แก้วกลางสรวง (แรงบันดาลใจในการเขียน จากกลบท โคลงกลอน กลอนโคลง ของ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ในหนังสือ ชักม้าชมเมือง ครับผม) โคลง ๔ สุภาพ โลกซึมซับสรรพซ้อน สับสน แสนโศกคลุมแดนดล เดือดร้อน เลือดพล่านผ่านเล่ห์กล ล้นก่อ ล่อแล ลาญดับสุขศานต์ซ้อน โศกเร้าโรคภัย ในใจแผลแผ่พร้อย รอยพรุน สร้างบาปคลุมสร่างบุญ บ่มเศร้า ซมไข้ขื่นไร้สุนทร์ สาดส่อง มองแล ใดจักดับไฟเร้า รุ่มร้อนสุมทรวง ดวงธรรมเทียมประทีปแท้ แรทอง ทาบผ่องยลภาพผอง พ่างแก้ว กลางสรวงซึ่งลำยอง ยลอร่าม งามแล ปวงจิตพ้นบ่วงแคล้ว เงื่อนคล้อยเคลื่อนตรวน มวลธรรมะสละล้าง เลวลาม เกิดกุศลเลิศความ คิดสร้าง กิจถ้วนถูกตรงตาม ตริตรึก นึกฤา ประมวลไป่มีรวนร้าง สุขเรื้องยุคนิรันดร์ กลอนสุภาพ โลกซึมซับสรรพซ้อนสับสนแสน โศกคลุมแดนดลเดือดร้อนเลือดพล่าน ผ่านเล่ห์กลล้นก่อล่อแลลาญ ดับสุขศานต์ซ้อนโศกร้อนโรคภัย ในใจแผลแผ่พร้อยรอยพรุนสร้าง บาปคลุมสร่างบุญบ่มเศร้าซมไข้ ขื่นไร้สุนทร์สาดส่องมองแลใด จักดับไฟเร้ารุ่มร้อนสุมทรวง ดวงธรรมเทียมประทีปแท้แรทองทาบ ผ่องยลภาพผองพ่างแก้วกลางสรวง ซึ่งลำยองยลอร่ามงามแลปวง จิตพ้นบ่วงแคล้วเงื่อนคล้อยเคลื่อนตรวน มวลธรรมะสละล้างเลวลามเกิด กุศลเลิศความคิดสร้างกิจถ้วน ถูกตรงตามตริตรึกนึกฤาประมวล ไป่มีรวนร้างสุขเรื้องยุคนิรันดร์ (๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๐)
3 มีนาคม 2550 20:07 น. - comment id 665452
ร้อนใดใดในหล้าไม่ร้อนเท่า ร้อนรุมเร้าในจิตใตไหวหวั่น เย็นใดใดในหล้าอันใดกัน เท่าธรรมกัณฑ์โล่งแจ้งผ่อนสบาย
3 มีนาคม 2550 21:33 น. - comment id 665487
3 มีนาคม 2550 23:21 น. - comment id 665506
โลกเราแสนเร่าร้อนหนักหนายิ่ง พิศสรรพสิ่งสาหัสถ้วนหลากหลาม อยู่ทุกครามีแต่ความเสื่อมทราม สุดเขตคามล้วนแหล่งร้อนแรงราญ นาครคอยเข่นฆ่านาครนั่น ภาพภพสั่นคลอนทั่วพื้นเดือดพล่าน ขจายจรความเจ็บแทบแหลกลาญ เขตสถานอาจฟื้นสุขนั้นสะดวกใด เห็นธรรม์มีแต่เอื้อโอบชูชื่น ทุกวันคืนอยู่อย่างยั้งยืนไสว เด่นดำรูโดยกอปรธรรมนำใน กมลไซร้จักรั้งแต่ริ้วรอยสราญ โลกเราแสนเร่าร้อน หนักหนา ยิ่งพิศสรรพสิ่งสา- หัสถ้วน หลากหลามอยู่ทุกครา มีแต่ความเสื่อม ทรามสุดเขตคามล้วน แหล่งร้อนแรงรุม นาครคอยเข่นฆ่า นาคร นั่นภาพภพสั่นคลอน ทั่วพื้น เดือดพล่านขจายจร ความเจ็บแทบแหลก ลาญเขตสถานอาจฟื้น สุขนั้นสะดวกใด เห็นธรรมมีแต่เอื้อ โอบชู ชื่นทุกวันคืนอยู่ อย่างยั้ง ยืนไสวเด่นดำรู โดยกอปรธรรมนำ ในกมลไซร้จักรั้ง แต่ริ้วรอยสราญ
4 มีนาคม 2550 11:47 น. - comment id 665594
