วงศ์พระร่วงมหาราชามหาสดุดี

นันทวงษ์วรยศ

ชุมกรกระพุมกมลน้อม                          ดนุพร้อมพจีขาน
   เทิดวงศ์พระร่วงจิรติกาล                             กรณีย์ธ ปางบรรพ์
         ศรีอินทราปติปฐม                                 พระบรม (มะ) ราชันย์
   เทิดวงศ์พระร่วงขจรขัณฑ์                           ศุภรัฐวโรดม
          แดนทองสุโขทยประสริฐ                       ฐิติเลิศวราคม
    พ่อขุน ธ แผ่ กรุณสม                                  สิริพูนอดุลศรี
          ครองไทยประชาดุจบิดร                       ทะนุบุตรธิดาดี
     นำไทยสถาพรทวี                                      สุขดังอรุณฉาย
          ลายสือสลักศิละประวัติ                          อภิสัจจะพรรณราย
     บ่งภูมิปัญญะคติหมาย                                อดิเรกอเนกคุณ
          รุ่งเรืองพระศาสนะผดุง                         จิตะมุ่ง ณ แรงบุญ
     นำพุทธศาสนิกหนุน                                  สติเมืองประเทืองมาน
           ข้าวบิณฑ์สถาปตยะเยี่ยม                     อรเอี่ยมวโรราฬ
     บัวบุญ ณ ดวงหทยะกราน                          กลหัตถ์กระพุมบู
           ชาทิพย์สุโขทยะพิทักษ์                         อภิรักษ์ไผทชู
     เชิดชาติตระการสกลรู้                               พลโลกก็รับรอง
           ไพร่ฟ้าก็ภูมิมนสะเปรม                       ปิติเต็มฤทัยพอง
     นบบาทถวายกิจะฉลอง                              มหราชสักการ
            ทูลเกล้า ถวายอมตยศ                        กิติเดชพระไพศาล
     โลกซ้องสุโขทยสถาน                                 ทิพเลิศนิรันดร์ เทอญ
   
 				
comments powered by Disqus
  • ลูกช้างมอชอ

    18 พฤษภาคม 2549 10:44 น. - comment id 577935

    41.gif41.gif41.gif
  • อัสสุ

    18 พฤษภาคม 2549 11:00 น. - comment id 577949

    เพราะดีครับ
    
    29.gif29.gif29.gif29.gif
  • นันทวงษ์วรยศ

    18 พฤษภาคม 2549 15:47 น. - comment id 578062

    บนแผ่นดินผืนน้ำนามว่าไทย
    นามสุโขทัยคงรู้ล้ำคุณค่า
    เป็นมหานครเก่าแก่แต่เดิมมา
    แหล่งที่มาต้นตระกูลเราคนไทย
        องค์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เจ้า
    พ่ออยู่หัวชาวเราอันยิ่งใหญ่
    กอบกู้เอกราชจากขอมไทยคืนไท
    พระบารมียิ่งใหญ่หาใครเทียม
        เริ่มสืบวงศ์พระร่วงอันเรืองยศ
    นามรามคำแหงปรากฏศึกถอยหนี
    ข้าศึกคร้าวหัวหดงดต่อตี
    ด้วยพระปรีชาญาณกษัตริย์ไทย
        อาณาจักรยิ่งใหญ่แผ่ไพศาล 
    พ่อขุนรามพระปราบทุกแห่งหน
    ครองไทยดุจพ่อลูกถ้วนทั่วทุกคน
    ใครได้ยลได้เห็นก็ยินดี
       อิสรภาพทางปัญญาก็ปรากฏ
    มีการจดลายสือไทยใช้วันนี้
    1826 นั้นเลขดี
    ไทยได้มีอักษรสืบกันมา
       องค์พญาลิไทจอมราชย์เจ้า
    นำไทยเข้ายุครุ่งเรืองพระศาสนา
    พระภิกษุทรงศีลและปัญญา
    และต่อมามีพระพุทธชินราชประกาศไกล
        ครั้นสิ้นกรุงมิสิ้นซึ่งวงศ์ยศ
    นามพระร่วงปรากฏทุกแห่งหน
    อยุธยานามกระเดื่องเฟื่องทุกคน
    ปรากฏวงศ์สุโขทัยแต่เดิมมา
        พระมหาธรรมราชาจอมราชเจ้า
    ไทยยังเศร้าศึกพม่าพากันหนี
    แต่พระองค์ทรงมีเรื่องให้ยินดี
    ทั่งปฐพีได้ยลพระองค์ดำ 
         เป็นชายชาตินักรบกษัตริย์กล้า
    ได้ทรงท้าอุปราชาขุนมอญใหญ่
    กระทำยุทธหัตถีได้มีชัย
    ปลดแอกไทยจากพม่าน่ายินดี
         นามกระเดื่องวงศ์พระร่วงสืบเชื้อสาย
    เป็นชาติชายจอมกษัตริย์ทุกแห่งหน
    ทั่วปฐพีนี้จงได้ยินและได้ยล
    เราคือคนสืบเชื้อพ่อขุนราม
         ครั้นต่อมาวงศ์พระร่วงยังเรืองยศ
    ได้ปรากฏพระนารายณ์ทรงศักดิ์ศรี
    สืบวงศ์มาพระร่วงมาแต่นับร้อยปี
    ปวงประชายินดีมหาราชกษัตริย์ไทย
         ทุกถ้วนทั่วล้วนซ้องอยุธเยศ
    นคเรศเมืองฟ้ามีราศี
    พระนารายณ์ทรงเป็นนักกวี
    มิตรไมตรีตะวันตกคบกันมา
          อ้าเอกองค์พระเจ้าแม่วัดดุสิ
    ทรงชีวิตมารดาพระโกษา
    องค์พระโกษาปานล้ำปัญญา
    มีบุตราวงศ์พระร่วงนามขุนทอง
        ต่อมาเป็นพระยาวรวงศาธิราชเจ้า
    สืบเชื้อเผ่าราชวงศ์พระร่วงมิหลีกหนี
    ท่านพระยาวรวงศาธิราชจิตไมตรี
    ท่านบุญมีได้บุตรชายชื่อทองคำ
         สายโลหิตพระร่วงเจ้ายังคงอยู่
    ทุกคนรู้คงเห็นเป็นศักดิ์ศรี
    ท่านทองคำมีบุตรชือทองดี
    รู้จักดีในนาม ขามลือไกล
         ก็คือองค์พระปฐมบรมชนกนาถ
    ได้ประกาศประกาศิตอันยิ่งใหญ่
    มีบุตรชายโอรสอันเกรียงไกร
    นามว่านายทองด้วงทรงศักดา
         ต่อมาก็ประกาศปราบดาเจ้า
    ขึ้นผ่านเผ้าพิภพกรุงเทพนี้ 
    นามว่าพระพุทธยอดฟ้าครองธานี
    เป็นพระมหากษัตราบารมีจักรีวงศ์
         วงศ์พระร่วงสืบเชื้อมิสิ้นสุด
    ถึงผ่านยุคสงครามไม่คร้ามหนี
    สังเกตุดูไทยเรามีพระมหากษัตริย์ดี
    มหาราชส่วนใหญ่มีแต่ในวงศ์พระร่วง เอย
  • นันทวงษ์วรยศ

