรำจังหวะ เสียดปะทะทิวไผ่ไหวเอียดออด โอนลำเบียดเสียดลำต้นโคนถึงยอด แขนงโอบอุ้มกอดสอดลำเรียว อู้...ดูสินั่น! ลมไผ่ชักกะเย่อ เอาสิเออลองสักตั้งทางใครเหนียว ไผ่กอดกอโอบต้นจนกลมเกลียว ลมหลั่นเลี้ยวฉุดทึ้งดึงไผ่นอน ฟังเสียงไผ่ให้จังหวะจะตีกลับ ฟังเสียงลมขานรับขยับถอน ไผ่หลบขวาลมรีบตามไปรานรอน แล้วหมุนร่อนไปดักซ้ายไผ่เป็นเกลียว ออดแอดแอดแอดออดออดสอดจังหวะ ฟู่ซ่าซ่าซู่ซู่ฟู่ดูลมเหลียว ทั้งไผ่ลมรั้งดึงเป็นหนึ่งเดียว กอไผ่เขียวสายลมใส เอ๊า! ใครแรง ริ้วสายลมงดงามความสามัคคี ทิวไผ่มี รัก อดทน จนแข็งแกร่ง ไผ่และลมคอยประชันอย่างขันแข็ง แต่ยังแฝงซึ่งความหมายสิ่งใดกัน? หรือเป็นความปรารถนาแห่งหล้าโลก ที่แอบพกมากับงานการแข่งขัน ให้ผู้คนเสาะหาค่าอนันต์ เป็นเช่นนั้นอยู่เช่นนั้นหรืออย่างไร? สุดลึกซึ้งและลึกซึ้งซึ่งธรรมชาติ ให้โอกาสค้าหาค่าความหมาย ซ่อนคำสอนแอบชิตติดใจกาย อย่างใกล้ใกล้เหมือนจะหายแต่ไม่เลือน แสนเสียดายใครใครรับความหมายนี้ เอาแต่มีรูปธรรมความเสมือน นามธรรมไร้รูปที่เอ๋ยเอื้อน อยู่ติดเรือนแนบกาย อะไรกัน ลึกลึกแล้วดินฟ้าและอากาศ ลึกลึกแล้วธรรมชาติวาดทุกฝัน แสดงรักถักชีพชีวิตนั้น จากอดีตสู่นิรันดร์อย่างมั่นคง อันลึกซึ่งกว่าสิ่งใดในหลายภพ มิรู้จบยังแสดงความประสงค์ ตราบดินฟ้ามหาสมุทรหยุดชีพลง คาดว่าคงเหลือความรัก....ให้จักรวาล บางสิ่งบางอย่าง... ที่รับรู้จากธรรมชาติ แม้จะดูว่าสิ่งนั้นเล็กน้อย แต่สำหรับใครบางคนนั้น ได้มองว่าเป็นสิ่งลึกซึ้งและสูงส่ง เฉกเช่นสายลมและทิวไผ่ ที่เริงเล่นหลอกล่อ ยั่วล้อหยอกเย้ากันมานมนาน แม้เป็นเรื่องปกติ เป็นส่วนหนึ่ง ในหลายสิ่งหลายอย่าง ในชีวติประจำวัน แต่บางคนกลับมองว่า สายลมและทิวไผ่ ได้ซ่อนความหมายกับคำสอนเอาไว้มากมาย ให้ได้ค้นหาและติดตาม อันเป็นนามธรรม เป็นปรัชญา ที่มีอยู่แทบทุกที่ บนโลกแห่งนี้ ทั้งในเมือง ในป่าเขา และในชนบทอันเป็นที่รัก ไม่รู้ว่าทุกหนแห่งหรือบางเศษเสี้ยว ในจักรวาลนี้... จะมีธรรมชาติ แมกไม้ ป่า เขา ลำธาร แสงแดด หมอก น้ำค้าง สรรพสัตว์น้อยใหญ่ ทิวไผ่และสายลม สำคัญยิ่งคือผู้เสาะแสวงหาคุณค่า หาความหมายในธรรมชาติ ทั้งผู้ที่รับรู้และซึมซับนามธรรมเหล่านั้น หรือไม่ หากมี.... แม้ชาติหน้า ได้เกิดเป็นสิ่งใดในจักรวาลนี้ เกิดอยู่ ณ ที่หนแห่งใดในจักรวาลนี้ ก็จะไม่เป็นทุกข์ใจเลย... ฟ้าฟื้น ธรรมชาติ
25 กันยายน 2552 23:49 น. - comment id 1042716
ในความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่ง มีความเปลี่ยนแปรเป็นสิ่งจีรัง หากแต่เราจะจัดการกับใจของเราให้ดำรงอยู่เยี่ยงผู้รู้เท่าทัน และเดินไปบนความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างผู้ฉุกคิดได้ว่า เวลาเท่านั้นจะเป็นจักรกาลที่เปลี่ยนแปลงทุกๆ สิ่งไม่เว้นแม้ชีวิตมนุษย์ ณ วันเวลาที่ยังเหลืออยู่ เราเตรียมใจที่จะรับกับความเปลี่ยนแปรบ้างหรือยัง... รอยไถแปร ทุ่งนาแดนนี้ ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควาย เห็นซาก คันไถแล้วเศร้า เห็นนาที่ร้าง นั้นมีแต่ฟาง แทนรวงข้าว เห็นเคียวที่เกี่ยว เหน็บติดเสา เล่นเอาใจเรา สะท้อน ทุ่งนาแดนนี้ ข้าเคยไถทำ สองมือ ข้าเคย หว่านดำ ฤดู ฝนพร่ำ หน้าก่อน แต่มาปีนี้ ฤดี ข้าแสนจะสะท้อน เพราะมา ไร้คู่ กอดเคียงหมอน ทิ้งให้เรานอน ระกำ รอย ไถเอย ข้าเคยไถถาก เดี๋ยวนี้ เจ้ามา คิดจาก ฝากให้ เป็นรอย ไถช้ำ เปลี่ยนรอย ไถใหม่ ทิ้งรอย ไถเก่า ระกำ อกใคร ใครบ้าง ไม่ช้ำ เมื่อยาม เห็นรอย ไถแปร ทุ่งนาแดนนี้ คงร้างไปอีกนาน ข้าเอง ก็เหลือ จะทาน เพราะมัน แสนสุด จะแก้ หมดกำลังใจ แล้วเรียมเอ๋ยข้า คงตายแน่ จะไถไปอีก ก็กลัวแพ้ เพราะรอยมันแปร เสียแล้ว เรียมเอย