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน กลบท โคลงกลอน กลอนโคลง ของ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ นั้น ผมทดลองเล่นดูน่ะครับ กว่าจะทำได้ หืดขึ้นคอเลยครับ แก้ไขข้อผิดพลาดไม่รู้กี่ครั้ง เรื่องยากแสนยากก็คือการหาสัมผัสสระมาลงในตำแหน่งที่สามารถทำให้อ่านได้ทั้งสองแบบ ผมต้องนั่งจัดทีละคำ ทีละคำ เขียนเสร็จมึนไปเลยครับ แล้วก็คิดว่า หากไม่จำเป็นจริงๆ จะมิบังอาจเล่นกับของสูงแบบนี้หรอกครับผม
4 มีนาคม 2550 12:56 น. - comment id 665599
นับถือๆครับ
4 มีนาคม 2550 14:21 น. - comment id 665631
พี่ชูครับ ผมมีข้อสงสัย อยากถามหน่อย 1.กวีซีไรท์ มันเป็นอาเซียนไม่ใช่เหรอครับ แต่ทำไม ผมเห็นมีแต่คนไทยได้รางวัลซีไรท์ตั้งแต่ปีแรกถึงปัจจุบัน 2.พี่คิดเห็นยังไงกับ "แม่น้ำรำลึก" กวีซีไรท์ปี 2547 ที่แหวกแนวฉันทลักษณ์ 3.พี่พอจะรู้ความหมายของ "แก้มเวลา" รึยังครับ 4. พี่ทำไมแต่งกลอนเก่งจัง
4 มีนาคม 2550 18:22 น. - comment id 665674
สวัสดีครับ พี่ตราชู โลกเย้ามายาหลอก หลอนจิต โลกเหี้ยมอำมหิต ห้าวหาน โลกเพลี่ยงพล้ำจริต ริษยา โลกทุกข์ยากทนทาน ทามทาบเที่ยงธรรม
5 มีนาคม 2550 11:48 น. - comment id 665887
สวัสดีครับทุกๆท่าน ขออนุญาตตอบคำถามน้องเอก เท่าที่พอจะทราบนะครับ ต่อไปนี้ คือข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B9%8C นะครับ รางวัลซีไรต์ (S.E.A. Write ย่อมาจาก South East Asian Writers Awards) มีชื่อเต็มว่า รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน เป็นรางวัลวรรณกรรมที่มอบให้แก่นักเขียน 10 ประเทศอาเซียน ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และ เวียดนาม สรุปอีกครั้งรางวัลซีไรต์นั้น คือรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน เพราะฉะนั้น ในแต่ละปี คณะกรรมการก็จะตัดสินให้นักเขียน, กวี ในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งหมด ได้รับรางวัลกันทุกประเทศแหละครับ แต่... เหตุใดจึงมีหนังสือซีไรต์ของไทยวางขายเกลื่อนกล่นกว่าวรรณกรรมของประเทศเพื่อนบ้าน ข้อนี้พี่ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันครับ จะเป็นไปได้ไหม ว่าทางผู้ดำเนินการจัดตั้งรางวัลดังกล่าวไม่ค่อยได้ส่งเสริมการแปลวรรณกรรมซีไรต์ของเพื่อนบ้านร่วมอาเซียนของเราออกมาให้แต่ละประเทศเรียนรู้ซึ่งกันและกัน? (นี่คือความเห็นส่วนตัวนะครับ) ทีนี้ ที่ถามมาเรื่อง แม่น้ำรำลึก ของ ท่านเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ นั้น มองได้หลายมุม แล้วแต่ใครจะคิด