    18 พฤษภาคม 2549 15:50 น. - comment id 578064

    เผื่อใครอ่านกลอนข้างบนแล้วงง ครับ 
    สายสัมพันธ์สองราชวงศ์
    
    จากราชวงศ์พระร่วงสู่ราชวงศ์จักรี
    
     
    
            เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์   ผู้มีเชื้อสายราชวงศ์ชัยปราการตะวันออก  (ราชวงศ์เวียงชัยบุรี)  ทรงก่อตั้งราชอาณาจักรสุโขทัยขึ้นในปี  พ.ศ.  1781  แล้ว  พระองค์ก็ได้ทรงสถาปนาตั้งราชวงศ์พระร่วง  ขึ้นปกครองกรุงสุโขทัยพร้อมกันในครั้งนั้นด้วย  โดยราชวงศ์พระร่วงมีพระมหากษัตริย์ปกครองสยามประเทศสืบมา  5  พระองค์  และภายหลังที่ตกเป็นหัวเมืองประเทศราชของราชอาณาจักรอยุธยาแล้วราชวงศ์พระร่วงก็มีเจ้าผู้ครองนครอีก  3  พระองค์   ก่อนจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรอยุธยา
        ในรัชกาลสมเด็จพระอินทรราชาธิราช  แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ    ได้ตรัสขอพระราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่  4  เจ้าผู้ครองนครพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์พระร่วง  ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าสามพระยา  พระราชบุตร  ซึ่งในครั้งนั้นทรงครองอยู่เมืองชัยนาท
    
            ต่อมาเจ้าสามพระยา ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์  ทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่  2  แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ  และทรงมีพระราชโอรสอันเกิดจากพระราชธิดาพระองค์นั้น  ทรงพระนามว่า  พระราเมศวร  และในกาลต่อมาพระราชกุมารก็ได้ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากพระราชบิดา  ทรงพระนามว่า  สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  ซึ่งนับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของราชอาณาจักรอยุธยาที่มีเชื้อสายราชวงศ์พระร่วงและราชวงศ์สุพรรณภูมิ
    
            เมื่อกรุงศรีอยุทธยาเสียแก่พม่าในปี  พ.ศ.  2112  พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์พม่าได้ทรงราชาภิเษกให้ขุนพิเรนทรเทพ  ซึ่งทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์พระร่วง  ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า  สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช  ทำให้ราชวงศ์พระร่วงกลับเข้ามาปกครองสยามประเทศอีกครั้งในนามราชวงศ์สุโขทัย   ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารความว่า  \"...ฝ่ายพระบิดาเป็นเชื้อพระวงศ์สมเด็จพระร่วง  พระมารดาเป็นพระญาติสมเด็จพระไชยราชา...\"
    ราชวงศ์สุโขทัยสถิตสถาพรปกครองกรุงศรีอยุทธยาอยู่เพียง  61  ปี  มีพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น   7  พระองค์  ก็ถูกสมเด็จเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์  สมุหพระกลาโหม  ชิงราชสมบัติสมบัติ  แล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ปราสาททอง  ทรงพระนามว่า  สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง  โดยราชวงศ์ปราสาททองนี้แยกมาจากราชวงศ์พระร่วง  เนื่องจากสมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเป็นพระโอรสลับของสมเด็จพระเอกาทศรถ  แห่งราชวงศ์สุโขทัย  อันเกิดจากสาวชาวเกาะบางปะอิน
    
            นอกจากนี้ราชวงศ์ปราสาททองยังได้มีส่วนพัวพันกับราชวงศ์พระร่วงอีกประการหนึ่งคือ  หม่อมเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์พระร่วง  ซึ่งทรงสืบเชื้อสายมาจากพระยาพระราม  เมื่อครั้งแผ่นดินพระมหาธรรมราชา     (พระยาพระรามอันเป็นพระปฐมขัตติยราชวงศ์จักรี  เป็นพระญาติกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  แห่งราชวงศ์สุโขทัย  เนื่องจากได้แต่งงานกับพระธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ ) ได้เป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ซึ่งต่อมาในภายหลังทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกรมพระเทพามาตย์  เป็นที่รู้จักกันดีในพระนาม  \"เจ้าแม่วัดดุสิต\"  โดยเจ้าแม่วัดดุสิตนี้ได้ทรงเษกสมรสกับหม่อมเจ้าเจิดอุภัย  แห่งราชวงศ์พระร่วง  มีโอรสองค์โตคือ  หม่อมราชวงศ์ปาน  ต่อมาภายหลังได้รับราชการสนองพระเดชพระคุณจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี  (ปาน)  ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
    
            เจ้าพระยาโกษาธิบดี  (ปาน)  มีบุตรคนใหญ่ชื่อ ขุนทอง  ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือ  ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นที่  เจ้าพระยาวรวงศาธิราช  เสนาบดีกรมคลัง  
    
            เจ้าพระยาวรวงศาธิราช  (ขุนทอง)  มีบุตรคนใหญ่ชื่อ  ทองคำ  ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระได้เป็นพระยาราชนิกูล  ปลัดทูลฉลองในกรมมหาดไทย  และได้ย้ายบ้านเรือนมาอยู่ที่บ้านสะแกกรัง  เมืองอุทัยธานี  จนมีบุตรคนใหญ่ชื่อ  ทองดี  จึงได้ย้ายครอบครัวกลับมาอยู่ที่ป้อมเพชร  กรุงศรีอยุธยา  โดยนายทองดีนี้ภายหลังในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระได้เป็นที่  พระอักษรสุนทรศาสตร์  
    
            พระอักษรสุนทรศาสตร์  เป็นบิดาของนายท้องด้วง  ซึ่งต่อมาได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ปฐมกษัตริย์แห่งจักรีบรมราชวงศ์
    
            นายทองด้วง  ผู้นี้แต่เดิมในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงยกบัตรเมืองราชบุรี  เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่  4  (พระเจ้าตาก)  ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์  ณ  กรุงธนบุรีนั้น  ได้ทรงทราบดีว่าเจ้าพระยาจักรี  (ทองด้วง)  สืบเชื้อสายมาจากพระยาพระรามเจ้านายฝ่ายราชวงศ์พระร่วง  ดังนั้นเมื่อเจ้าพระยาจักรีรบชนะอะแซหวุ่นกี้  จึงได้รับพระราชทานบำเหน็จและพระกรุณาโปรดเกล้าฯเลื่อนขึ้นเป็น  \"สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก  พิลึกมหึมาทุกนคราระอาเดช  นเรศวรสุริยวงศ์  องค์อัครบาทมุลิกากร  บวรรัตนปรินายก  ณ  กรุงเทพมหานครบวรทวารวดี  กรุงศรีอยุธยา\"
        ในปลายสมัยกรุงธนบุรีนั้น  สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก  ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี  ทรงพระนามว่า  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  และจักรีบรมราชวงศ์นี้ก็ได้สืบสันตติวงศ์  ดำรงพระมหาเศวตรฉัตรเป็นสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าต่อเนื่องมาไม่ขาดสาย  จวบจนปัจจุบันนี้ก็เป็นรัชสมัยแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช  อันเป็นรัชกาลที่  9  แห่งพระราชวงศ์นี้    ประเทศสยามได้มีพระมหากษัตริย์  ราชวงศ์พระร่วง  สืบเนื่องต่อกันมาไม่ขาดสายนับตั้งแต่แรกสถาปนาพระราชอาณาจักรสยามในดินแดนสุวรรณภูมิ  เมื่อ  พ.ศ.  1781  และพระราชวงศ์นั้นยังดำรงสถิตสถาพรมาอยู่ทุกวันนี้ในพระปรมาภิไธยแห่งองค์พระมหากษัตริยาธิราช  ผู้เป็นเจ้าของนพปฎลมหาเศวตรฉัตรเช่นเดียวกัน
  • ไรไก่

    18 พฤษภาคม 2549 16:06 น. - comment id 578073

    41.gif41.gif41.gif
  • อัลมิตรา

    18 พฤษภาคม 2549 19:19 น. - comment id 578113

    41.gif1.gif
  • ทานทองคำ

    18 พฤษภาคม 2549 20:17 น. - comment id 578133

    นับถือครับนับถือขนาดผมคนซุโขทัยแท้ๆยังไม่รู้ละเอียดขนาดนี้เลย29.gif
  • หนุ่มสุโขทัย

    19 พฤษภาคม 2549 19:08 น. - comment id 578354

    ทวนอีกรอบ
    
    ความเป็นมาของราชวงศ์กษัตริย์นี้ เริ่มจากอาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลงทางตอนเหนือนั้น พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาขึ้นใน พ.ศ. ๑๙๘๓ นั้น ต่อมาได้มีการขยายอาณาจักรขึ้นทางตอนเหนือ จนเป็นเหตุมีการเจรจาเป็นไมตรีต่อกัน ดังนั้นบุคคลในราชวงศ์พระร่วงจึงเข้ามารับราชการอยู่ในสำนักกรุงศรีอยุธยาด้วย 
     
    ดังนั้นบุคคลในสกุลวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์พระร่วงหรือราชวงศ์สุโขทัย และเข้ามามีอำนาจในกรุงศรีอยุธยานั้น จึงเป็นดังนี้ 
     
    สมเด็จพระไชยราชาธิราช หรือพระชัยราชา ผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เชียงรายนั้น ทรงสืบเชื้อสายมาจากพระโอรสของพระเจ้าอู่ทอง (พระเจ้าอู่ทองนั้นนับว่าเป็นพระโอรสพระเจ้าชัยศิริเชียงแสน) ที่เกิดก่อนครองราชเป็นกษัตริย์ ต่อมาเมื่อได้หัวเมืองทางเหนือจึงให้ขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก และแต่งงานกับสตรีผู้เป็นเชื้อสายราชวงศ์กษัตริย์ทางเหนือ (คือสุโขทัย) ภายหลังได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา 
     
    พระเฑียรราชา พระอนุชาต่างพระมารดา ซึ่งมีเชื้อราชวงศ์กษัตริย์ทางเหนือเช่นกันก็เข้ามารับราชการอยู่ด้วย จนเกิดกรณีท้าวศรีสุดาจันทร์และขุนวรศาธิราช ต่อมาได้รับเชิญให้ขึ้นครองเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าพระสุริโยทัยนั้นเป็นบุคคลที่มีเชื้อสายกษัตริย์ทางเหนือเช่นกัน 
     
    ขุนพิเรนเทพ มีเชื้อสายสืบมาจากราชวงศ์สุโขทัย มีพระมารดาเป็นพระญาติกับพระสุริโยทัย จึงทำให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ทรงสถาปนาให้ขุนพิเรนทรเทพผู้กอบกู้ราชบัลลังก์ ซึ่งบุคคลที่เป็นเชื้อสายราชวงศ์พระร่วงหรือราชวงศ์สุโขทัย (จากพระมหาธรรมราชาลิไทย) ขึ้นเป็นพระมหาธรรมราชา ตำแหน่งอุปราชครองเมืองพิษณุโลกและหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งเจ็ด ในครั้งนั้นพระมหาธรรมราชายังได้รับพระราชทานพระสวัสดิราชผู้เป็นพระธิดาของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์กับพระนางสุริโยทัยเป็นพระมเหสี ทรงพระนามว่าพระวิสุทธิ์กษัตริย์ทำให้พระมหาธรรมราชาเชื้อสายราชวงศ์สุโขทัยมีฐานะเป็นราชบุตรเขยซึ่งต่อมาได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าบุเรงนองเป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามว่าสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช ดังนั้นตลอดรัชกาลของพระองค์นั้นทรงให้พระราชโอรสทั้งสิองทำการกอบกู้อิสรภาพของแผ่นดิน จนสามารถชนะสงครามยุทธหัตถี ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นเอกราชโดยสมบูรณ์ 
     
    พระองค์ทรงมีพระราชธิดาและพระโอรส ๓ พระองค์ คือพระสุพรรณกัลยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ สมเด็จพระเอกาทศ 
     