นานาจิตตังนะครับ สำหรับพี่ มองว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ อันที่จริง ท่านผู้แต่งท่านก็ไม่แหวกแนวฉันทลักษณ์หรอก เพียงแต่สิ่งที่เราเห็น คือลีลาเฉพาะของท่านซึ่งอาจต่างจากลีลาที่เราคุ้นชิน ก็อย่างที่ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ท่านเคยกล่าวไว้ไง ฉันท คือ ความพอใจ ลักษณ์ คือ รูปแบบ ฉันทลักษณ์ จึงเท่ากับ รูปแบบอันน่าพึงพอใจ ใครจะพอใจรูปแบบอย่างไร ก็มีสิทธิ์ใช้รูปแบบที่ท่านพึงจิตได้มิใช่หรือ พูดกันถึงเนื้อความ พี่ว่าเล่มนี้ลึกซึ้งนะ กวีท่านนำสิ่งใกล้ๆตัวมาสื่อในรูปสัญลักษณ์ ของง่ายๆ รอบๆตัวซึ่งเรามองว่าเป็นของสามัญ ท่านก็หยิบมาเป็นอุปกรณ์ในการเขียนได้แล้ว นี่แหละคือกวี ผู้มองโลกหลายชั้น สำหรับ แก้มเวลา ของ ท่านเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พี่ยังขบไม่แตกเลยครับ (บอกกันตรงๆนะเนี่ย)
6 มีนาคม 2550 10:24 น. - comment id 666193
ขอบคุณที่ช่วยให้ความรู้ผมเพิ่มมาอีกระดับหนึ่งครับ และก็ขออนุญาติทำให้พี่ชูหืดขึ้นคอ เป็นการตอบแทนนะ อิอิ "ดาวประจำเมือง" (กำสรวลโกสินทร์ โดย คมทวน คันธนู) ดาวประจำเมือง 20 เบื้อง ณ บูรพาก็พายุพัด แหละเมฆทะมึคนทยอยอุบัติ วิบัติคลุม ห้วงมหาสมุทรคระครั่นละลุม ระลอกกระฉอกกระฉานผชุม สนั่นชล ฟ้าวะแวบปละแปลบประเปรี้ยงทุรน ทุรายทุลักทุเลและฝน พะฟาดฟอง ฝูงอสรพิษก็พลันผยอง เผยอขวะไขว่คะคึ่กคะนอง ขนัดคลาน น้ำทะเลทะลักทะลวงละลาน พิภพพิโยคสะเทิ้นสะท้าน สะทกครวญ ดวงตะวันสิอันตรธานบ่หวน ละสัตตะรัศมีกระสวน กษัยแสง สรรพสัตว์ชรัดวิบากแชรง ชรแร่งชรเรือดก็เลือดแสยง สยองหัว อกสะทึกสะทึกสะเทือนระรัว เพราะเงาอุบาทว์สะลึมสลัว สลอนงำ ใครอะไรไฉนน่ะอมพะนำ มลักมลอบละเลิงกะส่ำ อสูรทราม ใครอะไรไฉนตะกรุมตะกราม อดีตอะดัก ณ มาตุคาม ขยอกกลืน 11 เวลาละลายลบ และสยบ ณ จุดยืน วันคืนสลายคืน ระยะท้องถนนถึง ปรากฏการณ์ก่อน ผละอ่อนระโหยอึง อลพ่ายและขาดผึ้ง พยุห์พายุพาพา ลาแห่งมนุษย์โหม รณโรม ณ พารา ครอบในกิเลสหนา มณฑลทุเรศทูน คนคดสบถขาน ปริมาณสิมากมูน แฝงเล่หกำลูน ชิวหาตวัดหา สังคมนิยมขุน ผลบุญประเคนบา สังคมนิยมคา รวะคนธบังคน เสียงเย้ยและหยามหยัน ลุกระชั้นกระชิดฉล กรรโชกกระชากชน ชรล่วงทลานยลาญ เงาซ้อนตระหง่านซ้ำ บถธรรมชาติธาร บดมืดเสมือนมาร บทง้างทะงันเงา เบื้องบูรพ์ก็บอดใบ้ ทุสมัยก็มัวเมา จึงเอื้อตะกายเอา ปฏิกูลผนิดกาย ใครนั่นไฉนนั่น หฤหรรษ์กระหายหายน์ ยึกหลักฉลักลาย ฉลุด้วยฉนวนใด ใครคดอนาคต ทุรยศสลัดใย ใครครอบ ณ คราบไคล หฤโหดสล้างหัว 8 ลมแปรแลปรวน