    เมื่อ พ.ศ. ๒๑๒๖ พระยาเกียน (บางแห่งเขียนพระยาเกียรติ์) พระยาราม (บางแห่งเขียนพระยาพระราม) ขุนนางเชื้อสายมอญได้อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพเป็นไท ซึ่งมีปรากฏในพงศาวดารว่า 
     
    ข้าพเจ้าจะนำพระองค์กับพระยาเกียน พระยาราม และญาติโยมทั้วปวงลงไปอยู่ ณ กรุงพระมหานครศรีอยุธยา จะได้ปฏิบัติภาระสนองคุณพระองค์ปลูกเลี้ยง พระยาเกียน พระยาราม ก็พร้อมโดยพระราชบริพาร 
     
    เมื่อสมเด็จพระเนรศวรมหาราชนำบุคคลดังกล่าวอพยพครอบครัวถึงกรุงศรีอยุธยา ได้ให้พระมหาเถรคันฉ่องจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุ พระยาเกียน พระยาราม อยู่ที่ตำบลบ้านขมิ้น วัดขุนแสน ส่วนญาติพี่น้องนั้นอยู่ที่ตำบลบ้านหลังวัดนก 
     
    ต่อมา พระยาราม เชื้อสายขุนนางมอญผู้นี้มีลูกหลานสืบตระกูลอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด นอกจากเล่ากันว่าพระราชธิดาในสมเด็จพระเอกาทศได้แต่งงานกับบุคคลที่สืบเชื้อสายจากขุนนางมอญ ส่วนจะเป็นตัวพระยารามเองหรือลูกหลานในชั้นหลัง คือ เจ้าแม่วัดดุสิต 
     
    อีกความว่าสมเด็จพระเอกาทศ พระอนุชาธิราชนั้นทรงมีพระชายาเป็นสาวมอญ เป็นบุคคลในเชื้อสาย (บางแห่งว่าเป็นบุตรี) ของพระยาพระราม หรือพระยาราม (บางแห่งเรียกพระยารามราช) ขุนนางมอญที่พาครอบครัวและกลุ่มชาวมอญมาสวามิภักดิ์พึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พร้อมกับพระยาเกียน (บางแห่งเขียนพระยาเกียรติ์) ผู้เป็นพระชายาผู้นั้นมีพระราชธิดาชื่อบัว (บางแห่งเรียกหม่อมเจ้าหญิงบัว) 
     
    ความที่เล่าต่างกันจึงมีทั้งสมเด็จพระเอกาทศทรงมีพระชายาเป็นพระธิดาของพระยามอญคือพระยาราม และมีธิดาด้วยกันชื่อบัว และอีกความพระราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศแต่งงานกับผู้ชายเชื้อสายพระยามอญ (สายพระยาราม) แล้วมีพระราชธิดาด้วยกันชื่อ บัว 
     
    พระธิดาที่ชื่อบัวนี้ ต่อมาได้รับแต่งตั้งเป็นท้าวสมศักดิ์วงศามหาธาตี นั่นเอง ชื่อนี้อาจแต่งเติมกันในชั้นหลังให้สมฐานะ แต่มีบทบาทสำคัญมากในสมัยพระนารายณ์มหาราช มีฐานะเป็นพระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จึงถือเป็นบุคคลสำคัญที่ใกล้ชิดในราชสำนัก นั่นคือทำให้บุตรชายทั้งสองของนางร่วมดื่มน้ำนมจากเต้าเดียวกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชด้วย ภายหลังในบั้นปลายชีวิตท้าวสมศักดิ์วงศามหาธาตี (บัว) ผู้นี้ได้ออกบวชอยู่ที่วัดดุสิต จึงได้รับสมัญญานามว่า เจ้าแม่วัดดุสิต เป็นที่เคารพสักการะของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสนิทกับเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) และเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) บุตรชายของนางที่ได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาลแห่งกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา 
     
    ท้าวสมศักดิ์วงศามหาธาตี (บัว) ผู้นี้ได้แต่งงานกับหม่อมเจ้าเจิดอำไพ (บางแห่งว่าเจิดอภัย) เป็นบุคคลที่สืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มีบุตรชายหญิงด้วยกัน ๓ คน คือบุตรชายคนโตชื่อ เหล็ก ได้รับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีความชอบเป็นแม่ทัพในตำแหน่งเจ้าพระยาโกษาธิบดี หรือที่รู้จักกันในนาม โกษาเหล็ก ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการรบ ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๖ คนต่อมาเป็นหญิงชื่อแช่ม (บางแห่งว่าชื่อแจ่ม) ต่อมาได้เป็นท้าวศรีสุดารักษ์ พระมเหสีของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และบุตรชายคนเล็กชื่อ ปาน ได้เข้ารับราชการในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีความชอบเป็น เจ้าพระยาโกษาธิบดี แทนพี่ชาย เดิมนั้นเป็นออกพระวิสูตรสุนทรราชทูตแห่งราชสำนักสยาม นำคณะทูตแห่งราชสำนักสยาม นำคณะทูตเดินทางไปเจริญพระราชไมตรี ณ ราชสำนักของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๑๙๐ สร้างชื่อเสียงให้ชาวฝรั่งเศสประจักษ์ในความสามารถที่รู้จักกันดีในนาม โกษาปาน ราชทูตแทนพระองค์ 
     
    บุคคลในตระกูลนี้นับเป็นที่สนิทสนมกับราชสำนักของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากพงศาวดารครั้งเมื่อเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๖ ว่า 
     
    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิอาจกลั้นน้ำพระเนตรไว้ได้ ทรงพระอาลัยในเจ้าพระยาโกษาเป็นอันมาก ด้วยเจ้าพระยาโกษาขุนเหล็กคนนี้เป็นลูกพระนม และได้รับพระราชทานนมร่วมเสวยมาแต่ทรงพระเยาว์นั้น 
     
    ครั้งนั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงโปรดแต่งตั้งให้นายปานเป็น พระเจ้าโกษาธิบดี และพระองค์ทรงมีพระกรุณาธิคุณดังพระราชดำรัสว่า 
     
    ขุนเหล็กพี่ท่านซึ่งถึงแก่มรณภาพนั้น ชำนิชำนาญในการเป็นแม่ทัพ และบัดนี้เราจะให้ท่านเป็นที่เจ้าพระยาโกษาธิบดี และจะให้เป็นแม่ทัพแทนพี่ชายไปตีเมืองเชียงใหม่ ยังจะได้หรือมิได้ 
     
    ด้วยเหตุนี้เมื่อพระเพทราชาจางวางกรมช้างชาวบ้านพลูหลวงและขุนหลวงสรศักดิ์ (เดื่อ) คิดการใหญ่เอาราชบัลลังก์ และได้สถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงขึ้น หลังจากที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๑ แล้วนั้น พระเพทราชาจึงได้ปลดเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เสนาบดีคลัง ออกจากตำแหน่งเนื่องจากเป็นผู้ไม่เห็นชอบในการที่พระเพทราชาสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์และทำการสถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงขึ้น ประการสำคัญที่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งก็คือการที่พระเพทราชาได้แต่ตั้งพระบรมภคินีและพระราชธิดาของพระนารายณ์มหาราชเป็นพระมเหสีของพระเพทราชา ในคราเดียวกัน 
     
    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๒๓๒ เจ้าโกษาธิบดี (ปาน) ได้ถูกกล่าวหาว่าขาดความจงรักภักดีที่รู้เบาะแสว่า เจ้าฟ้าอภัยทศ จะทำการกบฏแล้วปิดความ จึงถูกนำตัวมาลงทัณฑ์ โบยหลังด้วยหวาย ๑ ยก (๔๐ ที) แม้แต่หมอจีนที่ทำการรักษาเจ้าพระยาโกษาธิบดีก็ยังถูกลงอาญาอย่างหนัก อันเป็นสาเหตุให้เจ้าพระยาโกษาธิบดีได้ตรอมใจในเวลาต่อมา จนถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. ๒๒๔๒ มีหลักฐานบางแห่งว่า พระเพทราชาได้วางยาพิษเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และทำการริบราชบาตร จึงทำให้ลูกหลานในตระกูลนี้ถูกจับขังในเหตุนี้ด้วย เรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะบรรดาลูกหลานของเจ้าพระยาโกษาธิบดีนั้นน่าจะหาโอกาสหลบลี้หนีราชภัยไปอาศัยที่อื่น (พบพระพุทธรูปตรีกายศิลปลพบุรีในหีบเหล็กที่กลางบ้านสะแกกรัง และบ้านสะแกกรังเป็นถิ่นกำเหนิดของสมเด็จพระปฐมบรมชนกแห่งราชการที่ ๑ ในเวลาต่อมา) หรือไม่ก็ถูกริดรอนอำนาจถูกเนรเทศให้ไปรับใช้อยู่ที่หัวเมืองให้ไกลจากเมืองหลวง โดยน่าจะมีการร้องขอละเว้นจากพระบรมภคินีและพระราชธิดาผู้ที่พระเพทราชาอาจจะยังเกรงใจอยู่ในฐานะเชื้อพระวงศ์ของกษัตริย์องค์เดิมไว้ 
     
    สำหรับเชื้อสายสกุลวงศ์ของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) จึงมีบุคคลที่น่าสนใจในสกุลคือ ๑.เจ้าแม่วัดดุสิต พระนามเดิมว่าหม่อมเจ้าบัว (บางแห่งว่าชื่อหม่อมเจ้าอำไพ) เป็นพระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. ๒๑๗๕ นัยว่าน่าจะเป็นพระธิดาของสมเด็จพระเอกาทศ และได้แต่งงานกับหม่อมเจ้าชายดำ (บางแห่งว่าหม่อมเจ้าเจิดอภัย หรือหม่อมเจ้าอภัย) ปรากฏว่ามีบุตร ๓ คน คือ 
     
    เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เกิด พ.ศ. ๒๑๗๕ มีภรรยาชื่อนิ่มซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงของ เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าฟ้าหญิงศรีสุพรรณ ไม่ปรากฏหลักฐานชื่อบุตร ได้รับราชการเป็นแม่ทัพในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๒๒๖ (บางแห่งว่า พ.ศ. ๒๒๐๔) 
     
    ท้าวศรีสุดารักษ์ (แช่ม) ได้รับสถาปนาเป็นพระสนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช 
     
    เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๙ เดิมรับราชการเป็นราชทูตในตำแหน่งพระวิสูตรสุนทร สมัยพระนารายณ์มหาราชได้รับแต่ตั้งให้เดินทางไปเจริญพระราชไมตรี ณ ราชสำนักของพระเจ้าหลุยที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๑๙๐ ครั้นเมื่อเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) พี่ชายถึงแก่อสัญกรรมก็ได้ความชอบใหเป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดีแม่ทัพแทน และถึงแก่อสัญกรรมเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๒๓๑ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) นั้นมีบุตร ๔ คนคือบุตรีคนโตไม่ปรากฏนาม บุตรชายคนที่สองชื่อขุนทอง ได้รับราชการเป็นพระยาอัษฎาเรืองเดช ต่อมาได้เป็นพระยาวรวงศาธิราช เสนาบดีกรมคลังในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือ บุตรชายคนที่สามไม่ปรากฏนาม และบุตรชายคนที่สี่ไม่ปรากฏนาม 
     
    ต่อมาในแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าเสือ บุคคลผู้เป็นทายาทในตระกูลดังกล่าวก็กลับมารับราชการในตำแหน่งสูงขึ้นอีก หากไม่เช่นนั้นแล้วลูกหลานของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ก็คงไม่ฟื้นและกลับมามีอำนาจในสมัยหลังได้ 
     
    การที่สมเด็จพระเพทราชาแต่ตั้งพระอัครมเหสีเดิม (กัน) ขึ้นเป็นพระมเหสีกลาง แต่งตั้งพระราชกัลยาณี (เจ้าฟ้าหญิงศรีสุวรรณ) พระบรมภคินีของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นกรมหลวงโยธาทิพ เป็นอัครมเหสีฝ่ายขวา และแต่งตั้งเจ้าฟ้าหญิงกรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาของพระนารายณ์มหาราชเป็นอัครมเหสีฝ่ายซ้ายนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พระยาโกษาธิบดี (ปาน) ไม่มีความจงรักภัคดีที่พระเพทราชาบังอาจกระทำในเรื่องที่ไม่ควรดังกล่าวพระอัครมเหสีเดิม (กัน) นั้นเล่าก็เป็นพระมารดาเลี้ยงของขุนหลวงสุรศักดิ์ (เดื่อ) ด้วย มีความปรากฏในพงศาวดาร ดังนี้ 
     