ฟ้าป่วนฝนปั่น สังคมสำคัญ โหงเต้นเห็นตัว ลายล่อนหลอนหลอก ย้อนยอกหยันยั่ว อ้างงานอ้างงัว แต่งำตางู ที่มือถือมีด คอยกรีดขึ้นกรุย คนล้มเข้าลุย ฆ่าเหมือนฆ่าหมู คำพูดขุดพ่น ท่วมท้นแถกถู จับพลัดจับผลู ได้ดิบได้ดี ยุคบาปหยาบบ่ม สังคมโสโครก ใครลวงครองโลก บัดซบบัดสี คนซื่อคือศพ ท่าวทบทันที อันปริ่มอิ่มปรี- ดาบรรดาบัล- ลังก์นั่งหลังนาบ กรรหนาบกันหนัก จิตแปล้จมปลัก เมือกแห่งโมหันธ์ คนโฉดโคตรฉล กำนลกำนัล ปลาข้าวปรี่ขัน ทุกขั้นทุกคน ดาวเลื่อนเดือนลับ แดดอับดินอ้าว ทุกห้องทั้งหาว หมางหมองมัวมน เงาซ้ำง้ำเศียร ย่างเบียนอยู่บน คำรามคำรณ โครมโครมครืนครืน เสียงทุกข์ซุกถอย ล่องลอยลับหลง จำนนจำนง ห่อนขัดห่อนขืน ฝ่าเท้าเฝ้าทบ ทั่วภพทั้งผืน หลับตาแลตื่น ถูกกดถูกกิน ดาวใดได้ดับ อากัปอาการ สิ้นทั้งสายธาร สืบทอดสานถิ่น รังสี่หรี่แสง ดาลแดงด่าวดิ้น อย่าหวังยังวิญ- -ญาณอยู่ยืนยง เครือกล้วยคร่ากล้วย มอดม้วยหมกไหม้ ขุนไผ่ฆ่าไผ่ ปลิดปล้องปลดปลง ความขลาดความเขลา ล้างเผ่าล้างพงษ์ ล้าถอย-เลยธง ผลาญคนผลาญคุณ วันนั้นวันโน้น แสงโชนส่องฉาย เมื่อเห็นมาหาย ลรรไมลรรมุน วันนั้นวันไหน ปิ้มใจเป็นจุณ หวนเหหันหุน มืดทิศมิดทาง จงดูจากดาว- หนึ่งพราวนวลพริ้ม เปี่ยมโชติปัจฉิม แรงฉานรางชาง ฉีกเมฆเฉกม่าน ล้ำผ่านหลุมพราง เย็นซ้ำย่ำสาง คงใจโคจร 14 นั่นใคร อะไรอุระผวา มหึมามลายมรณ์ นั่นใครไฉนนะอุปกรณ์ ก็พิการพิกลกล ใครนั่นมหันตภยครอบ เพราะระบอบระบัดบน ใครนั่นมิหันพหุพหล เพราะระบบระบิลเบน นั่นแท้ธุลีทุรทลิท- ทกอิดระอาเอน นั้นแท้ไผทระกะระเนน ระดะหากระยาหาร แท้นั่นน่ะดารกประดับ วะวะวับทิวาวาร แท้นั่นน่ะดวงระดะพิดาน- วิหะมั่นประจำเมือง เนื่องนับฉนำชนมรัศ- มิจรัสจรูญเรือง เนื่องนับฉะนั้นชนก็เนือง คณนาคุณานันต์ นับเนื่องธพันธนถนัด ชะเนาะอัศจรรย์อัน นับเนื่องฉะนี้ธนะก็พัน พิศวาสพิลาสเวียง คนทุกข์เพราะทวยพณฯประทุก อภิสุขกระเส่าเสียง คนทุกข์เพราะทุก ฯพณฯเผดียง อภิสิทธิ์เกษมทรงวง ทุกคนผิว์บังคมขนอบ คณะปอบขนบปวง ทุกคนก็บังคล ณ พะวง ผลแห่งมนุษย์หาย โพ้นดาวสกาวศุกรโรจ- นโชติชวาลฉาย โพ้นเหล่าทลิททะลุผกาย พละแห่งมนุษย์เห็น เรา-ใครไฉนล่ะจะละหลบ รึสยบระย่อเย็น ขับพายุภารกิจเป็น ปณิธานประกาศธง
6 มีนาคม 2550 11:09 น. - comment id 666232
อลังการอีกแล้วน้องเอก เอาน่ะ ตลอดชีวิตของพี่ คงมีสักวันที่พี่หาหนังสือเล่มนี้พบ "กำสรวลโกสินทร์" ของ "ท่านคมทวน คันธนู" ทำบุญคราวใด พี่อธิษฐานขอปัญญาทุกคราแหละ ถ้าบุญวาสนาพี่มี พี่ได้ครอบครองหนังสือเล่มนี้เมื่อไหร่ จะอ่านเช้าอ่านเย็นเทียว คอยดู