    ในขณะนั้นสมเด็จพระอัครมเหสีเดิม แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกษซึ่งเป็นพระมารดาเลี้ยงของสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้อภิบาลบำรุงรักษาพระองค์แต่ยังทรงพระเยาว์นั้น ครั้นเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จสวรรคตแล้วจึงทูลสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดดุสิต และที่พระตำหนักวัดดุสิตนี้เป็นที่พระตำหนักมาก่อนครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า และเป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก เจ้าพระยาโกษาปาน ซึ่งได้ขึ้นไปช่วยกราบทูลขอพระราชทานโทษสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินขณะเป็นหลวงสรศักดิ์และชกเอาปากเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ครั้งนั้น และเจ้าแม่ผู้เฒ่านั้นก็ได้ตั้งพระตำหนักอยู่ในที่นี่ ครั้นแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้และสมเด็จพระราชมารดาเลี้ยงก็เสด็จตั้งพระตำหนักอยู่ในที่นั้นสืบต่อมาแล้วทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็นกรมพระเทพามาตย์ ส่วยสมเด็จพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าในพระบรมโกษ ซึ่งทรงพระนามว่ากรมหลวงโยธาทิพและกรมหลวงโยธาเทพนั้น ก็ทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินแล้วเอาพระราชบุตรซึ่งทรงพระนามว่าตรัสน้อยนั้นออกไปตั้งพระตำหนักอยู่ในที่ใกล้พระอารามวัดพุทธไธสวรรค์ 
     
    สมเด็จพระอัครมเหสีเดิมขิงสมเด็จพระเพทราชานี้ นามเดิมชื่อกัน เป็นพระราชมารดาเลี้ยงของขุนหลวงสรศักดิ์ (เดื่อ) เนื่องจากนางกุสาวดี (กุลธิดา) พระราชมารดาเดิมเป็นพระราชธิดาของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ที่ถูกสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานให้สมเด็จพระเพทราชานำไปเลี้ยงดูในขณะที่มีพระครรภ์แล้ว ครั้นเมื่อประสูติขุนหลวงสรศักดิ์ (เดื่อ) ที่ตำบลโพธิ์ประทับช้าง แขวงเมืองพิจิตรแล้วก็คงมิได้กลับมาด้วย สมเด็จพระอัครมเหสีเดิม (กัน) จึงรับภาระเลี้ยงดูอย่างบุตรบุญธรรม ครั้นเมื่อสมเด็จพระเพทราชาเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๒๔๐ นั้น สมเด็จพระอัครมเหสีเดิมจึงได้ขอลาออกมาตั้งพระตำหนักอยู่ใกล้วัดดุสิต พระตำหนักในพระอารามวัดดุสิตแห่งนี้เดิมเป็นของเจ้าแม่ผู้เฒ่า ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า เจ้าแม่วัดดุสิต ผู้เป็นพระนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเป็นพระมารดาของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งครั้งหนึ่งขุนหลวงสรศักดิ์ (เดื่อ) ได้เคยไปขอร้องให้เจ้าแม่ผู้เฒ่าขึ้นไปกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ณ พระราชวังที่เมืองลพบุรี คราวมีเรื่องกับสมเด็จเจ้าพระยาวิไชย์เยนทร์ มีความในพงศาวดารว่า 
     
    ฝ่ายหลวงสรศักดิ์ก็ไปเฝ้าเจ้าแม่วัดดุสิต ซึ่งเป็นมารดาเจ้าพระยาโกษาเหล็ก โกษาปาน และเป็นพระนมผู้ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น และถวายบังคมแล้ว ก็กราบทูลแถลงการณ์อันพระเจ้าวิไชยเยนทร์ กระทำการร้อนในพระพุทธศาสนาเหมือนดังนั้นและได้กราบทูลพระกรุณาแล้วก็มิได้เอาโทษ ข้าพระพุทธเจ้ามีความโทมนัสถึงพระพุทธศาสนา อันพระเจ้าพิไชยเยนทร์จะทำให้พระพุทธศาสนาให้พินาศเสื่อมสูญ ดังนั้นจึงชกเอาปากเจ้าสมุหนายกแล้วหนีลงมา และบัดนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธจะลงอาญาแก่ข้าพระพุทธเจ้า ขอจงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม อัญเชิญเสด็จขึ้นไปขอพระราชทานโทษข้าพระพุทธเจ้าครั้งหนึ่งเถิด 
     
    สมเด็จพระราชมาดาเลี้ยง หรือพระอัครมเหสีเดิม (กัน) ของสมเด็จพระเพทราชาผู้นี้ได้ออกไปตั้งตำหนักอยู่ที่เดียวกับพระตำหนักของเจ้าแม่วัดดุสิจ เมื่อเป็นอย่างนี้น่าเข้าใจว่าเจ้าแม่ดุสิต (หม่อมบัว หรือ เจ้าแม่ผู้เฒ่า) นั้น คงถึงแก่อสัญกรรมแล้ว และต่อมาสมเด็จพระราชมารดาเลี้ยงองค์นี้มาอาศัยอยู่ และได้รับแต่งตั้งเป็นกรมพระเทพามาตย์ (กัน) เมื่อ พ.ศ. ๒๒๔๓ ก็น่าจะถูกเรียกว่าเจ้าแม่วัดดุสิตได้เช่นกัน 
     
    ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือ (ขุนหลวงสรศักดิ์) บุตรชายของพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ชื่อ ขุนทอง ได้เข้ารับราชการมีความดีความชอบเป็นพระยาอัษฎาเรืองเดช และอยู่รับราชการจนมีตำแหน่งสูง เป็นเจ้าพระยาวรวงศาธิราช ตำแหน่งเสนาบดีคลัง ตามลำดับ 
     
    เจ้าพระยาวรศาธิราช (ขุนทอง) ขุนนางราชสำนักกรุงศรีอยุธยาผู้มีบุตรชายคนโต ๑ คน ชื่อทองคำ ได้ถวายตัวเข้ารับราชการเป็นที่จมื่นมหาสนิท หัวเมืองมหาดเล็กใน สมเด็จเจ้าฟ้าเพชรกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อ พ.ศ. ๒๒๔๕ สมเด็จพระเจ้าเสือได้สั่งลงพระอาญาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าเพชร กรมพระราชบวรสถานมงคล และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระบัณฑูรน้อย โดยจับมัดเฆี่ยนยกละ ๓๐ ที ทุกเช้าเย็น เนื่องจากทรงพระพิโรธที่ช้างพระที่นั่งตกหล่มลึก กล่าวหาว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอได้ทำถนนผ่านบึงเพื่อให้ช้างพระที่นั่งเดินข้ามติดหล่ม หมายจะฆ่าเอาพระราชสมบัติถึงกับพระองค์ขับช้างพระที่นั่งไล่ฟันด้วยพระแสงของ้าวและให้ทหารจับตัวมาลงพระอาญาดังกล่าว เรื่องนี้กรมพระเทพามาตย์ (กัน) พระตำหนักริมวัดดุสิตถึงกับต้องนั่งเรือพระที่นั่งขึ้นมายังพลับพลาที่ตำบลบ้านพลูหลวง แขวงเมืองนครสวรรค์ ดังมีความปรากฏในพงศาวดารว่า 
     
    ขณะนั้นนายผลข้าหลวงเดิมคนหนึ่ง เข้าไปเฝ้าเยียนสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองในเรือนโทษ จึงมีพระบัณฑูรตรัสว่า อ้ายผลบัดนี้สมเด็จพระราชธิดาทรงพระพิโรธ ดำรัสสั่งให้ลงพระอาญาแก่กูทั้งสองทุกเพลาเช้าเย็นเป็นนิจทุกวันๆ กว่าจะเสด็จกลับลงไป ณ กรุงเทพมหานครและกูทั้งสองจะทนพระราชอาญาได้หรือ จะมิตายเสียหรือ เองจะคิดประการใด นายผลได้ฟังดังนั้นก็เห็นว่าจะพ้นภัยจึงกราบทูลว่า ขอพระราชทานจงดำรัสให้ตำรวจเอาเรือเร็วลงไปกราบทูลเชิญสมเด็จพระอัยกีกรมพระเทพามาตย์ ซึ่งเสด็จอยู่ ณ พระตำหนักริมวัดดุสิตนั้นมาช่วยกราบทูลโทษ เห็นว่าจะทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานให้เป็นมั่นคง ด้วยเหตุว่ากรมพระเทพามาตย์นี้มีคุณูปการเป็นอันมาก ได้อุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงรักษาสมเด็จพระราชบิดามาแต่ทรงพระเยาว์นั้น จะว่ากระไรก็ว่ากันได้ เห็นจะขัดกันมิได้ และซึ่งจะอุบายคิดอ่านไปอย่างนั้น เห็นว่าจะพ้นโทษ 
     
    สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ตรัสได้ทรงฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ทรงพระปีติโสมนัสยิ่งนัก จึงมีพระบัณฑูรตรัสใช้หลวงเกษตรรักษา ให้เอาเรือเร็วรีบลงไปเฝ้าสมเด็จพระอัยกีกรมพระเทพามาตย์ และให้กราบทูลโดยมูลเหตุทั้งปวงให้ทราบสิ้นทุกประการ แล้วจงทูลว่าเราทั้งสองพี่น้อง ขอถวายบังคมมาแทบฝ่าพระบาท สมเด็จพระอัยกีเจ้าขอจงทรงพระกรุณาโปรด เชิญเสด็จขึ้นมาช่วยทูลขอพระราชทานโทษข้าพเจ้าทั้งสองโดยเร็วเถิด ข้าพเจ้าทั้งสองจึงจะรอดจากความตายและซึ่งบุคคลใดจะมาเป็นที่พึ่งที่พำนักช่วยชีวิตข้าพเจ้าทั้งสองในคราวนี้เห็นไม่มีตัวแล้ว และหลวงเกษตรรักษารับสั่งแล้วก็มาลงเรือรีบไป ณ กรุงสามวันก็ถึง จึงเข้าไปเฝ้ากรมพระเทพามาตย์ พระตำหนักริมวัดดุสิตนั้น แล้ากราบทูลโดยมีพระบัณฑูรสั่งมานั้นทุกประการ 
     
    สมเด็จพระอัยกีได้ทรงฟังดังนั้นก็ตกพระทัย จึงตรัสเรียกข้าหลวงสาวใช้สั่งให้ฝีพายผูกเรือพระที่นั่งมาประเทียบท่าเป็นการเร็วแล้วเสด็จโดยด่วนมาลงเรือพระที่นั่งให้รีบเร่งฝีพายขึ้นไปหลวงเกษตรรักษาเป็นเรือนำเสด็จ รีบเร่งไปทั้งกลางวันกลางคืน สี่วันก็ถึงท่าเรือประทับ จึงเสด็จขึ้นไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ณ พระตำหนักพลับพลานั้น 
     
    จึงพระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทอดพระเนตรเห็นกรมพระเทพามาตย์ พระราชมารดาเลี้ยงเสด็จขึ้นมา ก็กระทำปัจจุคมน์มหาการต้อนรับเชิญเสด็จให้ขึ้นนั่งร่วมราชาอาสน์ ทรงพระถวายอภิวาทแล้วลำดับถามว่า ซึ่งเจ้าคุณขึ้นมานี้มีกิจธุระเป็นประการใด จึงกรมพระเทพามาตย์กราบทูลว่า ได้ยินข่าวลงไปว่าพระราชบุตรทั้งสองเป็นโทษ จึงอุตสาหะขึ้นมาหา ทั้งนี้เพื่อจะทูลขอพระราชทานโทษ จึงมีพระราชโองการตรัสเล่าให้กรมเทพามาตย์ทรงฟังว่า อ้ายคนทั้งสองนี้มันคิดการกบฏ เดิมข้าพเจ้าให้มันเป็นแม่กองถมถนนข้ามบึงมันแสร้งทำเป็นพุหลุมไว้ให้ช้าง ซึ่งข้าพเจ้าขี่นั้นเหยียบถลำลงแล้ว มันก็คิดจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย จะเอาราชสมบัติ กรมพระเทพามาตย์จึงกราบทูลว่า อันพระราชบุตรทั้งสองนี้เป็นลูกเพื่อนทุกข์เพื่อนยากของพ่อมาแต่ก่อน และซึ่งจะคิดกบฏประทุษร้ายต่อพ่อนั้นหามิได้ กรมพระเทพมาตย์ กราบทูลวิงวอนขอพระราชทานโทษไปเป็นหลายครั้ง จึงทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานโทษแก่กรมพระเทพามาตย์นั้น แล้วมีพระราชดำรัสมอบให้แก่กรมพระเทพามาตย์ว่า เจ้าคุณ จงเอามันทั้งสองลงไปเสียด้วยเถิด อย่าให้มันอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่เลย และถ้าจะเอามันไว้ที่นี่ด้วยข้าพเจ้าไซร้มันจะคิดกบฏฆ่าข้าพเจ้าอีกเป็นมั่นคง และกรมพระเทพามาตย์รับสั่งแล้วก็ไปถอดสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสองพระองค์ออกจากโทษ แล้วทูลลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน พาสมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์มาลงเรือพระที่นั่ง แล้วเสด็จกลับลงมายังกรุงเทพมหานคร 
     
    ดังนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าเพชร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล จึงน่าจะไว้วางใจให้จมื่นมหาสนิท (ทองคำ) หัวหมื่นมหาเล็กออกไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสะแกกรัง เพื่อคอยกะเกณฑ์สิ่งของ และทำราชการด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการเสด็จประพาสล้อมช้างป่า และเมืองอุทัยธานีเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยข้าว ช้างป่า มูลค้างคาว ไม้ ผลกระวาน เป็นต้น สำหรับใช้ในกองทัพและเป็นยุทธปัจจัยของสมเด็จเจ้าฟ้าเพชร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในโอกาสเป็นรัชทายาทที่จะขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์ต่อไปด้วย 
     
    ครั้นสมเด็จเจ้าฟ้าเพชร กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ได้ขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๕๑ จมื่นมหาสนิท (ทองคำ) มีความดีความชอบได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชนกูล (บางแห่งเขียนพระยาราชนิกูล) ปลัดทูลฉลองกรมมหาดไทย ดังนั้นครอบครัวนี้จึงได้ย้ายจากบ้านสะแกกรัง (ตำบลในเขตเมืองอุทัยธานี) ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา ตรงเหนือป้อมเพชร จนมีบุตรธิดาเป็นครอบครัวใหญ่แถวบริเวณวัดสุวรรณดาราม (ต่อมาบริจาคที่ดินให้สร้างวัดนี้เป็นวัดประจำตระกูล) 
     
    ขณะที่พระยาราชนกูล (ทองคำ) อยู่ที่บ้านสะแกกรังนั้น ภรรยาให้กำเนิดบุตรชายคนโตชื่อ ทองดี มีความปรากฏเป็นหลักฐานในพระราชหัตเลขาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีถึง เซอร์ จอห์น เบาริ่ง ในหนังสือ THE KINGDOM AND PEOPLE มีความแปลดังนี้ 
     
    ผู้ซึ่งเป็นพระมหาชนกแห่งปฐมกษัตรย์ราชวงศ์จักรี และเป็นพระอัยกาของพระบิดาแห่กษัตริย์องค์ปัจจุบัน (คือ ตัวข้าพเจ้าเอง) ของประเทศสยาม เป็นราชโอรสอันสูงศักดิ์ของราชวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลขุนนาง กระทรวงต่างประเทศ ซึ่งได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา และต่อมาได้ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่บ้านสะแกกรัง อันเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ อันเป็นสาขาของแม่น้ำใหญ่เชื่อมอาณาเขตติดต่อภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศสยาม ประมาณเส้นรุ้ง ๑๓ ๑๕ ๓๐ เหนือ ดูจะกว่าบ้างเล็กน้อย เส้นแวง ๙๙ ๙๐ ตะวันออก เล่ากันว่าบุคคลผู้มีความสำคัญได้ถือกำเหนิดที่นี่ และกลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษของราชวงศ์สยามที่มาจากหมู่บ้านสะแกกรัง สู่กรุงศรีอยุธยา 
     
    บุคคลผู้มีความสำคัญถือกำเนิดที่บ้านสะแกกรังตามหลักฐานนี้ชื่อทองดี ก็คือสมเด็จพระปฐมบรมมหาราชนกนาถ (ทองดี) ผู้ซึ่งเป็นพระบรมชนกนาถของต้นราชวงศ์จักรีนั่นเอง
  • Blue_Girl

    19 พฤษภาคม 2549 19:25 น. - comment id 578357

    สุดยอดเลยค่ะ
    
    41.gif41.gif41.gif41.gif
  • DDC

    22 มีนาคม 2550 19:04 น. - comment id 675065

    1.gif2.gif3.gif4.gif5.gif6.gif7.gif8.gif9.gif10.gif11.gif12.gif13.gif14.gif15.gif16.gif17.gif18.gif19.gif20.gif21.gif22.gif23.gif24.gif25.gif26.gif27.gif28.gif29.gif30.gif31.gif32.gif33.gif34.gif35.gif36.gif37.gif38.gif39.gif40.gif41.gif42.gif43.gif44.gif45.gif46.gif47.gif48.gif49.gif50.gif51.gif52.gif53.gif54.gif55.gif56.gif57.gif58.gif59.gif60.gif61.gif62.gif63.gif64.gif65.gif66.gif67.gif68.gif69.gif70.gif71.gif72.gif73.gif74.gif%
  • BNK_Oh! my god!!!!

    22 มีนาคม 2550 19:08 น. - comment id 675066

    good! good! good!1.gif40.gif41.gif64.gif
  • บาย

    6 พฤศจิกายน 2551 16:44 น. - comment id 911036

    41.gif41.gif%9.gif25.gif
  • vbmv j k,mbm, m,, j,vm,b

    17 กรกฎาคม 2552 17:53 น. - comment id 1015821

    22.gif22.gif22.gifhttp://www.thaipoem.com/forever/poemcom.php?poemid=89354&poemdbid=&subject=%C7%A7%C8%EC%BE%C3%D0%C3%E8%C7%A7%C1%CB%D2%C3%D2%AA%D2%C1%CB%D2%CA%B4%D8%B4%D5#11.gif12.gif19.gif29.gif42.gif59.gif60.gif44.gif29.gif
  • bjnm

    16 มกราคม 2553 15:08 น. - comment id 1086862

    poemcom.php?poemid=89354&poemdbid=&subject=%C7%A7%C8%EC%BE%C3%D0%C3%E8%C7%A7%C1%CB%D2%C3%D2%AA%D2%C1%CB%D2%CA%B4%D8%B4%D5#
  • sushi

    27 กุมภาพันธ์ 2553 13:38 น. - comment id 1104861

    1.gif11.gif15.gif16.gif19.gif20.gif21.gif23.gif31.gif42.gif58.gif59.gif74.gif
  • sushi

    27 กุมภาพันธ์ 2553 13:39 น. - comment id 1104863

    2.gif2.gif2.gif1.gif1.gif1.gif1.gif1.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน